เซิร์ม: กลุ่มยาเซิร์ม (SERMs: Selective Estrogen Receptor Modulators)
- โดย ภก.ศิวัสว์ ผุลลาภิวัฒน์
- 16 สิงหาคม 2558
- Tweet
- บทนำ
- กลุ่มยาเซิร์มมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) อย่างไร?
- กลุ่มยาเซิร์มมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
- กลุ่มยาเซิร์มมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
- ยาในกลุ่มยาเซิร์มมีขนาดรับประทานอย่างไร?
- เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
- หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
- กลุ่มยาเซิร์มมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
- มีข้อควรระวังการใช้ยาในกลุ่มยาเซิร์มอย่างไร?
- กลุ่มยาเซิร์มมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
- ควรเก็บรักษากลุ่มยาเซิร์มอย่างไร?
- กลุ่มยาเซิร์มมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
- บรรณานุกรม
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- ยาเม็ดคุมกำเนิด (Birth control pill)
- โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกบาง (Osteoporosis and Osteopenia)
- วัยหมดประจำเดือน (Menopause)
- มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate cancer)
- ภาวะช่องคลอดแห้ง (Vaginal dryness) / ภาวะร้อนวูบวาบในวัยหมดประจำเดือน (Hot flashes in postmenopause)
- มะเร็งเต้านม (Breast cancer)
บทนำ
เอสโตรเจน (Estrogen) เป็นกลุ่มฮอร์โมนเพศหญิง สำคัญที่มีบทบาทต่อร่างกายโดยเฉพาะ ในเพศหญิงซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ส่งเสริมการแสดงออกทางเพศหญิงได้แก่ การมีเต้านม มีเสียงแหลมสูง มีความสัมพันธ์เกี่ยวกับการมีประจำเดือน เป็นต้น
โดยปรกติสารประกอบเอสโตรเจน (Estrogenic compounds) มีคุณสมบัติและความ สามารถในการออกฤทธิ์ได้แตกต่างกัน การออกฤทธิ์ของสารประกอบเอสโตรเจนจะเกิดขึ้นก็ต่อ เมื่อมีการจับเข้ากับตัวรับเอสโตรเจน (Estrogen receptor) ซึ่งกระจายอยู่ทั่วไปในร่างกาย สารบางชนิดเมื่อมีการเข้าจับแล้วจะทำให้เกิดผลกระตุ้นการทำงานของตัวรับเอสโตรเจนเรียกว่า อะโกนิสต์ (Agonist, มีการทำงานเหมือนกัน) แต่สารประกอบบางประเภทเมื่อเข้าจับกับตัวรับเอส โตรเจนแล้วจะไม่ทำให้เกิดผลการกระตุ้นการทำงาน และยังส่งผลป้องกันไม่ให้สารประกอบเอส โตรเจนชนิดอื่นเข้าจับกับตัวรับเอสโตรเจนที่ตัวเองเข้าจับแล้วด้วย จึงทำให้เกิดผลการป้องกันการกระตุ้นหรือเรียกว่า แอนตาโกนิสต์ (Antagonist, ต้านการทำงาน)
