ภาวะกล้ามเนื้อเต้นกระตุกชนิดไม่ร้ายแรง โรคบีเอฟเอส (Benign fasciculation syndrome: BFS)
- โดย ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า
- 1 กรกฎาคม 2564
- Tweet
- บทนำ
- อาการกล้ามเนื้อเต้นกระตุกคืออะไร?
- ทำไมกล้ามเนื้อถึงเกิดการเต้นกระตุก?
- อาการกล้ามเนื้อเต้นกระตุกพบได้ในโรคอะไรบ้าง?
- โรคบีเอฟเอสคืออะไร?
- โรคบีเอฟเอสเกิดจากอะไร?
- ใครมีโอกาส/ปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคบีเอฟเอส?
- โรคบีเอฟเอสมีอาการอย่างไร?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
- ทราบอย่างไรว่ากล้ามเนื้อเต้นกระตุกร้ายแรงหรือไม่?
- แพทย์วินิจฉัยโรคบีเอฟเอสอย่างไร?
- รักษาโรคบีเอฟเอสอย่างไร?
- โรคบีเอฟเอสมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- โรคบีเอฟเอสก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร?
- เมื่อไรควรพบแพทย์ก่อนนัด?
- ป้องกันโรคบีเอฟเอสได้อย่างไร?
- โรคเส้นประสาท (Peripheral neuropathy)
- โรคสมอง โรคทางสมอง (Brain disease)
- กล้ามเนื้อกระตุก (Tic)
- ตะคริว (Muscle cramp)
- กลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข (Restless legs syndrome)
- โรคสั่นไม่ทราบสาเหตุ โรคสั่นอีที (Essential tremor)
- สุขลักษณะการนอน สุขอนามัยการนอน (Sleep hygiene)
บทนำ
หลายคนต้องเคยมีอาการกล้ามเนื้อเต้นกระตุกตามแขน ขา ใบหน้า เปลือกตา (หนังตา) คงอดสงสัยไม่ได้ว่าตนเองมีอาการอะไร ผิดปกติหรือไม่ ต้องไปหาแพทย์หรือไม่ แล้วเราจะเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงในอนาคตหรือไม่ หลายคำถามมีคำตอบ ต้องติดตามบทความนี้ครับ “ภาวะกล้ามเนื้อเต้นกระตุกชนิดไม่ร้ายแรง หรือภาวะกล้ามเนื้อเต้นกระตุกชนิดธรรมดา (Benign fasciculation syndrome) หรือย่อว่า โรคบีเอฟเอส (BFS) ซึ่งต่อไปในบท ความนี้ขอเรียกว่า “โรคบีเอฟเอส”
อาการกล้ามเนื้อเต้นกระตุกคืออะไร?
อาการกล้ามเนื้อเต้นกระตุกเรียกว่า Fasciculation คืออาการที่กล้ามเนื้อหดและคลายตัวอย่างรวดเร็วจนเรารู้สึกได้ ซึ่งเกิดได้กับกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย โดยเกิดได้ทั้งใน
- ภาวะปกติของร่างกาย เช่น ภาวะเครียด ตื่นเต้น อ่อนล้า ได้รับสารคาเฟอีนสูง (เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มโคลา เครื่องดื่มชูกำลัง)
- หรือ ในภาวะผิดปกติ/โรคต่างๆ ดังจะกล่าวต่อไป
ทำไมกล้ามเนื้อถึงเกิดการเต้นกระตุก?
กล้ามเนื้อเกิดเต้นกระตุกเนื่องจากกล้ามเนื้อมีภาวะตอบสนองไวกว่าปกติต่อตัวกระตุ้นหรือสิ่งเร้าต่างๆ (Hyperexcitation) เนื่องมาจากมีความผิดปกติระดับเซลล์ เช่น ภาวะเกลือแร่ในเลือดผิดปกติ, แมกนีเซียม (Magnesium)ในเลือดต่ำ(เช่น ในโรคไต หรือ โรคลำไส้อักเสบ ), ความเครียด, ความอ่อนล้า
อาการกล้ามเนื้อเต้นกระตุกพบได้ในโรคอะไรบ้าง?
