เด็กอ้วน เด็กน้ำหนักตัวเกิน (Pediatric obesity and overweight)
- โดย ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง อรุณี เจตศรีสุภาพ
- 14 มกราคม 2566
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ
- เมื่อไรเรียกว่าเด็กน้ำหนักตัวเกินและเมื่อไรเรียกว่าเด็กโรคอ้วน?
- การประเมินขนาดของร่างกายทำอย่างไร?
- แพทย์วินิจฉัยภาวะเด็กน้ำหนักตัวเกินและเด็กโรคอ้วนได้อย่างไร?
- แบ่งระดับความรุนแรงของโรคอ้วนในเด็กอย่างไร?
- เด็กมีน้ำหนักตัวเกินและเด็กโรคอ้วนมีสาเหตุจากอะไร?
- เด็กโรคอ้วนมีภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง?
- รักษาเด็กโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกินอย่างไร?
- มีแนวปฏิบัติในการดูแลควบคุมน้ำหนักอย่างไร?
- ป้องกันการเกิดเด็กน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนอย่างไร?
- เมื่อไรควรพาเด็กพบแพทย์?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- เด็ก: โรคเด็ก (Childhood: Childhood diseases)
- เบาหวานในเด็กและวัยรุ่น (Juvenile diabetes mellitus)
- โรคต่อมไร้ท่อ โรคระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine disease)
- ยาอินซูลิน (Insulin)
- กายวิภาคและสรีรวิทยาระบบต่อมไร้ท่อ (Anatomy and physiology of endocrine system)
- โรคอ้วน และ น้ำหนักตัวเกิน (Obesity and overweight)
- เปอร์เซนไทล์ (Percentile)
- ภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic increased intracranial pressure หรือ Pseudotumor cerebri)
บทนำ
ภาวะพร่องโภชนาการและภาวะโภชนาการเกินเป็นปัญหาสำคัญในการจัดลำดับความสำคัญของปัญหาที่ควรแก้ไขโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ทั้งนี้ โดยสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข รายงานในการกำหนดมาตรการ และจัดทำแผนขับเคลื่อน การดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพเด็กวัยเรียนวัยรุ่น พบว่า เด็กไทยที่มีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วนมีแนวโน้มสูงขึ้นจากปี 2560-2562 ร้อยละ 11.1, 11.7, 13.6 ตามลำดับ และลดลงในปี 2563 และปี 2564 ร้อยละ 12.5 และ 12.4 ตามลำดับ ซึ่งยังพบสูงกว่าค่าเป้าหมาย (ไม่เกินร้อยละ 10)
เมื่อไรเรียกว่าเด็กน้ำหนักตัวเกินและเมื่อไรเรียกว่าเด็กโรคอ้วน?
เด็กน้ำหนักตัวเกิน (Overweight) หมายถึง เด็กที่มีน้ำหนักตัวเมื่อเทียบกับอายุหรือส่วน สูงเกินค่ามาตรฐานปกติแต่ยังไม่มีความผิดปกติของการสะสมไขมันในร่างกาย
เด็กโรคอ้วน หรือ เด็กอ้วน (Obesity) หมายถึง ภาวะที่ร่างกายเด็กมีไขมันสะสมเกินปกติ ซึ่งอาจเกิดขึ้นทั่วร่างกายทำให้อ้วนทั้งตัวหรืออ้วนเฉพาะส่วนกลางของลำตัวที่เรียกว่า Central obesity จนทำให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว
การประเมินขนาดของร่างกายทำอย่างไร?
ในการแยกภาวะน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน ต้องนำน้ำหนักและส่วนสูงมาคำนวณเพื่อชี้วัดภาวะโภชนาการ ได้แก่
- ดัชนีมวลกายหรือ บีเอมไอ (Body mass index, BMI): โดยนำน้ำหนักเป็นกิโลกรัมหารด้วยความสูงเป็นเมตรยกกำลังสองเช่น สูง 150 เซนติเมตรก็คือ 5 เมตรและยกกำลังสอง นำไปหารน้ำหนักที่เป็นกิโลกรัม
- ดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว(กิโลกรัม)/ความสูง(เมตร)2
- หาเปอร์เซ็นต์น้ำหนักตัวเทียบความสูง
เปอร์เซ็นต์น้ำหนักเทียบความสูง = [น้ำหนักจริงของเด็ก(กิโลกรัม) X 100]/น้ำหนักมาตรฐานที่ความสูง (เซนติเมตร)เดียวกัน
แพทย์วินิจฉัยภาวะเด็กน้ำหนักตัวเกินและเด็กโรคอ้วนได้อย่างไร?
