กระดานสุขภาพ
ปวดสะโพกไปถึงต้นขาและขา | |
---|---|
16 สิงหาคม 2561 01:12:06 #1 เริ่มต้นอาการมีอาการเสี่ยวแปล๊บๆที่ผิวหนังตั้งแต่สะโพกไปถึงต้นขาและขา ข้อเท้า |
|
อายุ: 57 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 38 กก. ส่วนสูง: 157ซม. ดัชนีมวลกาย : 15.42 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
พญ.กิติพร กวียานนท์แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป |
20 สิงหาคม 2561 18:43:21 #2 หลังช่วงล่าง (Low back) คือ ตำแหน่งด้านหลังช่วงจากปลายกระดูกซี่โครงซี่สุดท้ายลงมาจนถึงตำแหน่งกระดูกใต้กระเบนเหน็บ (Sacrum) ซึ่งเป็นตำแหน่งของกระดูกสันหลัง (Spine) ส่วนเอว ข้อที่ 1 (Lumbar spine เรียกย่อว่า L spine ซึ่งมีทั้งหมด 5ข้อ) ไปจนถึงกระ ดูกใต้กระเบนเหน็บข้อที่ 1 (Sacrum เรียกย่อว่า S spine ซึ่งมีทั้งหมด 5 ข้อ) ทั้งนี้ ส่วนหลังช่วงล่าง ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ/อวัยวะที่สำคัญ และเป็นต้นเหตุให้เกิดอาการเจ็บปวด คือ กล้าม เนื้อ เอ็น กระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูกสันหลัง ไขสันหลัง และเส้นประสาท สาเหตุของการปวดหลังช่วงล่าง ได้แก่ • การทำงานมากเกินไปของกล้ามเนื้อหลัง กล้ามเนื้อจึงเกิดการบาดเจ็บอักเสบ (โดยไม่มีการติดเชื้อ) ซึ่งพบเป็นสาเหตุได้เท่ากับหรือมากกว่า 70% ของการปวดหลังช่วงล่างทั้งหมด • โรค/ภาวะ ปวดหลังจากหมอนรองกระดูกเสื่อม พบเป็นสาเหตุประมาณ 14% • โรค/ภาวะกระดูกสันหลังยุบตัวจากภาวะ/โรคกระดูกพรุน พบประมาณ 4% • กระดูกสันหลังเคลื่อนจากสาเหตุต่างๆ เช่น ยกของหนัก เล่นกีฬา พบประมาณ 2% • โรค/ภาวะโพรงกระดูกสันหลังเอวตีบแคบ(Lumbar spinal stenosis) จึงเบียดรัดประ สาทสันหลัง พบประมาณ 3% • กระดูก หรือเนื้อเยื่อหลังช่วงล่างติดเชื้อ พบประมาณ 0.01% • กระดูกหลังช่วงล่างอักเสบจากโรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง พบประมาณ 0.3% • โรคมะเร็งแพร่กระจายสู่กระดูกสันหลังช่วงล่าง พบประมาณ 0.7% • เป็นอาการปวดสืบเนื่องมาจากเนื้อเยื่อ/อวัยวะในช่องท้อง หรือในอุ้งเชิงกราน พบประมาณ 2% เช่น จากการอักเสบของต่อมลูกหมาก มดลูก โรค/ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ โรคนิ่วในไต โรคนิ่วในท่อไต โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือโรคกรวยไตอักเสบ ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดหลังช่วงล่าง คือ • สูงอายุ มักอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป • ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เพราะขาดฮอร์โมนเพศที่เป็นตัวเพิ่มการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก • มีสุขภาพไม่สมบูรณ์ ขาดการออกกำลังกาย นั่งๆ นอนๆ • น้ำหนักตัวเกิน หรือ โรคอ้วน • โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกบาง • โรคข้อเสื่อม • โรคมะเร็ง ระยะแพร่กระจาย (ระยะที่ 4) • มีอาชีพใช้หลังมาก เช่น ยกของหนัก กีฬาที่ต้องใช้หลัง (เช่น มวยปล้ำ) • สูบบุหรี่ เพราะสารพิษในควันบุหรี่ ก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุน และโรคหลอดเลือดแดงแข็ง เนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆรวมทั้งกระดูกจึงขาดเลือดหล่อเลี้ยง • ปัญหาด้านอารมณ์ จิตใจ จะส่งผลถึงการทำงานของกล้ามเนื้อ รวมทั้งกล้ามเนื้อหลัง ก่ออาการปวดหลังช่วงล่างเรื้อรัง เช่น ความเครียด อาการซึมเศร้า • อาจจากพันธุกรรม เพราะพบโรคได้สูงขึ้นในคนที่ครอบครัวมีอาการนี้ • การตั้งครรภ์ เพราะน้ำหนักจากครรภ์ จะกดทับกระดูกสันหลัง ก่อให้เกิดการบาด เจ็บของกระดูกและกล้ามเนื้อส่วนหลังได้ นอกจากนั้นอาจจากผลของฮอร์โมนที่เพิ่มผิดปกติจากการตั้งครรภ์ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของเนื้อเยื่อต่างๆ โดย เฉพาะกล้ามเนื้อและกระดูก อาการที่พบได้จากปวดหลังช่วงล่าง คือ • ปวดหลังบนกระดูกสันหลังช่วงล่าง และ/หรือ ปวดทั้งแผ่นหลัง • อาจปวดร้าวลงขาด้านใดด้านหนึ่ง มักเกิดเพียงด้านเดียว • เคลื่อนไหวหลังไม่ได้เพราะเจ็บ/ปวด ก้มตัวไม่ได้ เพราะเจ็บ • ยืนตรงไม่ได้เพราะเจ็บ/ปวดหลัง อาการปวดหลังช่วงล่างที่ต้องรีบพบแพทย์ ภายใน 1-2 วัน หรือ ฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการ คือ มีอาการปวดหลังร่วมกับ • ปวดหลังมาก โดยเฉพาะเมื่ออายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป • มีไข้ หนาวสั่น หรือมีอาการทางปัสสาวะ เช่น ปวด เบ่ง แสบ เมื่อปัสสาวะ • ส่วนหลังได้รับอุบัติเหตุ • ปวดหลังมากช่วงกลางคืน หรือถึงแม้นอนพัก • ปวดบริเวณก้นกบ (กระดูกสันหลังชิ้นที่อยู่ล่างสุดของลำตัว) • ชาบริเวณขา เท้า • กลั้นอุจจาระ และ/หรือปัสสาวะไม่อยู่ • เป็นโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกบาง • เป็นโรคมะเร็ง • กินยาสเตียรอยด์ต่อเนื่อง เพราะผลข้างเคียงของยาตัวนี้ คือ ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน • ใช้ยาเสพติด เพราะส่งผลให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อต่างๆได้ทั่วร่างกายรวมทั้งของกระดูกและข้อ • หลังการดูแลตนเองแล้วอาการปวดหลังไม่ดีขึ้นภายใน 6 สัปดาห์ แนวทางการรักษาอาการปวดหลังช่วงล่าง คือ การรักษาสาเหตุ และการรักษาประคับ ประคองตามอาการ การรักษาสาเหตุ เช่น การรักษา โรคกระดูกพรุน การฉายรังสีรักษากรณีเกิดจากการแพร่ กระจายของโรคมะเร็ง การรักษาทางจิตเวช และบางครั้งเป็นส่วนน้อยอาจใช้การผ่าตัดในกรณี อาการปวดเกิดจากโรคปวดหลังจากหมอนรองกระดูก หรือเกิดจากโรคกระดูกเคลื่อนกดทับประ สาท หรือกดทับไขสันหลัง เป็นต้น รวมทั้งในกรณีเป็นการปวดหลังซึ่งปวดร้าวมาจากโรคอื่นๆในช่องท้อง หรือในอุ้งเชิงกราน การรักษา คือ การรักษาสาเหตุของโรคนั้นๆเช่นกัน เช่น รักษาโรคนิ่วในไต เป็นต้น การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น การพักผ่อนซึ่งไม่ควรเกิน 2 วัน เพราะยิ่งหยุดการเคลื่อนไหว อาการปวดจะยิ่งเพิ่มขึ้น แพทย์มักแนะนำให้เคลื่อนไหวเท่าที่พอทำได้ การกินยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ การประคบร้อน สลับประคบเย็น (บางคนอาการดีขึ้น บางคนไม่ได้ผล) และ/หรือการทำกายภาพบำบัด การดูแลตนเอง การพบแพทย์เมื่อมีอาการปวดหลังช่วงล่าง คือ • พักการใช้หลัง ระวังการนั่ง ยืน เดิน นอน การยกของ ก้ม เงย • กินยาแก้ปวด • พยายามเคลื่อนไหวร่างกายเท่าที่พอจะทำได้ เพราะยิ่งไม่เคลื่อนไหว อาการปวดจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น • อาจประคบร้อน ประคบเย็น หรือ ทั้งร้อนและเย็นสลับกัน ซึ่งจะได้ผลต่างกันในแต่ละคน • การนวดด้วยยาทาภายนอก ซึ่งอาจได้ผลในบางคน • การใส่เครื่องพยุงหลัง ซึ่งได้ผลในบางคน • ลดน้ำหนักเมื่ออ้วน หรือมีน้ำหนักตัวเกิน • เลิกบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเมื่ออาการปวดหลังเลวลง หรืออาการไม่ดีขึ้นภายใน 6 สัปดาห์ • รีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลภายใน 1-2 วัน หรือ ฉุกเฉิน |
Fiat*****t |
22 สิงหาคม 2561 16:26:01 #3 ขอบคุณครับ |
Fiat*****t