กล้ามเนื้อเต้นกระตุก พบได้ใน
- กรณีที่ไม่ได้เกิดจากโรคดังได้กล่าวแล้วใน’หัวข้อ อาการกล้ามเนื้อกระตุกคืออะไร’
- และยังสามารถพบเป็นอาการของโรคบางโรคได้ เช่น
- โรคไขสันหลัง
- โรคกล้ามเนื้อ
- โรคเส้นประสาท
- และโรคของเซลล์ประสาทสั่งการ (Motor neuron) เช่น โรค Amyotrophic lateral sclerosis (โรคลูปัส-โรคเอสแอลอี, โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส, โรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม)
โรคบีเอฟเอสคืออะไร?
โรคบีเอฟเอส/BFS คือ ภาวะที่กล้ามเนื้อมีการเต้นกระตุกโดยไม่ได้มีอาการผิดปกติของระบบประสาทส่วนอื่นๆ ทั้งนี้พบเกิดได้กับกล้ามเนื้อที่ร่างกายสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้ (Voluntary muscle: กล้ามเนื้อลาย) เช่น เปลือกตา/หนังตา แขน ขา ลำตัว หลัง ท้อง น่อง ต้นขา เป็นต้น
โรคบีเอฟเอสเกิดจากอะไร?
โรคบีเอฟเอส/BFSเกิดจากกล้ามเนื้อมีความไว/การตอบสนองมากกว่าปกติอย่างมากต่อตัวกระตุ้นหรือสิ่งเร้า (Hyperexcitation) โดยไม่ทราบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด
ใครมีโอกาส/ปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคบีเอฟเอส?
ผู้ที่มีโอกาส/ปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคบีเอฟเอส /BFS ได้แก่
- ผู้ที่ออกกำลังกายหนัก หักโหม
- ผู้ที่อ่อนล้า
- นอนไม่พอ
- พักผ่อนไม่พอ
- มีความผิดปกติของเกลือแร่ในเลือด เช่น
- แมกนีเซียมต่ำ
- ฟอสเฟตต่ำ (Hypophosphatemia: เช่น โรคปอด ติดสุรา/โรคพิษสุรา โรคลำไส้อักเสบ)
- ตื่นเต้นมาก
- โรคสมาธิสั้น
- ใช้ยาฆ่าแมลงบ่อยๆ
- ทานยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของฝิ่น (เช่น มอร์ฟีน)
- ผู้ที่มีอาการมือสั่นขณะทำกิจกรรม (Essential tremor: โรคสั่นไม่ทราบสาเหตุ)
- และ/หรือ ดื่ม/บริโภคคาเฟอีนมาก
โรคบีเอฟเอสมีอาการอย่างไร?