ก. วินิจฉัยภาวะเด็กน้ำหนักตัวเกิน ใช้ค่า/เกณฑ์ ดังนี้
- ดัชนีมวลกาย (BMI) เทียบอายุแยกตามเพศอยู่ระหว่างเปอร์เซนไทล์ที่ 85 ถึง 95 หรือ
- เปอร์เซ็นต์น้ำหนักตัวเทียบความสูงอยู่ระหว่าง 120 ถึง 140
ข. วินิจฉัยเด็กเป็นโรคอ้วน ใช้ค่า/เกณฑ์ ดังนี้
- ดัชนีมวลกาย BMI เทียบกับอายุแยกตามเพศมากกว่าเปอร์เซนไทล์ที่ 95 หรือ
- เปอร์เซ็นต์น้ำหนักตัวเทียบความสูงมากกว่า 140
อนึ่ง: ในการวินิจฉัยว่าเด็กมีภาวะน้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วน แพทย์จะมีวิธีวินิจฉัย ดังนี้
- แพทย์จะประเมินว่าอ้วนจริงหรือไม่ โดยใช้เกณฑ์ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนดังกล่าวแล้ว
- แพทย์จะสอบถามประวัติการรับประทานอาหาร บริโภคนิสัย และการรับประทานอาหารย้อนหลัง ใน 24 ชั่วโมง การออกกำลังกายการทำกิจวัตรประจำวัน ประวัติครอบครัว ประวัติการเลี้ยงดู และตรวจร่างกายเพื่อหาความผิดปกติอื่นๆร่วมด้วยเช่น เป็นโรคทางพันธุกรรม หรือโรคต่อมไร้ท่อ หรือมีความดันโลหิตสูง ร่วมด้วยหรือไม่
- สอบถามประวัติการกินยา เนื่องจากยาบางอย่างอาจทำให้อ้วน เช่น ยารักษาอาการทางจิต ยากันชัก ยาเบาหวาน, และสอบถามประวัติว่ามีการอุดกั้นทางเดินหายใจเช่น มีนอนกรน หรือ มีปัญหานั่งหลับเวลาเรียนหรือไม่
- แพทย์จะประเมินทางด้านจิตใจเพื่อช่วยบอกความพร้อมและความร่วมมือของเด็กและของครอบครัวในการรักษาโรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักตัวเกิน
- แพทย์อาจตรวจเลือดเพื่อดูว่ามีโรคเบาหวาน(เบาหวานในเด็กและวัยรุ่น) หรือ มีความผิดปกติของไขมันในเลือด (ไขมันในเลือดสูง) ร่วมด้วยหรือไม่ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงทางโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
ค. ภาวะไขมันสะสมในร่างกาย:
เนื่องจากการวินิจฉัยว่าเด็กเป็นโรคอ้วน เด็กจะต้องมีการสะสมของไขมันในร่างกายผิดปกติด้วย ซึ่งแพทย์จะประเมินโดยประเมินการสะสมของไขมันใต้ผิวหนัง (Skin fold thickness), และเส้นรอบเอวที่เพิ่มขึ้นตามการกระจายของไขมันบริเวณผนังหน้าท้อง
- การวัดเส้นรอบเอว: ทำได้โดยใช้สายวัดวัดตามแนวระนาบรอบเอวที่ระดับสัน/ขอบด้านบนของกระดูกเชิงกรานผ่านสะดือโดยไม่กดรัดผิวหนัง
- ผู้ใหญ่ที่มีเส้นรอบเอวเกินปกติถือว่าอ้วนแม้ว่ามีน้ำหนักตัวปกติ ถ้าวัดเส้นรอบเอวได้เกิน 88 เซนติเมตร (35นิ้ว) ในผู้หญิง, และ 102 เซนติเมตร (40นิ้ว) ในผู้ชาย ซึ่งจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ เช่นโรคเบาหวานชนิดที่ 2, โรคความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ:โรคหลอดเลือดหัวใจ
- ในเด็กอายุ 5 - 16 ปี ขนาดเส้นรอบเอวก็สัมพันธ์กับระดับอินซูลิน (Insulin, ฮอร์โมนควบคุมการใช้น้ำตาลของร่างกาย) ในเลือดและกับระดับความดันโลหิต
- มีการศึกษาในเด็กไทยอายุ 10-18 ปีพบว่า การวัดรอบเอวผ่านสะดือเป็นการคัดกรองอย่างง่าย
- ในวัยรุ่นที่น้ำหนักเกิน คือ เด็กชายในอายุดังกล่าวหากเส้นรอบเอวมากกว่า 5 เซนติเมตร (29 นิ้ว) และเด็กหญิงในอายุดังกล่าวหากเส้นรอบเอวมากกว่า 72.3 เซนติเมตร (28 ½ นิ้ว) จัดว่าน้ำหนักเกิน
- สำหรับเด็กชายในอายุดังกล่าวหากเส้นรอบเอวมากกว่า 8 เซนติเมตร (29 3/4 นิ้ว) และเด็กหญิงในอายุดังกล่าวหากเส้นรอบเอวมากกว่า 74.6 เซนติเมตร (29 1/2 นิ้ว) จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคอ้วน
- การประเมินขนาดเส้นรอบเอวร่วมกับดชนีมวลกายเพื่อค้นหาความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน การวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง (Skin fold thickness) เช่น วัดความหนาที่กึ่งกลางความยาวของต้นแขนด้านหน้า (วัดเหนือกล้ามเนื้อชื่อไบเซพส์, Biceps skin fold thickness), หรือ วัดที่กึ่งกลางความยาวต้นแขนด้านหลัง (วัดเหนือกล้ามเนื้อชื่อไตรเซพส์(Triceps skin fold thickness), หรือ วัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนังเหนือกระดูกสะบัก(Subcapsular skin fold thickness), เป็นต้น
- การวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง จะวัดด้วยเครื่องวัดที่เรียกว่า แคลิเปอร์ (Caliper) ซึ่งต้องมีเทคนิคการวัดอย่างถูกต้อง ถ้าความหนาของไขมันใต้ผิวหนังบริเวณกล้ามเนื้อTriceps มากกว่า 85 เปอร์เซนไทล์ถือว่าอ้วน, ถ้ามากกว่า 95 เปอร์เซนไทล์จัดเป็นโรคอ้วนรุนแรง
- การวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนังมีความสัมพันธ์ได้ดีกับดัชนี้มวลกาย จึงเป็นตัวชี้วัดที่ดีในการบอกว่ามีการสะสมของไขมันในเด็กวัยเรียน
แบ่งระดับความรุนแรงของโรคอ้วนในเด็กอย่างไร?
การใช้ค่าเปอร์เซ็นต์น้ำหนักตัวเทียบความสูง (Weight for height) ช่วยบอกว่าเด็กมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน แต่การใช้เปอร์เซ็นต์น้ำหนักตัวเทียบอายุ (Weight for age) จะช่วยบอกความรุนแรงของเด็กน้ำหนักตัวเกินและเด็กโรคอ้วน โดย
- เด็กน้ำหนักตัวเกิน หมายถึง เปอร์เซ็นต์น้ำหนักเทียบอายุมีค่า 100 - 120 %
- เด็กโรคอ้วนเล็กน้อยหมายถึง เปอร์เซ็นต์น้ำหนักเทียบอายุมีค่า 120 - 140 %
- เด็กโรคอ้วนปานกลางมีค่าเปอร์เซ็นต์น้ำหนักเทียบอายุ 140 - 160 %
- เด็กโรคอ้วนมากมีค่าเปอร์เซ็นต์น้ำหนักเทียบอายุ 160 - 200 %
- เด็กโรคอ้วนมากถึงขั้นที่มีปัญหา (Morbid obesity) มีค่าเปอร์เซ็นต์น้ำหนักเทียบอายุมากกว่า 200%
*หมายเหตุ:
เปอร์เซ็นต์น้ำหนักเทียบอายุ = [น้ำหนักของเด็กที่ชั่งได้จริง(กิโลกรัม)X100] / น้ำหนักมาตรฐานที่อายุเดียวกัน
เด็กมีน้ำหนักตัวเกินและเด็กโรคอ้วนมีสาเหตุจากอะไร?
เด็กน้ำหนักตัวเกิน เป็นภาวะที่ร่างกายได้รับกำลังงาน/พลังงานและสารอาหารเกินความต้องการ จึงมีการเจริญเติบโตเกินปกติ แต่อย่างสมส่วน
ส่วนเด็กโรคอ้วน เกิดจากการสะสมกำลังงานส่วนเกินในเนื้อเยื่อไขมันทั่วร่างกายเนื่องจากความไม่สมดุลของกำลังงานที่ได้รับและการนำกำลังงานที่ได้รับไปใช้ มีการสะสมไขมันเกินปกติ (Excess adiposity)ซึ่งขึ้นกับ การรับประทานอาหาร, การเคลื่อนไหว, และการนำกำลังงานไปใช้ภายใต้การทำงานของฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์, ฮอร์โมนในการเจริญเติบโต (Growth Hormone), สเตียรอยด์, และ ฮอร์โมนอินซูลิน
สาเหตุของโรคอ้วนส่วนใหญ่ เกิดจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการบริโภคอาหารไม่ถูกต้อง, การใช้พลังงานในชีวิตประจำวันน้อยลง, ปัจจัยด้านพันธุกรรม, และปัจจัยจากความเจ็บป่วยของเด็ก
ก. บิดาหรือมารดาอ้วน:
- เด็กที่บิดามารดา 'ไม่อ้วน' มีโรคอ้วนเพียง 8%
- เด็กที่บิดาหรือมารดา 'อ้วน' เป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน 79%
ข. ความผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิด อาจทำให้ร่างกายขาดสารบางอย่าง เช่น เล็ปติน (Leptin ) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุลของกำลังงาน/พลังงานในร่างกาย ภาวะที่มี Leptin น้อยหรือสมองไม่ตอบสนองต่อ Leptin จะทำให้เกิดภาวะต้านการทำงานของอินซูลิน, ร่างกายสร้าง Growth hormone (ฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต) ลดลง, และสร้างไทรอยด์ฮอร์โมนลดลง, เด็กจึงเกิด เจริญเติบโตช้าแต่กินจุ, ร่างกายใช้น้ำตาลกลูโคสและไขมันไม่เต็มที่ทำให้มีไขมันในเลือดสูงขึ้น มีความดันโลหิตสูง และมีพัฒนาการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวช้า, เด็กที่ตัวเตี้ยจึงมีโอกาสอ้วนมากกว่าเด็กตัวสูง, เด็กที่มีกลุ่มอาการต้านอินซูลิน (Insulin resistance syndrome คือ กลุ่มอาการที่มีความผิดปกตในการใช้พลังงานของร่างกายที่ก่อให้เกิดโรค เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง) ทำให้ใช้น้ำตาลกลูโคสได้น้อย
ค. โรคต่อมไร้ท่อ:
โรคของอวัยวะในระบบต่อมไร้ท่อทำให้เด็กอ้วนได้ แต่พบได้น้อยกว่าปัจจัยอื่น (พบประมาณไม่ถึง 10% ของเด็กอ้วน) ในเด็กที่อ้วนและเตี้ยต้องนึกถึงโรคต่อมไร้ท่อและโรคทางพันธุกรรมด้วยเสมอ เช่น ภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต, กลุ่มอาการต้านอินซูลิน, ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน,
เด็กที่มีความผิดปกติของต่อมไร้ท่ออาจพบว่า มีภาวะอ้วนเตี้ย, มีความพิการทางสมอง สติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์, อายุการเจริญของกระดูกช้ากว่าอายุจริง, และเกิดมีโรคอ้วน (ซึ่งมีลักษณะเฉพาะเช่น อ้วนที่ใบหน้าและลำตัว แต่แขนขาไม่อ้วน) โดยไม่มีประวัติอ้วนในครอบครัว
ง. นิสัยการบริโภคไม่ถูกต้อง:
การสะสมของไขมันในร่างกายและการมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นสัมพันธ์กับปริมาณกำลังงานของสารอาหารที่รับประทานโดยเฉพาะอาหารคาร์โบไฮเดรต อาหารรสหวาน และอาหารไขมันสูง ซึ่งมักพบในครอบครัวที่มีลักษณะ เช่น
- เด็กอ้วนส่วนใหญ่มักเกิดในครอบครัวที่มีรายได้น้อยเนื่องจากบิดามารดาชอบอาหารที่มีกำลังงานสูง เช่น อาหารจำพวกแป้งน้ำตาล และไขมัน
- พบในครอบครัวที่จัดอาหารเกินความต้องการของสมาชิกในครอบครัว
- ชอบรับประทานอาหารสะดวกซื้อและเข้าถึงได้ง่ายเป็นประจำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารนอกบ้านที่ถูกปรุงด้วย น้ำมันไขมัน และน้ำตาลเพิ่มมากขึ้น
จ. การออกกำลังกายไม่เพียงพอและไม่สม่ำเสมอ:
การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยลดการสะสมของไขมันในร่างกายได้ ทั้งนี้สภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้มีการใช้กำลังงานน้อย มีผลต่อการสะสมไขมันในร่างกาย และเด็กที่ดูโทรทัศน์, เล่นคอมพิวเตอร์, และ/หรือ เล่นเกม มากเกินวันละ 2-3 ชั่วโมง มีผลทำให้อ้วนและทำให้ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นลดลง
เด็กโรคอ้วนมีภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง?
ภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงจากการมีโรคอ้วนในเด็ก เช่น
- มีความผิดปกติของการหายใจและการนอนหลับ:
- เด็กโรคอ้วนจะมีปัญหาจากทางเดินหายใจถูกอุดกั้นในขณะนอนหลับซึ่งเรียกว่า Obstructive sleep apnea หรือเรียกย่อว่าโรคโอเอสเอ (OSA) ได้บ่อย โดยเด็กที่เป็น OSA มักจะนอนกรน หรือ หยุดหายใจขณะหลับ (โรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ), ปัสสาวะรดที่นอน, และชอบนั่งหลับในเวลากลางวัน, บางรายเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง, หรือ อาจมีภาวะพร่องสติปัญญา, ในรายที่มี OSA รุนแรงอาจมีอาการ โรคหืด และ/หรือ ภาวะหัวใจล้มเหลวร่วมด้วย
- เด็กอ้วนมาก อาจมีก้อนไขมันพอกและกดทับบริเวณหน้าอกทำให้ปอดขยายได้จำกัด เกิดกลุ่มอาการพิกวิกเกียน (Pickwickian syndrome) คือ ทำให้หายใจช้า, มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คั่งในเลือด, นั่งหลับเวลากลางวัน, และหยุดหายใจเป็นช่วงๆ, ตามด้วยเลือดข้น, ขาดออกซิเจน, หัวใจโต, และอาจเสียชีวิตกะทันหันได้
- เสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ: เนื่องจากมีไขมันในเลือดสูงเกินปกติเด็กจึงเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็งและโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ:โรคหลอดเลือดหัวใจ เช่นเดียวกับในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน
- เสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes Mellitus): เนื่องจากมีภาวะต้านอินซูลินทำให้เซลล์ต่างๆในร่างกายไม่สามารถนำ น้ำตาลกลูโคส, กรดอะมิโน(Amino acid ), และกรดไขมันต่างๆ, เข้าสู่เซลล์ ทำให้สารดังกล่าวมีปริมาณในเลือดมากเกินปกติจึงทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆตามมา
- มีความผิดปกติของระบบประสาท: เช่น
- อาจพบมีความผิดปกติของระบบประสาทที่เรียกว่า ภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง (Pseudotumor cerebri: มีความดันในสมองเพิ่มขึ้นโดยหาสาเหตุไม่ได้ชัดเจน) พบ 30 - 80% มีอาการสำคัญ เช่น ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน มองเห็นภาพซ้อน (ภาพๆเดียวแต่มองเห็นซ้อนเป็นหลายภาพ)
- อาจมีเส้นประสาทตาผิดปกติ
- มีความผิดปกติของกระดูกและข้อ: ทำให้กระดูกขาโก่ง หรือ พบหัวกระดูกต้นขาหลุดทั้งสองข้าง
- ความผิดปกติของตับและท่อน้ำดี: โรคอ้วนในเด็กเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิด นิ่วในถุงน้ำดี ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเรื้อรัง และมีไขมันสะสมในตับมากขึ้น(โรคไขมันพอกตับ)
- มีความผิดปกติด้านจิตใจและสังคมมาก:
- ความผิดปกติที่พบในเด็กโตหรือวัยรุ่น เช่น ติดบุหรี่ ผลการเรียนเลวลง แยกตัวจากเพื่อน ขัดแย้งกับครอบครัว เป็นโรคซึมเศร้าที่ปฏิเสธการรักษา
- เด็กอนุบาลที่อ้วนมักอ่านหนังสือไม่เก่ง, เด็ขาดความมั่นใจ, มีปัญหาปฏิสัมพันธ์ต่อสมาชิกในครอบครัว
รักษาเด็กโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกินอย่างไร?
เป้าหมายการรักษาเด็กน้ำหนักตัวเกินและเด็กอ้วน คือ
- รักษาและแก้ไขภาวะแทรกซ้อนหรือภาวะผิดปกติที่เกิดร่วมกับน้ำหนักเกินและโรคอ้วน ร่วมกับรักษาและควบคุมน้ำหนักตัว
- ควบคุมน้ำหนักตัวเมื่อไม่มีภาวะแทรกซ้อนในเด็กยังมีการเจริญเติบโตได้ เมื่อตัวสูงขึ้นและควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากขึ้นความอ้วนก็จะลดลง ดังนั้นจึงควรมีตาชั่งชนิดที่วัดได้ละเอียดเป็นจุดทศนิยม 2 ตำแหน่งไว้ชั่งน้ำหนักตัวเด็กเพื่อการติดตามน้ำหนักตัวสม่ำเสมอ
- ลดน้ำหนักตัวเมื่อมีภาวะแทรกซ้อน ในเด็กที่อายุมากกว่า 7 ปีทั้งภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน (แพทย์ไม่แนะนำการลดน้ำหนักในเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปีเพราะจะมีผลต่อการเจริญเติบโตและสุข ภาพของเด็กได้)
มีแนวปฏิบัติในการดูแลควบคุมน้ำหนักอย่างไร?
แนวปฏิบัติในการดูแลควบคุมน้ำหนักตัว คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นการรักษาที่ได้ผลดี การรักษาเน้นทั้งตัวเด็กและครอบครัวร่วมกันในการจัดการดูแลเรื่องอาหาร, การออกกำลังกาย, และการสนับสนุนดูแลทางด้านจิตใจ
ทั้งนี้เด็กควรได้รับการดูแลและติดตามจากแพทย์ด้านโภชนาการตามกำหนดที่แพทย์นัดเสมอ
ป้องกันการเกิดเด็กน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนอย่างไร?
