โรคปอด โรคของปอด โรคทางปอด (Pulmonary disease)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 27 ธันวาคม 2561
- Tweet
- บทนำ
- โรคปอดมีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?
- โรคปอดมีอาการอย่างไร?
- แพทย์วินิจฉัยโรคปอดได้อย่างไร?
- รักษาโรคปอดอย่างไร?
- โรคปอดรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
- ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?เมื่อไหร่ควรพบแพทย์ก่อนนัด?
- มีการตรวจคัดกรองโรคปอดไหม?
- ป้องกันโรคปอดได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
- ปอดบวม ปอดอักเสบ (Pneumonia)
- ปอดบวมในเด็ก (Childhood pneumonia) / ปอดอักเสบในเด็ก (Childhood pneumonitis)
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคซีโอพีดี (COPD, Chronic obstructive pulmonary disease)
- โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema)
- ปอดบวมน้ำ (Pulmonary edema)
- มะเร็งปอด (Lung cancer)
- โรคจากขึ้นที่สูง (Altitude sickness)
- ปอด: กายวิภาคปอด (Lung anatomy) / สรีรวิทยาของปอด (Lung physiology)
บทนำ
โรคปอด หรือโรคของปอด หรือ โรคทางปอด (Pulmonary disease หรือ Lung disease) คือ โรค หรือภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อปอด หรือกับหลอดลม จึงส่งผลให้เกิดอาการต่างๆอันเนื่องมาจากการขาดออกซิเจน เพราะปอดมีหน้าที่ฟอกโลหิต กำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนเกินในเลือดให้ออกจากร่างกายทางลมหายใจออก ในขณะเดียวกันก็นำออกซิเจนจากอากาศเข้าสู่เซลล์ต่างทั่วร่างกายผ่านทางเม็ดเลือดแดง (แนะนำ อ่านเพิ่มเติมรายละเอียดทางกายวิภาค และทางสรีรวิทยาของปอดได้ในบทความในเว็บ haamor.com เรื่อง ปอด: กายวิภาคปอดและสรีรวิทยา) ทั้งนี้ในบทความนี้ ของเรียกโรคของปอด/โรคทางปอดว่า “ โรคปอด”
โรคปอดมีสาเหตุเกิดได้จากหลากหลาย (ดังจะกล่าวต่อไปในหัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง) ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยโรคหนึ่งทั่วโลกในทุกเชื้อชาติ พบได้ในทุกวัยตั้งแต่ทารกแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ โดยโอกาสเกิดใกล้เคียงกันทั้งในผู้หญิงและในผู้ชาย
ในออสเตรเลีย พบโรคปอดได้ประมาณ 7 ล้านคนในคนอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ในสหรัฐอเมริกาพบคนเป็นโรคหวัด (โรคหนึ่งที่จัดอยู่ในโรคทางปอด)ประมาณ 1พันล้านคนในทุกๆปี ในสหราชอาณาจักร 1 ใน 7 คนของประชากร มีการเจ็บป่วยด้วยโรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคหืด โรคถุงลมโป่งพอง และโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และเช่นเดียวกัน ในประเทศแคนาดา พบโรคปอดได้มากกว่า 10% ของผู้ป่วยที่จำเป็นต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลและโรคปอดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตประมาณ 16% ของผู้เสียชีวิตชาวแคนาดาทั้งหมด ส่วนในสหรัฐอเมริกา การเสียชีวิตจากโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD, Chronic obstructive pulmonary disease) จัดอยู่ในลำดับที่ 4 และจากโรคปอดอักเสบ /โรคปอดบวมอยู่ในลำดับที่ 6 ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด
โรคปอดแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ โรคปอดเฉียบพลัน และโรคปอดเรื้อรัง โดย
ก. โรคปอดเฉียบพลัน มักเกิดจากการติดเชื้อ หรือจากอุบัติเหตุโดยตรงต่อปอด เป็นโรคที่มักรักษาได้หาย และใช้ระยะเวลาในการรักษาสั้นๆ ประมาณ 2-4 สัปดาห์ โดยโรคปอดเฉียบพลันที่พบได้บ่อย คือจากปอดติดเชื้อ (โรคปอดติดเชื้ออาจเรียกได้อีกชื่อว่า โรคติดเชื้อทางเดินหายใจตอนล่าง) ที่พบบ่อยคือ จากติดเชื้อไวรัส หรือติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคหวัด โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดอักเสบ โรคปอดบวม วัณโรค
และโรคปอดเฉียบพลันสาเหตุอื่นๆที่พบได้บ้าง เช่น โรคมีก้อนลิ่มเลือดเล็กๆหลุดเข้าอุดกั้นหลอดเลือดปอด/สิ่งหลุดอุดหลอดเลือดปอด (Pulmonary embolism) ภาวะปอดแตก/โรคโพรงเยื่อหุ้มปอดมีอากาศ (Pneumothorax)จากอุบัติเหตุ หรือจากการแตกของถุงลมพอง (Bleb)ที่มีขนาดใหญ่ในปอดโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือ โรคจากขึ้นที่สูง
ข. โรคปอดเรื้อรัง เป็นโรคที่รักษาไม่หาย เป็นเรื้อรัง เป็นๆหายๆ และมีการ กำเริบเป็นโรคปอดเฉียบพลันได้เป็นระยะๆ แต่สามารถรักษาควบคุมให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพชีวิต โดยโรคปอดเรื้อรังที่พบได้บ่อย เช่น โรคหืด โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคถุงลมโป่งพอง โรคหลอดลมพอง โรคมะเร็งปอด หรือโรคมะเร็งจากอวัยวะอื่นๆแพร่กระจายสู่ปอด เช่น จาก โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งกระดูก โรคมะเร็งเนื้อเยื่ออ่อน โรคมะเร็งผิวหนังเมลาโนมา หรือจาก โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
โรคปอดมีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?
สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคปอด ได้แก่
- การติดเชื้อ (เป็นสาเหตุพบบ่อยที่สุด)
- ซึ่งที่พบบ่อย คือติดเชื้อไวรัส (เช่น จาก โรคหวัด โรคไข้หวัดใหญ่ โรคหัด โรคซาร์)
- รองไปคือ ติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น วัณโรค โรคติดเชื้อไมโคพลาสมา)
- และที่พบได้ในคนมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ คือ ปอดติดเชื้อรา (เช่น ในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคเอดส์)
- สูบบุหรี่ มักเป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของ โรคถุงลมโป่งพอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคมะเร็งปอด
- การอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เช่น โรคหืด
- มีพังผืดในปอด เช่น จากการสูดดมสารพิษต่างๆ, ผลข้างเคียงจากการฉายรังสีรักษาในบริเวณปอด, ผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัดบางชนิด, หรือผลข้างเคียงจากยารักษาตรงเป้าบางชนิด
- โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง
- มีลิ่มเลือดเล็กๆหลุดเข้าหลอดเลือดปอด ส่งผลให้ปอดขาดเลือด (Pulmonary embolism) เช่น ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
- โรคมะเร็ง ทั้งจากโรคมะเร็งปอดซึ่งเป็นมะเร็งที่เกิดจากเนื้อเยื่อปอดเอง และโรคมะเร็งชนิดต่างๆทั่วร่างกายที่ในระยะแพร่กระจาย มักแพร่กระจายสู่ปอด ที่พบบ่อย เช่น จาก โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งตับ โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น
โรคปอดมีอาการอย่างไร?