นอกจากอาการกล้ามเนื้อเต้นกระตุกแล้ว อาการอื่นๆที่อาจพบร่วมด้วยในโรคบีเอฟเอส/BFS เช่น
- ตะคริว
- ปวดกล้ามเนื้อมัดที่เต้นกระตุก
- กล้ามเนื้ออ่อนล้าง่าย
- กล้ามเนื้อส่วนนั้นสั่น
- รวมทั้งอาการเจ็บ ปวด ชา เหมือนมีแมลงมาไต่
- รู้สึกมีของแหลมทิ่มแทงในส่วนที่เกิดการเต้นกระตุก
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
เนื่องจากอาการกล้ามเนื้อเต้นกระตุกพบได้ทั้งในภาวะปกติและภาวะที่เป็นโรค ดังนั้นผู้ที่มีอาการกล้ามเนื้อเต้นกระตุกควรพบแพทย์/มาโรงพยาบาล ไม่ควรปล่อยเวลาที่มีอาการไว้นาน ถ้าไม่มั่นใจก็ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลดีกว่า โดยเฉพาะเมื่อ อาการกล้ามเนื้อเต้นกระตุก เป็นดังนี้ เช่น
- เป็นหลายๆตำแหน่งของร่างกาย เช่น แขน ไหล่ ลำตัว ขา
- อาการฯเป็นรุนแรงขึ้น
- อาการฯเป็นต่อเนื่องนานมากกว่า 2 สัปดาห์ก็ไม่หายไป
- มีอาการผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย เช่น กล้ามเนื้อลีบ อ่อนแรง พูดไม่ชัด
*อนึ่ง กรณีที่มีอาการฯเป็นๆหายๆ เป็นหลังจากการที่ ร่างกายพักผ่อนไม่พอ อดนอน หรือออกกำลังกายอย่างหนัก กรณีแบบนี้ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ ลองปรับพฤติกรรมดู แต่ถ้าปรับพฤติ กรรมแล้ว อาการยังคงอยู่ก็ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเช่นกัน
ทราบอย่างไรว่ากล้ามเนื้อเต้นกระตุกร้ายแรงหรือไม่?
*กรณีที่มีอาการกล้ามเนื้อเต้นกระตุกร่วมกับอาการผิดปกติอื่นๆเช่น กล้ามเนื้อลีบ พูดไม่ชัด มีอาการกล้ามเนื้อเต้นกระตุกทั่วตัว เป็นมานาน ก็น่าจะเกิดจากโรค ควรรีบพบแพทย์/ไปโรง พยาบาล
แต่ถ้ามีอาการเป็นๆ หายๆ ไม่รุนแรง มีเฉพาะบางบริเวณของร่างกาย เช่น เปลือกตา ที่เรียกว่าตาเขม่น หรือมีเพียงแค่อาการหลังจากออกกำลังกาย อ่อนล้า ยกของหนักๆ เครียด ซึ่ง สามารถมีอาการกล้ามเนื้อเต้นกระตุกได้ ถ้าเป็นแบบนี้ เพียงแค่พักผ่อนก็พอ ไม่ต้องพบแพทย์ แต่ถ้ากังวลในอาการ ก็พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลได้
แพทย์วินิจฉัยโรคบีเอฟเอสอย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยโรคบีเอฟเอส/BFS ได้จาก
- การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น ประวัติอาการ พฤติกรรมการใช้ชีวิต ประวัติโรคประจำตัว
- การตรวจร่างกายทั่วไป
- และ กรณีที่แพทย์สงสัยว่าเป็นอาการของโรค แพทย์จะส่งตรวจอื่นๆเพื่อการสืบค้นเพิ่มเติม เช่น
- การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (Electromyography)
- ตรวจเลือด ดูค่าเกลือแร่ในเลือด
- ตรวจเลือด ดูการทำงานของต่อมไทรอยด์
รักษาโรคบีเอฟเอสอย่างไร?