ตัวรับเอสโตรเจนมีการกระจายตัวอยู่ทั่วไปในร่างกายทั้งในเซลล์กระดูก เต้านม สมองไฮโปธาลามัส ไต ต่อมลูกหมาก เป็นต้น ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเจริญเติบโตและการแสดงออกของเพศหญิง โดยหากสารประกอบเอสโตรเจนชนิดที่กระตุ้นการ ทำงานของตัวรับเอสโตรเจนเข้าจับกับตัวรับที่เซลล์ของกระดูก จะทำให้เกิดการยับยั้งการดูดกลับของแคลเซียมจากกระดูก จึงช่วยในการรักษาหรือป้องกันการเกิดภาวะ/โรคกระดูกพรุนได้ ในขณะเดียวกันหากเข้าจับกับตัวรับที่เซลล์มะเร็งที่เต้านมชนิดที่ต้องอาศัยฮอร์โมนเอสโตรเจนในการกระตุ้น (Estrogen receptor +, ER+) ก็จะทำให้เกิดการขยายขนาดหรือการเพิ่มจำนวน เซลล์มะเร็งเต้านม หรือการเข้าจับกับเซลล์ของมดลูกก็จะส่งเสริมการสร้างผนังเยื่อบุมดลูกนั่นเอง
ด้วยคุณสมบัติการกระตุ้นหรืออะโกนิสต์ และการยับยั้งการกระตุ้นหรือแอนตาโกนิสต์ของ สารประกอบเอสโตรเจนหลายชนิด ซึ่งมีลักษณะการแสดงออกของฤทธิ์ที่แตกต่างกันออกไปตามบริเวณที่ยาหรือสารเคมีออกฤทธิ์นั้น จึงมีการสังเคราะห์กลุ่มสารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติกระตุ้นตัวรับเอสโตรเจน (อะโกนิสต์) ในบางบริเวณหรือบางอวัยวะ ขณะเดียวกันก็มีคุณสมบัติการยับยั้งการกระตุ้นตัวรับเอสโตรเจน (แอนตาโกนิสต์) ในบางบริเวณหรือบางอวัยวะเช่นเดียว กัน เรียกชื่อโดยรวมของยาในกลุ่มนี้ว่า “เซิร์ม” (SERMs) หรือกลุ่มสารเคมีที่มีความสามารถในการปรับเข้ากับตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างจำเพาะ (Selective Estrogen Receptor Modula tors)
ปัจจุบันมียาที่อยู่ในกลุ่มนี้จำนวนมากและมีข้อบ่งใช้ที่แตกต่างกัน การใช้ยาเหล่านี้ควรเป็นไปตามดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาและได้รับการติดตามการรักษาจากแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น
กลุ่มยาเซิร์มมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) อย่างไร?
ยาในกลุ่มยาเซิร์มมีสรรพคุณ/มีข้อบ่งใช้แตกต่างกันตามตำแหน่งการออกฤทธิ์ของยาดัง ต่อไปนี้เช่น
- ใช้สำหรับการรักษามะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจาย (Invasive Brest Cancer) เช่น ยาราลอกซีฟีน (Raloxifene), ยาทาม็อกซิเฟน (Tamoxifen), ยาโทเรมิฟีน (Toremifene) และยาลาโซโฟซิฟีน (Lasofoxifene)
- ใช้สำหรับป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) เช่น ยาราลอกซิฟีน (Raloxifene) และยาลาโซโฟซิฟีน (Lasofoxifene)
- ใช้สำหรับกระตุ้นการตกไข่ (Ovulation Induction) เช่น ยาโคลมิฟีน (Clomifene)
- ใช้สำหรับรักษาภาวะช่องคลอดแห้ง (Vaginal atrophy) และภาวะปวดขณะมีเพศสัม พันธ์ (Dyspareunia) เช่น ยาออสพีมิฟีน (Ospemifene)
- ใช้เป็นยาเม็ดคุมกำเนิดเช่น ยาออร์มีโลซิฟีน (Ormeloxifene)
กลุ่มยาเซิร์มมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
กลุ่มยาเซิร์มมีกลไกการออกฤทธิ์ดังนี้เช่น
- กลไกการออกฤทธิ์ต่อตัวรับเอสโตรเจนที่เซลล์กระดูก: ยาในกลุ่มเซิร์มมีคุณสมบัติกระตุ้นการทำงานของตัวรับเอสโตรเจนที่บริเวณกระดูก ทำให้เกิดการยับยั้งการดูดกลับของแคลเซียมในกระดูกจึงช่วยป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนได้ ด้วยคุณสมบัตินี้ทำให้มีการนำยาในกลุ่มนี้มาใช้กับผู้ป่วยหญิงวัยหมดประจำเดือนแล้วเพื่อป้องกันหรือรักษาโรคกระดูกพรุน
- กลไกการออกฤทธิ์ต่อตัวรับเอสโตรเจนที่เซลล์เต้านม: เซลล์มะเร็งเต้านมบางชนิดต้องอาศัยฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเพิ่มจำนวนเซลล์ (Positive Estrogen Receptors, ER+) ยาในกลุ่มยาเซิร์มบางชนิดได้แก่ ยาราลอกซีฟีน (Raloxifene) ยาทาม็อกซิเฟน (Tamoxifen) ยาโทเรมิฟีน (Toremifene) และยาลาโซโฟซิฟีน (Lasofoxifene) จะเข้าจับกับตัวรับเอสโตรเจนที่เซลล์มะเร็งและออกฤทธิ์ยับยั้งการกระตุ้นการเจริญของเซลล์มะเร็งเต้านม จึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมจึงทำให้มีการนำมาใช้ในการรัก ษามะเร็งเต้านม
- กลไกการออกฤทธิ์ต่อตัวรับเอสโตรเจนที่เซลล์มดลูก: ด้วยคุณสมบัติการออกฤทธิ์ยับ ยั้งการกระตุ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจนต่อมดลูกของยาบางชนิดในกลุ่มยาเซิร์ม ทำให้มีการพัฒนา ยาในกลุ่มเซิร์มที่มีคุณสมบัติป้องกันการกระตุ้นการสร้างผนัง/เยื่อบุโพรงมดลูกสำหรับฝังตัวอ่อน คือยาออร์มีโลซิฟีน (Ormeloxifene) โดยตัวยามีคุณสมบัติทำให้ผนังมดลูกสร้างได้ช้าลงทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถฝังตัวได้ ยาในกลุ่มเซิร์มบางชนิดจึงมีข้อบ่งใช้ในการนำมาใช้เป็นยาเม็ดคุมกำเนิด
- กลไกการออกฤทธิ์ต่อตัวรับเอสโตรเจนที่สมองไฮโปธาลามัส: ยาโคลมิฟีน (Clomi phene) ซึ่งเป็นยาในกลุ่มเซิร์ม มีความสามารถในการยับยั้งที่ตัวรับเอสโตรเจนในสมองไฮโปธาลามัส สมองไฮโปธาลามัสมีบทบาทสำคัญคือการหลั่งฮอร์โมนต่างๆรวมถึงฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นการตกไข่หรือโกนาโดโทรพินริลิสซิงฮอร์โมน (Gonadotropin-releasing Hormone) โดยปกติ เมื่อมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายเพิ่มขึ้นจะเกิดวงจรสะท้อนกลับเชิงลบ (Negative Feedback) ต่อสมองไฮโปธาลามัสที่ตัวรับเอสโตรเจนของต่อม ทำให้ลดการกระตุ้นการหลั่งฮอร์ โมนเพื่อทำให้เกิดการตกไข่ด้วย ยาโคลมิฟีนจะยับยั้งวงจรสะท้อนกลับนี้ทำให้สมองไฮโปธาลา มัสหลั่งฮอร์โมนเพื่อการกระตุ้นการตกไข่หรือโกนาโดโทรพินริลิสซิงฮอร์โมน (Gonadotropin-releasing Hormone) มากขึ้น จึงมีการนำมารักษาผู้หญิงทีมี่ปัญหาเกี่ยวกับการตกไข่
บทบาทของยากลุ่มนี้ต่อตัวรับเอสโตรเจนที่บริเวณอื่นๆของร่างกายยังอยู่ในการศึกษาวิจัย อาทิ ผลของยากลุ่มเซิร์มต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น จึงเป็นไปได้ว่า อาจมียาใหม่ในกลุ่มนี้ หรือมีข้อบ่งใช้อื่นๆในอนาคต
กลุ่มยาเซิร์มมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
ยาในกลุ่มเซิร์มมีชื่อยา รูปแบบการเภสัชภัณฑ์ และความแรงของยา ที่จัดจำหน่ายในประ เทศไทยดังต่อไปนี้เช่น
ยาในกลุ่มยาเซิร์มมีขนาดรับประทานอย่างไร?
ยาในกลุ่มยาเซิร์มมีขนาดรับประทานดังต่อไปนี้เช่น
ก. ยาโคลมิฟีน: ใช้สำหรับการกระตุ้นการตกไข่ในสตรีที่พบมีมีปัญหาเกี่ยวกับการตกไข่ รับประทานยาโคลมิพีนขนาด 50 มิลลิกรัมวันละ 1 ครั้งเป็นเวลา 5 วัน ซึ่งสามารถเริ่มยาเมื่อ ไหร่ก็ได้ในขณะที่ผู้ป่วยไม่มีประจำเดือน หากผู้ป่วยมีประจำเดือนก่อนเริ่มต้นการรักษา หรือแพทย์มีแผนการใช้ฮอร์โมนโพรเจสติน (Progestin) ในการกระตุ้นการตกไข่ร่วมด้วย แพทย์มักแนะนำเริ่มใช้ยานี้วันที่ 5 นับจากวันแรกที่มีประจำเดือน
หากการกระตุ้นการตกไข่ล้มเหลวจากขนาดยานี้ในเบื้องต้น แพทย์อาจเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่าเช่น 100 มิลลิกรัมรับประทานวันละ 1 ครั้งเป็นเวลา 5 วัน โดยแพทย์มักให้เริ่มใช้ขนาดยานี้โดยเร็วที่สุดภายใน 30 วันหลังการให้ขนาดยาครั้งแรกล้มเหลว และแพทย์มักไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ต่อเนื่องในระยะยาวหรือมากกว่า 6 รอบประจำเดือน
ยานี้ใช้รับประทานก่อนหรือพร้อมอาหารก็ได้ แต่แพทย์มักแนะนำรับประทานก่อนนอน
ข. ยาออร์มีโลซิฟีน: สำหรับการรักษาภาวะเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูก (Dysfunc tional uterine bleeding) แพทย์มักแนะนำรับประทานยานี้ขนาด 60 มิลลิกรัมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ในช่วง 12 สัปดาห์แรก และรับประทานยาขนาด 60 มิลลิกรัมสัปดาห์ละครั้งอีก 12 สัปดาห์
สำหรับข้อบ่งใช้เป็นยาเม็ดคุมกำเนิด แพทย์มักให้รับประทานยานี้ขนาด 30 มิลลิกรัม สัปดาห์ละ 2 ครั้งในช่วง 12 สัปดาห์แรก และรับประทานยาขนาด 30 มิลลิกรัมสัปดาห์ละครั้งตั้งแต่สัปดาห์ที่ 13 เป็นต้นไป โดยให้เริ่มรับประทานยานี้ในวันที่ประจำเดือนมาเป็นวันแรก หลัง จากนั้นให้รับประทานยาอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องคำนึงถึงเวลาการมีประจำเดือน
ยานี้รับประทานร่วมกับหรือหลังอาหารก็ได้ และควรรับประทานในเวลาเดียวกันทุกครั้ง
ค. ยาราโลซิฟีน: สำหรับป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน และข้อบ่งใช้การลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านมในสตรีวัยหมดประจำเดือน (Postmenopausal): แพทย์มักแนะนำรับประ ทานวันละ 60 มิลลิกรัม (หรือ 1 เม็ด) โดยทานในเวลาเดียวกันทุกวันโดยไม่ต้องคำนึกถึงมื้ออา หาร ยานี้สามารถใช้อย่างต่อเนื่องเป็นในระยะยาว 3 - 5 ปีหากผู้ป่วยมีการตอบสนองต่อยาได้ดี
ง. ยาทาม็อกซิเฟน:
- สำหรับเป็นยาเสริมการรักษาโรคมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น (Early Breast Cancer) แพทย์มักให้รับประทานยา 20 มิลลิกรัมวันละครั้งระยะเวลาในการรักษาที่แนะนำเป็นเวลา 5 ปี ทั้งนี้ขึ้นกับดุลยวินิจของแพทย์ผู้ทำการรักษา
- สำหรับรักษามะเร็งเต้านมชนิดที่มีตัวรับเอสโตรเจน (Positive Estrogen Receptor, ER+) ชนิดโรคลุกลามหรือแพร่กระจาย (Advanced to Metastatic Breast Cancer) แพทย์มักให้รับประทานยานี้ขนาด 20 - 40 มิลลิกรัมต่อวันโดยอาจแบ่งให้ยาเป็นวันละ 2 ครั้งหรือบริหารยา/ใช้ยานี้พร้อมกันในเวลาเดียวกันก็ได้
ยานี้สามารถรับประทานโดยไม่ต้องคำนึงถึงมื้ออาหาร แต่ควรรับประทานยาในเวลาเดียว กันของทุกวัน