การป้องกันการเกิดเด็กภาวะน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน ทั่วไป คือ
- ติดตามการเจริญเติบโตของเด็กเป็นระยะๆ และติดตามน้ำหนักและส่วนสูงกับกราฟการเจริญเติบโต/เปอร์เซนไทล์ ตามเพศและอายุ
- หากการเจริญเติบโตปกติ เส้นกราฟจะขนานไปกับเส้นเฉลี่ยของค่าปกติ (เปอร์เซนไทล์ที่ 50), ไม่เกินเปอร์เซนไทล์ที่ 97 (มากเกิน), และไม่ต่ำกว่าเปอร์เซนไทล์ที่ 3 (น้อยเกิน)
- ในเด็กที่น้ำหนักตัวเกินและเป็นโรคอ้วน: เส้นกราฟจะพุ่งขึ้นจากแนวปกติจึงต้องติดตามและป้องกันก่อนผิดปกติ
- การวัดรอบเอวและเทียบกับค่าที่มีการกำหนดเส้นรอบเอว (วัดผ่านสะดือ) ตามเกณฑ์ที่กำหนดดังกล่าวแล้วในข้างต้น (หัวข้อ การวินิจฉัย/การประเมินภาวะไขมันสะสมในร่างกาย) ทำให้พบปัญหาน้ำหนักเกินและโรคอ้วนได้เร็ว ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้เร็วและง่ายต่อการรักษามากกว่าเมื่อเกิดโรคอ้วนจนมีภาวะแทรกซ้อนอื่นตามมาแล้วซึ่งจะรักษายากขึ้น
- ลดอาหารที่ให้กำลังงาน/พลังงานสูง เช่น แป้งไขมัน น้ำตาล
- ให้เด็กมีการเคลื่อนไหวและใช้พลังงานเสมอ ไม่เอาแต่นั่งดูโทรทัศน์หรือเล่นเกม นานๆ
- เปลี่ยนทัศนคติว่า เด็กอ้วนน่ารักและพยายามเลี้ยงให้อ้วน
- พ่อแม่ผู้ปกครอง:
- ควรปฏิบัติเป็นตัวอย่างในเรื่อง การรับประทานอาหารการออกกำลังกาย
- และควรมีกิจกรรมร่วมกัน ที่ทำให้มีการเคลื่อนไหวมากกว่านั่งดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมนานๆ
เมื่อไรควรพาเด็กพบแพทย์?
ควรพาเด็กพบแพทย์เมื่อ
- เด็กมีน้ำหนักตัวเบี่ยงเบนออกไปจากค่ามาตรฐานจากกราฟการเจริญเติบโตตามเพศและอายุ (ดูได้จากสมุดประจำตัวเด็ก)
- เด็กอ้วนกว่าเด็กวัยไล่เลี่ยกัน
- เด็กตัวเตี้ยกว่าเด็กวัยไล่เลี่ยกัน
- เด็กมีอาการนอนกรน หรือ มีปัญหาหลับกลางวันมากกว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นอาการบ่งบอกว่ามีการอุดกั้นทางเดินหายใจ
บรรณานุกรม
- กุสุมา ชูศิลป์. น้ำหนักเกินและโรคอ้วนในเด็ก. ใน: สุวรรณี วิษณุโยธิน, พัชรี คำวิลัยศักดิ์, จรรยา จิระประดิษฐา, ผกาพรรณ เกียรติชูสกุล, ณรงค์ เอื้อวิชญาแพทย์, จามรี ธีรตกุลพิศาล, อรุณี เจตศรีสุภาพ. บรรณาธิการ. กุมารเวชศาสตร์สาหรับนักศึกษาแพทย์ปี 5. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 2555. (กำลังพิมพ์)
- วินัย สวัสดิวร. การบรรยายเรื่อง “ทิศทางการสร้างเสริมสุขภาพ และป้องกันโรคในเด็กไทย: มุมมองของ สปสช.”การประชุมใหญ่กุมารเวชศาสตร์ ครั้งที่ 74 ณ. โรงแรม Centara Grand at Central World กรุงเทพมหานคร. 18 ตุลาคม 2555.
- Yamborisut U, Kijboonchoo K, Wimonpeerapattana W, Srichan W, Thasanasuwan W. Study on different sites of waist circumference and its relationship to weight-for-height index in Thai adolescents. J Med Assoc Thai. 2008; 91: 1276-84.
- https://nutrition2.anamai.moph.go.th/web-upload/6x22caac0452648c8dd1f534819ba2f16c/filecenter/file/doc/2564-1.11-2.pdf [2023,Jan14]