เชื้อราที่เล็บ (Onychomycosis)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?

เชื้อราที่เล็บ (Onychomycosis หรือ Fungal nail infection) คือ โรคจากเล็บติดโรค เชื้อรา อาการพบบ่อย คือ รูปลักษณะเล็บที่รวมถึงสีผิดปกติ ซึ่งมักพบในคนที่เล็บเปียกตลอดเวลา หรือรักษาความสะอาดที่เล็บได้ไม่ดีพอ หรือมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำ เป็นโรคพบบ่อยทั่วโลก อัตราชุกอยู่ที่ระหว่าง 2 - 13% แตกต่างกันในแต่ละประเทศ พบทุกเชื้อชาติ พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง พบบ่อยในผู้สูงอายุมากกว่าช่วงอายุอื่น และพบที่เล็บเท้ามากกว่าที่เล็บมือ

อนึ่ง: ชื่ออื่นของโรคนี้ เช่น Dermatophytic onychomycosis, Tinea unguium ในกรณีที่ติดเชื้อรากลุ่มกลาก

อะไรเป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดเชื้อราที่เล็บ?

เชื้อราที่เล็บ

โรคเชื้อราที่เล็บ เกิดจากการติดโรคเชื้อราของเล็บ โดยมีเชื้อราหลายสายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุซึ่งแต่ละสายพันธุ์ จะมีความแตกต่างในการรักษา และในผลการรักษา เช่น

  • กลุ่มกลาก (Dermatophyte)
  • กลุ่มกลากเทียม (Non-dermatophyte)
  • กลุ่มยีสต์/Yeast (Candida spicies)

ปัจจัยเสี่ยงเกิดเชื้อราที่เล็บ ได้แก่

1. มีโรคเรื้อรังอื่นๆบางโรคร่วมด้วย เช่น โรคเบาหวาน, โรคสะเก็ดเงิน

2. มีความบกพร่องทางภูมิคุ้มกันต้านทานโรค เช่น ผู้ป่วยโรคเอดส์ ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน หรือ ยาเคมีบำบัด

3. มีการบาดเจ็บบริเวณเล็บบ่อยๆ หรือมีการทำลายของผิวหนังบริเวณขอบเล็บซึ่งเป็นส่วนที่ป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่เล็บ เช่น การใส่รองเท้าที่รัดแน่นไป, การล้างมือบ่อยๆ, การที่เล็บโดนสารระคายเคืองต่างๆ เช่น สารเคมีต่างๆ, การทำเล็บ

4. การถอดรองเท้าเดินตามห้องน้ำสาธารณะหรือห้องอาบน้ำรวม เช่น นักว่ายน้ำ นักกีฬา

5. การมีสุขอนามัยที่ไม่ดีไม่รักษาความสะอาดร่างกายและเล็บ

เชื้อราที่เล็บติดต่ออย่างไร?

โรคเชื้อราที่เล็บติดต่อได้จากการสัมผัสกับเชื้อราโดยตรง เช่น การเกาผิวหนังที่มีการติดของเชื้อรา, การติดเชื้อราที่เล็บมือจากการแกะเกาเล็บเท้า

เชื้อราที่เล็บมีอาการอย่างไร?

ผู้ป่วยที่ติดเชื้อราที่เล็บ มักเป็นเล็บเดียว แต่ก็สามารถเป็นได้หลายเล็บพร้อมกัน โดยเล็บจะมีลักษณะ/อาการผิดปกติ โดย

  • มีโพรงใต้เล็บ
  • มีการหนาตัวของเล็บ
  • มีการเปลี่ยนสีของเล็บ โดยมักเป็นสีเหลืองหรือสีขาว
  • ผิวเล็บไม่เรียบ
  • เล็บมีรูปร่างผิดปกติ
  • บางรายเล็บอาจฝ่อไป

อนึ่ง คนไข้โรคเชื้อราที่เล็บ ส่วนมากไม่มีอาการเจ็บ/ปวด ยกเว้นในรายที่เล็บมีโพรงหรือมีการหนาตัวหรือผิดรูปมาก ทั่วไปคนไข้จึงมักไปพบแพทย์เพราะเรื่องเล็บดูไม่สวยงาม

แพทย์วินิจฉัยเชื้อราที่เล็บได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยโรคเชื้อราที่เล็บได้จาก

  • การดูลักษณะทางคลินิกที่เล็บ
  • และมักมีการตัดเล็บและขูดเล็บบริเวณที่มีรอยโรคไปตรวจโดยการส่องกล้องจุลทรรศน์และทำการเพาะเชื้อ เนื่องจาก เชื้อราบางสายพันธุ์มีการรักษาและการพยากรณ์โรคที่แตกต่างออกไป และบางโรค เช่น สะเก็ดเงิน หรือเล็บของผู้สูงอายุ จะมีอาการแสดงที่เหมือนกับการติดเชื้อราในเล็บได้

ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?