อาการของโรคปอดจากทุกสาเหตุจะคล้ายคลึงกัน โดยอาการที่พบบ่อย คือ
- ไอ อาจไอมีเสมหะ หรือไม่มีเสมหะก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ
- ไอเป็นเลือด มีเสมหะปนเลือด เช่น ในโรคมะเร็งปอด หรือวัณโรค
- หอบเหนื่อย หายใจลำบาก อาจหายใจมีเสียงผิดปกติ
- อาจมีเจ็บหน้าอก ซึ่งมักจะเจ็บตรงตำแหน่งปอดที่เกิดโรค และไม่มีการเจ็บ/ปวดร้าวไปแขน ใบหน้า เหมือนในโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย
- อาจมีไข้ มีได้ทั้งไข้สูง เช่น ปอดบวมจากติดเชื้อไวรัส หรือไข้ต่ำ เช่น จากวัณโรค
- อาจมีน้ำในเนื้อเยื่อปอด ที่เรียกว่าปอดบวมน้ำ เช่น ในโรคจากขึ้นที่สูง หรือในโรคปอดบวม ส่งผลให้หายใจหอบเหนื่อย/หายใจลำบาก และไอ
- อาจมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด เช่น ในโรคมะเร็งปอด ส่งผลให้หายใจลำบาก
- เมื่อเป็นมาก ร่างกายจะขาดออกซิเจน ส่งผลให้เกิดอาการเขียวคล้ำ มักเห็นได้ชัดที่ เล็บ นิ้ว มือ เท้า และริมฝีปาก
- เมื่อเป็นมากจะส่งผลไปยังการทำงานของหัวใจ ก่อให้เกิดโรคหัวใจ และภาวะหัวใจวายได้
- เมื่อเป็นมาก จะก่อให้เกิดภาวะหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด
แพทย์วินิจฉัยโรคปอดได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยโรคปอดได้จาก
- การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น อาการ ประวัติการเจ็บป่วยทั้งในอดีตและในปัจจุบัน อาชีพ ประวัติใช้ยาต่างๆ
- การตรวจร่างกาย
- การตรวจฟังเสียงหายใจด้วยหูฟัง
- การถ่ายภาพปอดด้วย เอกซเรย์
- นอกจากนั้น อาจมีการตรวจสืบค้นอื่นๆ/การสืบค้นเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นกับอาการผู้ป่วย, สิ่งที่แพทย์ตรวจพบ, และดุลพินิจของแพทย์ เช่น
- การตรวจเชื้อ และ/หรือการเพาะเชื้อจากเสมหะ
- เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ภาพปอด
- การตรวจเลือดเพื่อดูปริมาณก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดแดง (Arterial blood gas analysis)
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเมื่อสงสัยมีโรคหัวใจร่วมด้วย
- การตรวจประสิทธิภาพการทำงานของปอด/การเป่าปอด (Pulmonary function test)
- การส่องกล้องตรวจหลอดลม
- และบางครั้งอาจมีการตัดชิ้นเนื้อจากเนื้อเยื่อปอดเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา
รักษาโรคปอดอย่างไร?
แนวทางการรักษาโรคปอด คือ การรักษาสาเหตุ และการรักษาประคับประคองตามอาการ
- การรักษาสาเหตุ เช่น
- การให้ยาปฏิชีวนะเมื่อปอดติดเชื้อแบคทีเรีย
- หรือการให้ยาต้านไวรัสเมื่อปอดติดเชื้อไวรัส
- การรักษาโรคหืด
- และการรักษาโรคมะเร็งปอด เป็นต้น
- การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น
- ยาแก้ไอ
- ยาขับเสมหะ
- ยาละลายเสมหะ
- ยาขยายหลอดลม
- และการให้ออกซิเจน เป็นต้น
โรคปอดรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
การพยากรณ์โรคหรือความรุนแรงของโรคปอดขึ้นกับสาเหตุ
- ซึ่งมีทั้งสาเหตุที่รุนแรงไม่มาก มักรักษาได้หายเสมอ เช่น หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน
- หรือโรคที่รุนแรงปานกลาง เช่น ปอดอักเสบ ปอดบวม
- หรือโรคที่รุนแรงมาก เช่น โรคมะเร็งปอด และโรคมะเร็งที่แพร่กระจายจากอวัยวะอื่นๆสู่ปอด
ในส่วน ผลข้างเคียงจากโรคปอด คือ
- การเกิดโรคหัวใจ
- และภาวะเนื้อเยื่อ/อวัยวะทั่วร่างกายขาดออกซิเจน ส่งผลให้เกิดภาวะหายใจล้มเหลว
- ซึ่งทั้งสองโรค/ภาวะ เป็นเหตุให้เสียชีวิตได้
ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร? เมื่อไหร่ควรพบแพทย์ก่อนนัด?
