โรคบิด (Dysentery)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

โรคบิด (Dysentery) หมายถึง อาการท้องเสียโดยอุจจาระแต่ละครั้งจะออกไม่มาก ร่วมกับมีมูกเลือดปนมาในอุจจาระ และมักร่วมกับอาการ ปวดบิด/ปวดเบ่ง เมื่อถ่ายอุจจาระ

โรคบิดเกิดได้จากการติดเชื้อชนิดต่างๆ ทั้ง แบคทีเรีย เชื้อไวรัส สัตว์เซลล์เดียว (ปรสิต หรือ Parasite) และจากการกิน/ดื่มสารพิษ แต่โดยรวมมักมีสาเหตุจาก

  • การติดเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มที่เรียกว่า ชิเกลลา (Shigella) ซึ่งเรียกโรคนี้ว่า “โรคบิดไม่มีตัว” หรือ “โรคบิดชิเกลลา” (Shigellosis, Shigella infection, หรือ Bacillary dysentery)
  • และจากติดเชื้อสัตว์เซลล์เดียวชนิด อะมีบา (Enta moeba histolytica) ซึ่งเรียกโรคบิดจากติดเชื้อนี้ว่า “โรคบิดมีตัว” หรือ “โรคบิดอะมีบา” (Amoebiasis, Amebiasis หรือ Amoebic dysenyery)

ซึ่งในบทความนี้ จะกล่าวถึงโรคบิดซึ่งเกิดจากการติดเชื้อทั้ง 2 ชนิดนี้เท่านั้น โดยเรียกรวมว่า “โรคบิด”

โรคบิดพบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ ผู้หญิง และผู้ชายมีโอกาสพบโรคได้ใกล้เคียงกัน

โรคบิดเป็นโรคพบได้บ่อยในประเทศที่กำลังพัฒนา ส่วนในประเทศที่พัฒนาแล้วมักพบในผู้อพยพ หรือในผู้ที่ไปท่องเที่ยวในประเทศที่กำลังพัฒนา

ในประเทศไทย รายงานสถิติโรคนี้จากกระทรวงสาธารณสุข ในภาพรวม โรคบิดพบลดลงอย่างต่อเนื่อง ปีพ.ศ. 2549 รายงานโรค 30.77 ราย ต่อประชากร 1แสนคน ในปีพ.ศ. 2557 รายงาน 10.28 รายต่อประชากร 1 แสนคน

โรคบิดเกิดได้อย่างไร?

โรคบิด

โรคบิด เป็นโรคติดต่อโดยการกิน/ดื่ม อาหาร/น้ำซึ่งปนเปื้อนเชื้อโรคเหล่านี้ที่อยู่ในอุจจาระของผู้ป่วย หรือในอุจจาระของคนที่เป็นพาหะโรค ซึ่งเมื่อเชื้อเข้าสู่กระเพาะอาหาร จะผ่านเข้าสู่ลำไส้ แล้วก่อให้เกิดการอักเสบของผนังลำไส้ โดย เฉพาะลำไส้ใหญ่ ต่อจากนั้น ผนังลำไส้จะเกิดอาการบวมอักเสบ ดูดซึมอาหาร และน้ำได้น้อย

และเชื้อยังอาจสร้างสารกระตุ้นให้น้ำในร่างกายซึมเข้าสู่ลำไส้ จึงเกิดอาการท้องเสียขึ้น โดยเฉพาะท้องเสียซึ่งลักษณะอุจจาระเป็นมูก

และการอักเสบของลำไส้ใหญ่ มักทำให้ลำไส้ใหญ่เกิดแผลร่วมด้วย จึงมีเลือดปนออกมากับอุจจาระด้วย

โรคบิดมีอาการอย่างไร?