แนวทางรักษาโรคบีเอฟเอส/BFS ได้แก่
ก. กรณีมีอาการโรคบีเอฟเอสไม่มาก ก็ไม่จำเป็นต้องให้การรักษา เพียงพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด อาการก็จะดีขึ้น
ข. แต่ถ้ามีอาการรุนแรงและรำคาญ แพทย์ก็ใช้รักษาด้วย
- ยากลุ่มเบ็นโซไดอะซีปีน (Benzodiazepine: ยาจิตเวช) เช่น ยาคลอนาซีแปม (Clonazepam)
- หรือยากลุ่มต้านเบต้า (Beta-blocker: ยาควบคุมการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ)เช่นยา โปรปานอลอล (Propanolol)
- การแก้ไขภาวะเกลือแร่ในเลือดผิดปกติถ้าอาการเกิดจากมีภาวะเกลือแร่ฯผิดปกติ
- แต่ถ้ามีอาการปวด ก็ใช้ยาแก้ปวดทั่วไปร่วมด้วย เช่นยา Paracetamol
โรคบีเอฟเอสมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
โรคบีเอฟเอส/BFS มีการพยากรณ์โรคที่ดี การรักษาได้ผลดีมาก ส่วนใหญ่หายเป็นปกติจากการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
แต่กรณีเป็นโรคบีเอฟเอสที่เป็นนานๆ ไม่หายก็มี แต่พบได้ไม่บ่อย ถ้าไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย และผลการตรวจต่างๆก็ปกติ การรักษาเพียงแค่ให้ยารักษาตามอาการ และผ่อนคลายด้วยการปรับพฤติกรรมและ/หรือการใช้ยาคลายเครียด ก็เพียงพอ
กรณีที่มีอาการกล้ามเนื้อเต้นกระตุกนั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่มีอันตรายใดๆ แต่ถ้ามีอาการที่รุนแรง เป็นเวลานาน และไม่มั่นใจ ควรพบแพทย์/มาโรงพยาบาล เพื่อแพทย์ให้การตรวจประเมินวามีความผิดปกติหรือ ไม่ ท่านจะได้สบายใจ
โรคบีเอฟเอสก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
โรคบีเอฟเอส/BFSโดยทั่วไปไม่ก่อผลข้างเคียง ยกเว้น รำคาญ และ/หรือกลัวว่าจะเป็นโรคร้ายแรง
แต่กรณีที่โรคฯมีอาการรุนแรงก็ส่งผลให้มีอาการ ปวด ตะคริว นอนไม่หลับได้ด้วย แต่ก็ไม่รุนแรง เพียงแค่ให้ยารักษาเบื้องต้นตามอาการ อาการเหล่านั้นก็มักดีขึ้น ซึ่งยารักษาตามอาการ เช่น
- ยาที่ใช้รักษาอาการปวด/ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล, หรือกลุ่มยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่ สเตียรอยด์ เช่น บลูเฟ่น(Brufen)
- ยาแก้ตะคริว เช่น แบคโคลเฟ่น (Baclofen)
- ยานอนหลับ เช่น อะติแวน(Ativan)
ดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคบีเอฟเอส/BFS คือ
- วิธีที่ดีที่สุด คือ การผ่อนคลาย ทำความเข้าใจกับอาการผิดปกติว่า เป็นสิ่งผิดปกติที่พบได้ในคนปกติไม่มีอะไรอันตราย เพื่อความรู้สึกผ่อนคลายและสร้างความมั่นใจว่าไม่เป็นอะไร
- การออกกำลังกายที่พอดี ไม่หนักหรือหักโหมเกินไป
- นอนหลับให้เพียงพอ(แนะนำอ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง สุขลักษณะการนอน)
- พักผ่อน ให้เพียงพอ
- ทานอาหารมีประโยชน์ (อาหารมีประโยชน์ห้าหมู่)
- ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะเกลือแร่ในเลือดผิดปกติได้
- ไม่ดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนถ้าสังเกตว่ามีอาการฯเกิดหลังจากการบริโภคกาเฟอีน
เมื่อไรควรพบแพทย์ก่อนนัด?
กรณีที่มีแพทย์ดูแลอยู่แล้ว ควรต้องรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัด เมื่อ
- มีอาการที่รุนแรงขึ้น เช่น ปวดมาก ตะคริวรุนแรง จนส่งผลต่อการดำรงชีวิต
- หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆทางระบบประสาทเพิ่มขึ้น เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- และ/หรือ เมื่อกังวลในอาการ
ป้องกันโรคบีเอฟเอสได้อย่างไร?
การป้องกันโรคบีเอฟเอส คือ
- ออกกำลังกายแต่พอดี ไม่หักโหม
- ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ไม่ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน มากเกินไป
- ไม่เครียด ดูแลรักษาสุขภาพจิต