การดูแลตนเองที่สำคัญที่สุด คือ เมื่อมีอาการดังกล่าวแล้วใน ‘หัวข้อ อาการฯ’
- ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลภายใน 2-3 วันเมื่ออาการไม่ดีขึ้น
- หรือรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลภายใน 1-2 วัน หรือ ฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการ เมื่อ
- อาการเลวลง
- หรือมีอาการรุนแรง
- หรือเมื่อเป็นผู้สูงอายุ เด็กอ่อน หญิงตั้งครรภ์ หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ
ส่วนในกรณีเมื่อแพทย์วินิจฉัยแล้วว่า เป็นโรคปอด การดูแลตนเอง ได้แก่
- ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
- กินยาต่างๆตามแพทย์แนะนำให้ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ขาดยา
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อสุขภาพแข็งแรงเพื่อลดโอกาสติดเชื้อ เพราะได้กล่าวแล้วว่า สาเหตุสำคัญของโรคปอดสาเหตุหนึ่ง คือ การติดเชื้อ
- กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
- ดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว (เมื่อแพทย์ไม่ได้แนะนำให้จำกัดน้ำดื่ม) เพื่อช่วยละลายเสมหะ
- พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในที่อากาศถ่ายเทได้ดี
- เมื่อมีไข้ ควรหยุดงาน/โรงเรียน อยู่บ้าน จนกว่าไข้จะลงอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อไม่แพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นทางการหายใจ ไอ จามเสมหะ
- รู้จักใช้หน้ากากอนามัย
- พบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ
- รีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนแพทย์นัด หรือไปโรงพยาบาลฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการเมื่อ
- มีอาการผิดไปจากเดิม
- อาการเลวลง
- กังวลในอาการ
- ไข้สูง และไข้ไม่ลงหลังดูแลตนเองภายใน 1-3 วัน ตามสุขภาพ ดังกล่าวแล้วในตอนต้น
- ไอเป็นเลือด
- มีอาการเขียวคล้ำ
- หายใจหอบเหนื่อย/หายใจลำบาก
- มีอาการสับสน โคม่า
- มีผลข้างเคียงจากยาที่แพทย์สั่งจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น วิงเวียนศีรษะมาก ท้องผูก/ท้องเสียมาก ขึ้นผื่น
- กังวลในอาการ
มีการตรวจคัดกรองโรคปอดไหม?
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีตรวจคัดกรองโรคปอดที่มีประสิทธิภาพซึ่งรวมถึงโรคมะเร็งปอดด้วย ดังนั้นการดูแลตนเองที่ดีที่สุด คือ การป้องกันโรคปอด โดยการป้องกันสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง ซึ่งที่สำคัญ คือ คือ ป้องกันการติดเชื้อ และการเลิกสูบบุหรี่ การไม่สูบบุหรี่
ป้องกันโรคปอดได้อย่างไร?
การป้องกันโรคปอด คือการป้องกันสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง ที่สำคัญ ได้แก่
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ
- ไม่สูบบุหรี่ เลิกบุหรี่ เพื่อลดการทำลายเนื้อเยื่อปอดจากสารพิษในควัน บุหรี่
- หลีกเลี่ยงการไปในที่แออัดในช่วงมีการระบาดของโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
- หลีกเลี่ยงฝุ่นละออง และควันพิษ เมื่อต้องทำงานในภาวะเช่นนั้น ต้องรู้จักใช้หน้ากากอนามัย หรือหน้ากากป้องกันควันพิษนั้นๆ
- หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วยโรคปอดที่เกิดจากการติดเชื้อเพราะ โรคปอดที่เกิดจากการติดเชื้อจะแพร่กระจายได้ง่ายจากลมหายใจ การไอ จาม และจากเสมหะ
- รู้จักใช้หน้ากากอนามัย
- ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข