เลือดกำเดา การตกเลือดกำเดา (Epistaxis)
- โดย ร้อยโท แพทย์หญิง นทมณฑ์ ชรากร
- 22 กรกฎาคม 2561
- Tweet
- เลือดกำเดาคืออะไร? พบได้บ่อยไหม?
- เลือดกำเดาเป็นภาวะรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
- เลือดกำเดามีสาเหตุเกิดจากอะไร?
- อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดเลือดกำเดาออกซ้ำ?
- แพทย์จะทำการตรวจอะไรกับคนไข้ที่ตกเลือดกำเดา?
- รักษาการตกเลือดกำเดาอย่างไร?
- ป้องกันเลือดกำเดาออกได้ไหม ? อย่างไร ?
- ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อตกเลือดกำเดา?
- ดูแลเด็กอย่างไรเมื่อเด็กมีเลือดกำเดาออก?
- เมื่อไรควรพบแพทย์
- บรรณานุกรม
- โรคเลือด (Blood Diseases)
- โรคหูคอจมูก โรคทางหูคอจมูก โรคระบบหูคอจมูก (ENT disease)
- การตรวจทางหูคอจมูก การตรวจทางอีเอ็นที (Clinical examination of Ear Nose Throat or Clinical ENT examination)
- การตรวจเลือด การเจาะเลือดตรวจ (Blood test)
- ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia)
- ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด: ยากันเลือดแข็งตัว (Anticoagulants)
- ฮีโมฟิเลีย (Hemophilia)
เลือดกำเดาคืออะไร? พบได้บ่อยไหม?
เลือดกำเดา หรือ การตกเลือดกำเดา (Epistaxis หรือ Nosebleed) คือ ภาวะที่มีเลือดไหลออกจากช่องจมูก หนึ่งหรือสองช่องก็ได้ โดย 90% ของผู้ป่วย เลือดมักไหลออกจากจมูกส่วนด้านหน้า
เลือดกำเดา พบบ่อยในเด็กที่ชอบใช้เล็บแคะขี้มูกที่แห้งแข็งติดจมูกส่วนด้านหน้า ซึ่งเป็นบริเวณที่หลอดเลือดแดงหลายเส้นมาบรรจบกันเป็นร่างแห หรือเป็นตาข่าย ที่เรียกว่า Kiesselbach’s plexus
เลือดกำเดา เป็นอาการ/ภาวะพบได้บ่อย โดยประมาณ 10% ของประชากรจะมีเลือดกำเดาออกครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ประมาณ 10 % ของผู้ป่วยเท่านั้น ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ทั้งนี้ อัตราส่วนของผู้หญิงต่อผู้ชายที่เกิดอาการ คือ 1:1 โดยเป็นอาการที่พบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ พบได้สูงในเด็กช่วงอายุ 2-10 ปี แต่มักไม่พบในเด็กอ่อน
เลือดกำเดาเป็นภาวะรุนแรงไหม ? มีผลข้างเคียงไหม?
ความรุนแรงของอาการเลือดกำเดาขึ้นกับสาเหตุ โดยทั่วไป เลือดมักหยุดได้เอง ยกเว้นบางกรณีที่เลือดจะออกมาก ไม่สามารถหยุดเองได้ ซึ่งผู้ป่วยต้องพบแพทย์ คือ เมื่อสาเหตุเกิดจาก เนื้องอก โรคมะเร็ง หรือภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
โดยทั่วไป ไม่ค่อยพบผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อนจากตกเลือดกำเดา ยกเว้นเมื่อเลือดออกมาก หรือมีเลือดกำเดาออกบ่อย ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะซีดได้
แต่ในทางอ้อม การตกเลือดกำเดา อาจทำให้ผู้ป่วย และ/หรือญาติผู้อยู่ใกล้ตัวผู้ป่วย เป็นลม หมดสติ ภาวะหายใจล้มเหลว และ/หรือหกล้มหัวฟาด อันเนื่องจากตื่นตระหนกตกใจกลัวที่เห็นเลือดได้
เลือดกำเดามีสาเหตุเกิดจากอะไร?
สาเหตุของการตกเลือดกำเดา คือ
1. สาเหตุเฉพาะที่ในจมูก ซึ่งที่พบได้บ่อย คือ
- จากความผิดปกติทางกายวิภาคของโพรงจมูก เช่น ผนังจมูกคด หรือผนังจมูกทะลุ ทำให้กระแสลมที่ผ่านจมูก ไหลวนผิดปกติ ทำให้เยื่อบุจมูกแห้ง ส่งผลให้หลอดเลือดบริเวณโพรงจมูกเปราะแตกง่าย
- การติดเชื้อในโพรงจมูก และ/หรือมี ไซนัสอักเสบ ส่งผลให้หลอดเลือดในจมูก บวมอักเสบ แตกได้ง่าย
- จากแคะจมูก จนเกิดแผล หรือจนหลอดเลือดแตก
- จมูกถูกกระแทกจากอุบัติเหตุ
- มีสิ่งแปลกปลอมในจมูก เช่น ปลิง หรือเมล็ดผลไม้ ซึ่งก่อให้เกิดแผล และการติดเชื้อ
อนึ่ง สาเหตุที่พบไม่บ่อย ที่ทำให้มีเลือดกำเดาออกทีละมากๆ พบได้ในเด็กผู้ชาย ได้แก่ เนื้องอกในจมูก (Juvenile angiofibroma) นอกนั้น อาจพบสาเหตุเกิดจากโรคมะเร็งในโพรงจมูก ในไซนัส หรือในโพรงหลังจมูกได้ ซึ่งทั้งหมดเป็นโรคมะเร็งในผู้ใหญ่
2. สาเหตุของความผิดปกติของระบบร่างกาย ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เพราะเป็นโรคที่มีผนังหลอดเลือดตีบแข็ง และการยืดหยุ่นของหลอดเลือดไม่ดี หลอดเลือดจึงแตกได้ง่าย โรค/ภาวะตับวาย โรค/ภาวะไตวาย โรคหลอดเลือดผิดปกติที่ทำให้ผนังหลอดเลือดแตกได้ง่าย และการมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
นอกนั้น อาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน ยาแก้ปวดชนิดที่ต้านการอักเสบ/ยาแก้อักเสบ ที่เรียกว่า เอนเสดส์ (NSAID) หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วอร์ฟาริน (Warfarin) และ เฮปาริน (Heparin)
อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดเลือดกำเดาออกซ้ำ?
เลือดกำเดาออกซ้ำ มักเกิดจาก
1. มีความผิดปกติทางกายวิภาคดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ สาเหตุ และไม่ได้รับการดูแลรักษา
2. การติดเชื้อในโพรงจมูกและ/หรือในไซนัส (ไซนัสอักเสบ)
3. โรคภูมิแพ้ทำให้คันจมูก ต้องเอานิ้วแคะ หรือขยี้บริเวณที่หลอดเลือดในผนังจมูกมาบรรจบกันเป็นร่างแห หรือเป็นตาข่าย (Kiesselbach’s plexus)
4. ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
5. ผลข้างเคียงจากยาบางชนิดที่ต้องกินเป็นประจำ ดังกล่าวแล้วในหัวข้อสาเหตุ
6. มีเนื้องอก หรือโรคมะเร็ง ในโพรงจมูก ในไซนัส หรือในโพรงหลังจมูก
แพทย์จะทำการตรวจอะไรกับคนไข้ที่ตกเลือดกำเดา?