เมื่อเล็บมีอาการผิดปกติดังกล่าวใน’หัวข้อ อาการฯ’ หรือมีความผิดปกติต่างๆควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล

รักษาและป้องกันเชื้อราที่เล็บได้อย่างไร?

แนวทางการรักษาโรคเชื้อราที่เล็บ คือ การใช้ยาต้านเชื้อราซึ่งโดยทั่วไป

  • จะใช้เป็นยารับประทานเนื่องด้วยยาต้านเชื้อราแบบทานั้นการซึมผ่านของยาเข้าไปในเล็บเพื่อฆ่าเชื้อราไม่ได้ดีนัก เช่น ยา Itraconazole, Fluconazole, Griseofulvin
  • แต่ปัจจุบันมียาทาในรูปของแล็กเกอร์เคลือบเล็บ (Nail lacquer) ซึ่งอาจใช้ในกรณีที่
    • คนไข้เป็นไม่มาก
    • มีการติดเชื้อราแค่บริเวณปลายเล็บ
    • หรือใช้ในคนไข้ที่ไม่สามารถรับประทานยาได้ เช่น สตรีตั้งครรภ์, เด็กเล็ก(นิยามคำว่าเด็ก), หรือ ผู้ป่วยที่แพ้ยาต้านเชื้อราอื่นๆ
  • นอกจากนี้อาจใช้การถอดเล็บเป็นการรักษาเสริมกรณีที่การรักษาด้วยยาไม่ได้ผล

อนึ่ง:

  • การรักษาเชื้อราที่เล็บ จำเป็นต้องรับประทานยาต้านเชื้อราเป็นเวลานาน โดยทั่วไปประมาณ 3 - 6 เดือน ตัวอย่างเช่น ยา Itraconazole ให้ทานวันละ 200 มก. (มิลลิกรัม) วันละ 1 ครั้งนาน 3 เดือนสำหรับเชื้อราที่เล็บมือ, และนาน 6 เดือนสำหรับเชื้อราที่เล็บเท้า
  • แต่ปัจจุบันมีการรักษาแบบกินยาเป็นช่วงๆ (Pulse therapy) คือ กินยาในขนาดที่สูงในระยะเวลาไม่นานแล้วหยุด แล้วกินใหม่อีกที เป็นช่วงๆ ตัวอย่างการให้ยาแบบเป็นช่วงๆ (Pulse Therapy) เช่น ให้ Itraconazole วันละ 400 มก. ติดกัน 7 วันใน 1 เดือน (1 Pulse) โดยในการติดเชื้อที่เล็บมือจะให้ 2 Pulse, และให้ 3 Pulse ในการติดเชื้อที่เล็บเท้า
  • นอกจากนั้น ควรกำจัดปัจจัยส่งเสริมต่างๆที่ทำให้เกิดการติดเชื้อราที่เล็บ เช่น
    • การรักษาความสะอาดเล็บ
    • การหลีกเลี่ยงสารระคายเคืองที่เล็บ
    • หรือการที่มือเปียกน้ำบ่อยๆ
    • หรือการทำเล็บที่ขูดเอาผิวหนังส่วนที่ป้องกันเล็บออกไป

เชื้อราที่เล็บมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?