ยาลาโซโฟซิฟีนสำหรับรักษาโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือน: แพทย์มักให้รับ ประทานยานี้ขนาด 0.5 มิลลิกรัมต่อวัน หากผู้ป่วยมีการตอบสนองต่อยาได้ดี แพทย์อาจพิจารณา ใช้ยานี้อย่างต่อเนื่องเป็นในระยะยาวถึง 5 ปี ยานี้รับประทานได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงมื้ออาหาร
ยาออสพีมิฟีนสำหรับรักษาภาวะช่องคลอดแห้ง (Vaginal atrophy) และภาวะปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ (Dyspareunia) ในสตรีวัยหมดประจำเดือน: แพทย์มักให้รับประทานวันละ 60 มิลลิกรัม (หนึ่งเม็ด) วันละ 1 ครั้งร่วมกับหรือหลังอาหาร
ช. ยาโทเรมิฟีนสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายในสตรีวัยหมดประจำเดือน: แพทย์มักให้รับประทาน 60 มิลลิกรัมต่อวัน หรือรับประทานวันละ 1 เม็ด ยานี้รับประทานได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงมื้ออาหารแต่ควรเป็นเวลาเดียวกันในทุกวัน
*****หมายเหตุ:
- ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ผู้รักษาได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดที่รวมถึงกลุ่มยาเซิร์มควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรดังนี้ เช่น
- ประวัติการแพ้ยา แพ้สารเคมี และแพ้อาหารทุกชนิด
- ประวัติการใช้ยาทั้งยาที่แพทย์สั่งจ่ายและยาที่ซื้อทานเอง วิตามิน ผลิตภัณฑ์เสริมอา หารและสมุนไพร
- ประวัติโรคประจำตัว โรคที่เป็นอยู่หรือโรคที่เคยเป็น โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับโรค หัวใจ โรคที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด ประวัติการเกิดลิ่มเลือดแข็งตัว โรคตับ โรคไต โรคมะเร็ง
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณกำลังตั้งครรภ์ วางแผนที่จะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
หากลืมรับประทานยากลุ่มเซิร์มให้รับประทานโดยทันทีที่นึกขึ้นได้ หากใกล้เวลาการรับ ประทานยานี้ในมื้อถัดไปให้ข้ามมื้อยานั้นไป และรับประทานยาตามมื้อยาถัดไปตามปกติโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า
กลุ่มยาเซิร์มมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
การใช้ยาในกลุ่มเซิร์มอาจก่อให้เกิดผล/อาการไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) บางประการ โดยทั่วไปเช่น อาการรู้สึกร้อนวูบวาบ เหนื่อย เหงื่อออกมากผิดปกติ นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ วิง เวียน คลื่นไส้ อาเจียน อารมณ์แปรปรวน หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นและมีแนวโน้มว่าอาการแย่ลงหรือไม่ทุเลา ให้แจ้งให้แพทย์ทราบหรือพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัด
หากรับประทานยาในกลุ่มยาเซิร์มแล้วเกิดอาการแพ้ยาเช่น ผื่นคัน อาการบวมของริมฝี ปาก เปลือกตา/หนังตา ใบหน้า หรือหายใจไม่สะดวก/หายใจลำบาก หรืออาการข้างเคียงที่มีความรุนแรงเช่น กลับมามีประจำเดือนหรือมีเลือดไหลออกทางช่องคลอด ปวดกล้ามเนื้อรุนแรง อ่อนเพลียอย่างรุนแรง ปวดขาอย่างรุนแรงโดยเฉพาะปวดเพียงข้างเดียว แน่นหน้าอก หากใจไม่สะดวก/หายใจลำบาก การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป หรืออาการปวดศีรษะรุนแรง ให้พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลโดยทันที/ฉุกเฉิน
มีข้อควรระวังการใช้ยาในกลุ่มยาเซิร์มอย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้ยาในกลุ่มยาเซิร์มดังนี้เช่น
- ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยที่แพ้ยานี้หรือแพ้ส่วนประกอบของยานี้
- หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในสตรีตั้งครรภ์หรือสตรีให้นมบุตร
- ยาบางชนิดในกลุ่มยานี้มีข้อบ่งใช้สำหรับสตรีวัยหมดประจำเดือนเท่านั้น (ดูได้ในหัวข้อ ยาแต่ละชนิดในกลุ่มยาเซิร์มมีขนาดรับประทานอย่างไร?) ควรหลีกเลี่ยงในการใช้ยาดัง กล่าวในสตรีที่ยังมีประจำเดือน
- แพทย์อาจพิจารณาการตรวจติดตามความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด หรือการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจระหว่างการใช้บางชนิดยาในกลุ่มนี้
- ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
- ห้ามใช้ยาหมดอายุ
- ห้ามเก็บยาหมดอายุ
***** อนึ่ง:
- ข้อควรระวังการใช้ยาในกลุ่มเซิร์มของบทความนี้เป็นข้อควรระวังในภาพรวมของการใช้ยาของกลุ่มนี้ อย่างไรก็ดี ผู้อ่านควรศึกษาข้อมูลด้านข้อควรระวังของยาแต่ละชนิดในบท ความเฉพาะของยาแต่ละชนิดด้วย
- ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด(รวมกลุ่มยาเซิร์มด้วย) ยาแผนโบราณทุกชนิดและสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิดควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
กลุ่มยาเซิร์มมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
โดยทั่วไป ยาในกลุ่มยาเซิร์มมีปฏิกิริยาระหว่างยากับตัวอื่นๆดังนี้เช่น
ก. ยาวาฟาริน (Warfarin): จากการศึกษาพบว่า ยาในกลุ่มเซิร์มบางชนิดเช่น ยาราโลซิฟีน (Raloxifene) ยาทาม็อกซิเฟน (Tamoxifen) มีคุณสมบัติในการลดความสามารถในการแข็งตัวของเลือด/การเกิดลิ่มเลือด และอาจทำให้ระดับยาวาฟารินในเลือดเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งหากใช้ยากลุ่มเซิร์มเหล่านี้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือดอย่างยาวาฟาริน อาจทำให้คุณสมบัติการต้านการแข็งตัวของเลือดเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยจึงอาจได้รับการตรวจเลือดเพื่อวัดค่าความสามารถการแข็งตัวของเลือด และแพทย์อาจมีความจำเป็นต้องปรับขนาดยาวาฟารินแล้วแต่กรณี
ข. ยาไรแฟมพิซิน (Rifampicin): เนื่องจากยาไรแฟมพิซินอาจทำให้ระดับยาในกลุ่มยา เซิร์มเพิ่มขึ้น จึงไม่แนะนำให้ใช้ยาสองชนิดนี้ร่วมกัน เพราะอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงของยาในกลุ่มเซิร์มที่เพิ่มขึ้นได้
ค. ยาโคเลสไทรามีน (Cholestyramine): เนื่องจากพบว่ายานี้อาจลดการดูดซึมของยาในกลุ่มยาเซิร์ม จึงไม่แนะนำให้ใช้ยาสองชนิดนี้ร่วมกัน เพราะอาจส่งผลให้การรักษาด้วยยาในกลุ่มยาเซิร์มล้มเหลว
ง. ยาที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจน: ไม่ควรใช้ร่วมกับยาราลอกซีฟีน (Raloxi fene) ยาทาม็อกซิเฟน (Tamoxifen) ยาโทเรมิฟีน (Toremifene) และยาลาโซโฟซิฟีน (Laso foxifene) เนื่องจากอาจทำให้ผลการรักษามะเร็งเต้านมล้มเหลว
อนึ่ง ปฏิกิริยาระหว่างยาในกลุ่มยาเซิร์มของบทความนี้เป็นปฏิกิริยาระหว่างยาในภาพรวมของการใช้ยาของกลุ่มนี้ ดังนั้น ผู้อ่านควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับปฏิกิริยาระหว่างยาจากบทความเฉพาะของยาแต่ละชนิดในเว็บ haamor.com ประกอบด้วย
ควรเก็บรักษากลุ่มยาเซิร์มอย่างไร?