ก่อนอื่นแพทย์จะทำการหยุดเลือดไม่ให้ไหล แล้วต่อมาจะสอบถามประวัติของโรคต่างๆดังได้กล่าวแล้ว หลังจากนั้น จึงทำการตรวจร่างกาย โดยใช้เครื่องตรวจในช่อง/โพรงจมูก เมื่อพบจุดเลือดออก จะห้ามเลือดโดยใช้สำลีชุบยาหดหลอดเลือด (Vasoconstrictors) หรือใช้ผ้าก๊อซ (Gauze) สอดอัดบริเวณที่มีเลือดกำเดา หรืออาจใช้ยาซึ่งเป็นกรดชนิดอ่อน จี้บริเวณที่มีเลือดออก หรือใช้มือบีบจมูกผู้ป่วยไว้ ทั้งนี้การจะเลือกใช้วิธีไหน ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์
การตรวจทางห้องทดลอง/การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1. เจาะเลือดตรวจซีบีซี/CBC เกล็ดเลือด และตรวจหาระยะเวลาที่ใช้ในการหยุดภาวะเลือดออก หรือใช้ในการแข็งตัวของเลือด (Coagulation studies)
2. ตรวจภาพตำแหน่งที่คาดว่าเป็นต้นเหตุของเลือดออก เช่น เอกซเรย์ไซนัสเพื่อดูการติดเชื้อของโพรงไซนัส (ไซนัสอักเสบ) เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ เอมอาร์ไอ เมื่อสงสัยสาเหตุจาก เนื้องอก หรือจาก โรคมะเร็ง และตรวจหลอดเลือดของจมูกและลำคอ (Carotid angiogram) เพื่อหาจุดเลือดออกในกรณีเลือดออกไม่หยุด หลังการดูแลรักษาในเบื้องต้น
รักษาการตกเลือดกำเดาอย่างไร?
แนวทางการรักษาการตกเลือดกำเดา ได้แก่
1. หยุดเลือดโดย
- การใช้ยาเฉพาะที่เพื่อให้หลอดเลือดหดตัวเพื่อช่วยให้เลือดหยุด
- การทำให้หลอดเลือดที่มีเลือดออกตีบตัน ด้วยการสอดใส่ผ้าก๊อซเข้าทางด้านหน้า และ/หรือด้านหลังช่องจมูกเพื่อกดอัดหลอดเลือด
- การผ่าตัดผูก หลอดเลือด
- หรือการใส่สารเข้าไปในหลอดเลือดเพื่ออุดหลอดเลือดที่มีเลือดออก (Embolization) ซึ่งจะเลือกใช้วิธีการใด ขึ้นกับความรุนแรงของการมีเลือดออก สาเหตุ และดุลพินิจของแพทย์
2. จัดท่าให้ผู้ป่วยนั่งหัวสูง ก้มหน้าเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เลือดไหลลงคอซึ่งจะทำให้สำลักเลือด เลือดจะออกมากขึ้น และเลือดอาจไหลเข้าไปในปอดก่อให้เกิดปอดอักเสบตามมาได้ เอาผ้าเย็นประคบสันจมูก เพื่อให้ความเย็นช่วยทำให้หลอดเลือดหดตัว
3. รักษาตามอาการ เช่น เอาสำลีชุบยาหดหลอดเลือดสอดใส่และกดอัดในโพรงจมูกบริเวณเลือดออก และ/หรือ เอามือบีบจมูกไว้
ป้องกันเลือดกำเดาออกได้ไหม ? อย่างไร ?
การป้องกันการตกเลือดกำเดา ต้องหาสาเหตุให้พบ และให้การดูแลรักษาตามสาเหตุนั้นๆ จึงจะป้องกันได้ เช่น สอนเด็กไม่ให้แคะจมูก หรือสอดใส่สิ่งแปลกปลอมเข้าไปในโพรงจมูก การรักษาผนังจมูกคด และการรักษาเนื้องอก หรือโรคมะเร็ง เป็นต้น เมื่อสาเหตุเหล่านั้นอาจก่อให้เกิดการตกเลือดกำเดาได้
ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อตกเลือดกำเดา?
อยู่ที่บ้านวิธีง่ายๆในการดูแลตัวเองเมื่อตกเลือดกำเดา คือ ให้นั่งหัวสูง ก้มหน้าเล็กน้อย เอามือกดผนังจมูกข้างนั้น ถ้าเลือดออกจากสองข้างของจมูก ให้เอามือบีบจมูกไว้ (หายใจทางปากแทน) การกด/บีบ ต้องกด/บีบให้แน่น และควรทำนานประมาณ 10-20 นาที ที่ต้องทำดังนี้เพราะว่า 90% เลือดมักออกจากหลอดเลือดจมูกส่วนหน้าดังกล่าวแล้ว การกด/บีบจมูกจึงช่วยกดบีบหลอดเลือด จึงช่วยให้เลือดหยุดไหลได้ นอกจากนั้น อาจให้คนช่วยใช้น้ำแข็งประคบจมูก ห้ามใส่น้ำแข็งเข้าไปในจมูก
ภายใน 24 ชั่วโมงหลังเลือดหยุดต้องป้องกันไม่ให้เลือดออกซ้ำ โดย
- พักผ่อน ไม่ควรออกแรง เล่นนอกบ้าน หรือเล่นรุนแรง
- ไม่สั่งน้ำมูกแรง ไม่แคะจมูก
- ไม่ยกของหนัก
- ไม่ดื่มสุรา หรือเครื่องดื่มอุ่น/ร้อน เพราะหลอดเลือดจะขยาย เลือดจึงอาจออกได้อีก
- แพทย์บางท่านแนะนำให้ ช่วงนอนหลับ ควรหนุนหมอนสูง
ดูแลเด็กอย่างไรเมื่อเด็กมีเลือดกำเดาออก?
การดูแลเด็กเลือดกำเดาออก คือ
1. หยุดเลือดโดยการบีบจมูกเช่นเดียวกับที่ได้กล่าวแล้วในหัวข้อการดูแลตนเอง นานประมาณ 10-20 นาที
2. ใช้ยาหดหลอดเลือดโดยชุบสำลี หรือใช้ผ้าก๊อซ หรือสำลีเปล่าที่สะอาด (กรณีไม่มียาหดหลอดเลือด) สอดอัดเข้าในช่องจมูกด้านเลือดออกให้แน่น
3. ให้เด็กนั่งก้มหน้าแล้วใช้ผ้าเย็นประคบดั้งจมูก
4. ถ้าเลือดไม่หยุดภายใน 20 นาที ให้นำเด็กไปโรงพยาบาลฉุกเฉิน
เมื่อไรควรพบแพทย์?
ควรรีบพบแพทย์/แพทย์หูคอจมูก หรือไปโรงพยาบาลฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงที่เลือดออก เมื่อ
- เลือดกำเดา เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ถูกของแข็งที่จมูก
- เลือดออกมาก และ/หรือ มีอาการผิดปกติร่วมด้วย เช่น วิงเวียน ซีด เหงื่ออกมาก ใจสั่น เป็นลม
- มีปัญหาทางการหายใจ
- เลือดไม่หยุดภายใน 20 นาที ทั้งที่ได้รับการดูแลในเบื้องต้นแล้ว
- มีประวัติเป็นโรคเลือดและ/หรือ มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
- เป็นโรคความดันโลหิตสูง ภาวะตับวาย หรือ ภาวะไตวาย
- ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- เมื่อเลือดกำเดาออกซ้ำภายใน 24 ชั่วโมง
- เมื่อเลือดกำเดาออกบ่อย
- เมื่อเกิดในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
- เมื่อกังวลในอาการ
บรรณานุกรม
- http://www.mayoclinic.org/symptoms/nosebleeds/basics/when-to-see-doctor/sym-20050914 [2018,June30]
- Padgam N. Epistaxis : anatomical and clinical correlate. J Laryngol Otol 1990 ; 104 : 308
- Satyyawati, Singhal SK, Multiple live leech from nose in single patient-a rare entity Indian J of Otolaryngol H&N Surg. 2002 ; 54 : 154-155.
- Tan LKS., Calmoun KH. Epistaxis. Med Clin North America. 1999 ; 83 : 43-56
- Wurman LH. The management of epistaxis. Am. J Otol 1992 ; 13 : 193
- Elani MM. Therapeutic embolization in the treatment of in tractable epistaxis. Arch Otol Head Neck surgery 1996 ; 121 ; 65
- Call WH. ; Control of epistaxis. Surg. Clin North. Am 1969 ; 49 : 1235-1247
- Shaheen OH. Arterial epistaxis. J. Laryngol Otol 1975 ; 17-34
- กรีฑา ม่วงทอง. Epistaxis. หู คอ จมูก เร่งด่วน ใน : กรีฑา ม่วงทอง ปริยนันทน์ จารุจินดา ธฤต มุนินทร์นพมาศ บรรณาธิการ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า โครงการตำราพิมพ์ครั้งที่ 1 ก.ย. 2552 นำอักษรการพิมพ์ 91-103.