การพยากรณ์โรคของเชื้อราที่เล็บ อัตราการรักษาหายอยู่ที่ประมาณ 60 - 80% และแม้จะหายจากการติดเชื้อราที่เล็บแล้ว แต่เล็บที่ผิดปกติต้องอาศัยระยะเวลานาน เช่น ประมาณ 6 เดือนที่เล็บมือและประมาณ 12 เดือนที่เล็บเท้า กว่าที่เล็บจะกลับเป็นปกติ นอกจากนั้นในคนไข้บางรายเล็บที่มีการผิดรูปอาจจะไม่สามารถกลับมามีลักษณะเหมือนปกติได้

ในการติดเชื้อรากลุ่มกลากเทียม (Non-dermatophyte) ปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อราตัวไหนสามารถรักษาเชื้อราที่เกิดจากเชื้อรากลุ่มนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อัตราการหายจากโรคนี้ จะน้อยกว่า 50% และใช้ระยะเวลารักษานานกว่าเชื้อราชนิดอื่นมาก

เชื้อราที่เล็บก่อผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

เชื้อราที่เล็บก่อผลข้างเคียงได้ดังนี้ เช่น

1. ติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนไม่ว่าจะเป็นบริเวณตัวเล็บที่ติดเชื้อราเอง (Secondary bacterial infection) หรือการติดเชื้อแบคทีเรียไปที่ผิวหนังชั้นลึก (เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ/ Cellulitis) ที่อยู่ล้อมรอบเล็บนั้นๆ

2. ติดเชื้อราไปที่ผิวหนังบริเวณอื่นของร่างกาย เช่น อวัยวะเพศ

ดูแลตนเองอย่างไร?

การดูแลตนเองเมื่อเป็นเชื้อราที่เล็บที่สำคัญคือ

1. ควรรับประทานยาที่แพทย์สั่งให้สม่ำเสมอ ไม่หยุดยาเอง

2. ตัดเล็บให้สั้น แยกที่ตัดเล็บเฉพาะเล็บที่ติดเชื้อเพื่อป้องกันการติดเชื้อไปเล็บอื่น

3. อย่าใช้ถุงเท้ารองเท้าร่วมกับผู้อื่น และควรทำความสะอาดถุงเท้ารองเท้าให้สม่ำเสมอ

4. ไม่ควรเดินเท้าเปล่าที่ห้องน้ำสาธารณะ สระว่ายน้ำ ควรหารองเท้าเฉพาะเพื่อใส่ใน บริเวณนั้นๆ

5. อาจเปลี่ยนรองเท้าเดิมที่ใส่เพราะอาจเป็นแหล่งที่ทำให้เกิดการติดเชื้อราที่เล็บซ้ำได้

6. หากมีการติดเชื้อราที่ผิวหนัง ควรรีบรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อไปที่เล็บ

7. หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บระคายเคืองบริเวณเล็บ เช่น

  • หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง/สารเคมีต่างๆ
  • การที่มือเปียกน้ำบ่อยๆ
  • ควรใส่ถุงมือยางเวลาทำงานบ้าน
  • หลีกเลี่ยงการทำเล็บที่ขูดเอาผิวหนังส่วนที่ป้องกันเล็บออกไป
  • ใส่รองเท้าที่หน้ารองเท้ากว้าง ไม่คับแน่น

8. พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ

เมื่อไหร่ควรพบแพมทย์ก่อนนัด?

ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่อ

  • มีผลข้างเคียง/อาการผิดปกติจากการใช้ยาที่แพทย์สั่งใช้ เช่น คลื่นไส้อาเจียนมากเป็นลมพิษ
  • อาการที่เล็บเลวลงหรือเล็บมีอาการผิดปกติไปจากเดิม เช่น เกิดหนอง เล็บบวม แดง หรือ เจ็บ/ปวดเล็บมากขึ้น
  • กังวลในอาการ

บรรณานุกรม

  1. ปรียากุลละวณิชย์,ประวิตร พิศาลยบุตร .Dermatology 2020:พิมพ์ครั้งที่1.กรุงเทพฯ:โฮลิสติก,2555
  2. Burns, T., & Rook, A. (2010). Rook's textbook of dermatology (8th ed.). Chichester, West Sussex, UK ; Hoboken, NJ: Wiley-Blackwell.
  3. Lowell A.Goldsmith,Stephen I.Katz,BarbaraA.Gilchrest,Amy S.Paller,David J.Leffell,Klaus Wolff.Fitzpatrick Dermatology in general medicine .eight edition.McGraw hill.
  4. https://dermnetnz.org/topics/fungal-nail-infections/ [2021,Oct9]
  5. https://emedicine.medscape.com/article/1105828-overview#showall [2021,Oct9]
  6. https://www.nhs.uk/conditions/fungal-nail-infection/ [2021,Oct9]
  7. https://en.wikipedia.org/wiki/Onychomycosis [2021,Oct9]