อาการที่พบบ่อยของโรคบิด คือ

ก. โรคบิดชิเกลลา: อาการจะเกิดหลังได้รับเชื้อประมาณ 1-7 วัน (ระยะฟักตัวของโรค) และจะมีอาการอยู่ประมาณ 3-10 วันหลังการรักษา ซึ่งในช่วงมีอาการจะเป็นช่วงที่เกิดการติดต่อของโรคได้จากการปนเปื้อนของเชื้อในอุจจาระ ซึ่งถ้าได้ รับเชื้อไม่มาก และมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ผู้ป่วยอาจหายได้เองจากการดูแลตน เอง

อาการที่พบได้บ่อยในโรคบิดชิเกลลา คือ

  • มีไข้ ส่วนใหญ่เป็นไข้สูงร่วมกับท้องเสียเป็นน้ำ (ประมาณ 1-2 วัน) ต่อจากนั้น ปริมาณอุจจาระในแต่ละครั้งจะลดลง แต่ยังถ่ายบ่อย โดยอุจจาระเปลี่ยนเป็นมูกเลือด
  • ปวดท้อง ปวดเบ่งเมื่อถ่ายอุจจาระ
  • คลื่นไส้ อาเจียน

ข: โรคบิดอะมีบา: ในคนที่ได้รับเชื้อน้อยและมีสุขภาพแข็งแรงอาจไม่มีอาการได้ ส่วนในผู้ป่วยมักมีอาการหลังได้รับเชื้อ (ระยะฟักตัวของโรค) ประมาณ 7-10 วัน ซึ่งอาการอาจมีอยู่เพียงประมาณ 3-4 วัน หรือเป็นหลายๆสัปดาห์ ซึ่งระหว่างมีอาการ เชื้อจะติดต่อสู่ผู้อื่นได้ผ่านทางอุจจาระของผู้ป่วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบิดอะมีบาอาจเป็นพาหะโรคได้นานถึงเป็นหลายเดือน หรือเป็นปี

  • อาการที่พบได้ของโรคบิดอะมีบา เช่นเดียวกับในโรคบิดชิเกลลา แต่ที่พบเพิ่มเติม คือ
    • อาจพบมูกเลือดได้มากกว่า
    • และอาจมีอาการเบื่ออาหาร และผอมลง
  • นอกจากนั้น ในผู้ป่วยบางคน (พบได้น้อย) เชื้ออะมีบาอาจหลุดเข้าสู่กระแสโลหิต (เลือด) ก่อให้เกิดฝีในอวัยวะต่างๆได้ ที่พบบ่อย คือ ฝีตับ (เจ็บบริเวณตับ/ใต้ชายโครงขวา ตับโตคลำได้ คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้สูง )

แพทย์วินิจฉัยโรคบิดได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยโรคบิดได้จาก

  • การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น ประวัติอาการ ประวัติกิน/ดื่ม อาหาร/น้ำ การท่องเที่ยว การมีผู้ป่วยในบ้าน หรือในชุมชน
  • ตรวจร่างกาย
  • ตรวจอุจจาระดูเชื้อ
  • การเพาะเชื้อจากอุจจาระ
  • และอาจมีการตรวจสืบค้นอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นกับอาการผู้ป่วย และดุลพินิจของแพทย์ เช่น
    • การตรวจเลือดซีบีซี (CBC)
    • และตรวจเลือดดูค่าเกลือแร่ในเลือด

รักษาโรคบิดได้อย่างไร?

แนวทางการรักษาโรคบิด คือ การรักษาสาเหตุ และการรักษาประคับประคองตามอาการ

ก. การรักษาสาเหตุ: เช่น

  • การให้ยาปฏิชีวนะในโรคบิดชิเกลลา
  • และยาฆ่าเชื้ออะมีบาในโรคบิดอะมีบา เช่นยา Metronidazole

ข. การรักษาประคับประคองตามอาการ: เช่น

  • ยาบรรเทาอาการปวดท้อง หรืออาการปวดบิด/ปวดบีบเวลาถ่ายอุจจาระ
  • การให้สารเกลือแร่ อาจโดยการดื่มยาผงละลายเกลือแร่ (ORS)
  • หรือให้น้ำเกลือแร่ทางหลอดเลือดดำ ขึ้นกับความรุนแรงของการขาดน้ำ/ภาวะขาดน้ำ และของเกลือแร่

โรคบิดรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงอย่างไร?