ควรเก็บรักษากลุ่มยาเซิร์มดังนี้เช่น
- เก็บในภาชนะบรรจุหรือบรรจุภัณฑ์ดั้งเดิมของผู้ผลิต
- เก็บในอุณหภูมิห้องปกติ ควรหลีกเลี่ยงที่อับชื้นเช่น บริเวณใกล้ห้องน้ำห้องครัว หรือบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึงโดยตรง
- เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
กลุ่มยาเซิร์มมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
ยาในกลุ่มยาเซิร์มที่มีการจัดจำหน่ายในประเทศไทยมีดังต่อไปนี้
ชื่อการค้า | บริษัทผู้ผลิต |
---|---|
ยาโคลมิฟีน | |
โอวา-มิท (Ova-Mit) | บริษัท ฟาร์มาแลนด์ (1982) จำกัด |
ดูอินัม (Duinum) | บริษัท เอฟ.ซี.พี จำกัด |
ยาราโลซิฟีน | |
เซลวิสทา (Celvista) | บริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จำกัด |
ยาโทเรมิฟีน | |
ฟาเรสทอน (Fareston) | ORION CORPORATION (ประเทศฟินแลนด์) |
ยาทาม็อกซิเฟน | |
โนโวเฟน (Novofen) | ฟาร์มาแลนด์ (1982) จำกัด |
ทาโมเด๊ก (Tamodex 20) | ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภิญโญฟาร์มาซี |
ซิตาโซเนียม (Zitazoniu) | บริษัท เมดไลน์ จำกัด |
นอลวาเด็กซ์ – ดี (Nolvadex – D) | บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด |
มาโมเฟน (Mamofen) | บริษัท มาสุ จำกัด |
ออนโคเฟน (Onkofen) | ห้างหุ้นส่วนจำกัด จีไอเอส ฟาร์มา |
ทาม็อกซิเฟน แซนดอซ (Tamoxifen Sandoz) | บริษัท โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) จำกัด |
บรรณานุกรม
- American Pharmacists Association (APhA). Drug Information Handbook with International Trade Name Index. Tamoxifen. 2014;23:2008-10.
- เว็บไซต์คณะกรรมการอาหารและยา ส่วนสืบค้นผลิตภัณฑ์ข้อมูลยา http://wwwapp1.fda.moph.go.th/consumer/conframe.asp [2015,July25]
- Ormeloxifene information from DrugsUpdate. http://www.drugsupdate.com/generic/view/367/Ormeloxifene [2015,July25]
- John K. Jenkins. New Drug Review: 209 Update. U.S FDA
- Highlights of Prescribing Information. OSPHENA®. U.S FDA. 2013.
- Reproductive Health Drugs Advisory Committee Briefing Document. FABLYN® (Lasofoxifene). U.S FDA. 2008.
- SERMs from Brestcancer.org. http://www.breastcancer.org/treatment/hormonal/serms [2015,July25]
- Reeves GK, Beral V, Green J, Gathani T, Bull D. Hormonal therapy for menopause and breast-cancer risk by histological type: a cohort study and meta-analysis. Lancet Oncol. 2006;7 (11): 910–8.
- Morello KC1, Wurz GT, DeGregorio MW. Pharmacokinetics of selective estrogen receptor modulators. Clin Pharmacokinet. 2003;42(4):361-72.