ความรุนแรง/การพยากรณ์โรค และผลข้างเคียงของโรคบิด ได้แก่

ก. การพยากรณ์โรค: โรคบิด โดยทั่วไปเป็นโรคไม่รุนแรง รักษาได้หาย แต่ความรุนแรงสูงขึ้น และอาจเสียชีวิตได้ในกรณี

  • ได้รับเชื้อในปริมาณมาก
  • ในเด็ก
  • ในผู้สูงอายุ
  • ในคนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น ผู้มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน และในผู้ที่เชื้อดื้อยา

ข. ในส่วน ผลข้างเคียงจากโรคบิด เช่น

  • ภาวะขาดน้ำ/ขาดเกลือแร่ในเลือดเมื่อท้องเสียมาก
  • ภาวะซีดเมื่ออุจจาระเป็นเลือดมาก
  • และการเป็นฝีในอวัยวะต่างๆโดยเฉพาะฝีบิดในตับจากเชื้ออะมีบา (แนะนำอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ‘โรคฝีตับ’)

ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?

การดูแลตนเอง การพบแพทย์/มาโรงพยาบาล เมื่อเป็นโรคบิด ได้แก่

  • การรักษา สุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ลดความรุนแรงของโรค และลดการแพร่กระจายโรคไปสู่ผู้อื่น
  • กินยาตามแพทย์แนะนำให้ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ขาดยา
  • ปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาล แนะนำ
  • ดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้น อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำจากท้องเสีย
  • ดื่มยาผงละลายเกลือแร่ อย่างน้อยวันละ 1-3 ซองขึ้นกับความรุนแรงของอาการท้องเสีย เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ/ขาดเกลือแร่
  • กินอาหารอ่อน (ประเภทอาหารทางการแพทย์)
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาล หรือกรณีพบแพทย์แล้ว ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนแพทย์นัดเมื่อ
    • ท้องเสีย ร่วมกับมีไข้สูง
    • อุจจาระเป็นเลือดมากขึ้น
    • อ่อนเพลีย กิน/ดื่มได้น้อย
    • ปวดท้องมาก
    • เมื่อกังวลในอาการ

ป้องกันโรคบิดได้อย่างไร?

ปัจจุบัน ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคบิดทั้ง 2 ชนิด ดังนั้น การป้องกันโรคบิด คือ การป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินอาหาร หรือเรียกอีกชื่อว่า ‘ติดเชื้อทาง อุจจาระ-ปาก (Fecal-oral transmission)’ ซึ่งที่สำคัญ คือ *การรักษา สุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)* นอกจากนั้น ได้แก่

  • ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ก่อนกินอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และเมื่อสัมผัสผู้ป่วย
  • รักษาความสะอาดในการปรุงอาหาร และในทุกขั้นตอนการปรุงอาหาร รวมทั้งในครัว
  • ไม่ใช้ ช้อน แก้วน้ำ ร่วมกับผู้อื่น
  • กินอาหารสุกใหม่ๆเสมอ
  • ระมัดระวังการกิน ผัก และผลไม้ สด ต้องล้างให้สะอาด หรือ ต้องปอกเปลือกผลไม้ก่อนบริโภคเสมอ
  • ดื่มแต่น้ำสะอาด ระวังการกินน้ำแข็ง

บรรณานุกรม

  1. Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  2. Haque, R. et al. (2003). Amebiasis. N Engl J Med 348, 1565-1573.
  3. http://www.boe.moph.go.th/Annual/AESR2015/aesr2558/Part%201/07/dysentery.pdf [2018,Dec22]
  4. https://en.wikipedia.org/wiki/Amoebiasis [2018,Dec22]
  5. https://en.wikipedia.org/wiki/Dysentery [2018,Dec22]
  6. https://emedicine.medscape.com/article/968773-overview#showall [2018,Dec22]