เชื้อราช่องปาก (Oral thrush หรือ Oropharyngeal candidiasis)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 21 มีนาคม 2564
- Tweet
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
- เชื้อราช่องปากเกิดได้อย่างไร?
- ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดเชื้อราช่องปาก?
- เชื้อราช่องปากมีอาการอย่างไร?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
- แพทย์วินิจฉัยเชื้อราช่องปากได้อย่างไร?
- รักษาเชื้อราช่องปากอย่างไร?
- เชื้อราช่องปากมีผลข้างเคียงอย่างไร?
- เชื้อราช่องปากมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร?
- ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
- ป้องกันเชื้อราช่องปากอย่างไร?
- บรรณานุกรม
- ยาต้านเชื้อรา (Antifungal drugs)
- เชื้อรา(Fungal infection)
- เอชไอวี(HIV: HIV infection)
- เอดส์(AIDS)
- ยาเคมีบำบัด(Cancer chemotherapy)
- โรคมะเร็ง (Cancer)
- ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำจากยาเคมีบำบัดและ/หรือรังสีรักษา(Selfcare of neutropenia during cancer therapy)
- แคนดิไดอะซิส (Candidiasis)
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
เชื้อราช่องปาก (Oral thrush หรือ Oropharyngeal candidiasis)คือ โรคที่เกิดจากช่องปากซึ่งในที่นี้รวมถึงช่องคอ/ลำคอ (คอหอยส่วนปาก และ คอหอย) และหลอดอาหาร ติด โรคเชื้อราที่โดยทั่วไปคือ เชื้อราชนิด Candida albicans ที่มักเรียกกันสั้นๆว่า แคนดิดา(Candida) ส่งผลให้มีฝ้าขาวเหมือนน้ำนมกระจายเกิดทั่วไปในช่องปาก ลำคอ คอหอย และ/หรือในหลอดอาหาร ก่อให้เกิดอาการเจ็บคอ/คออักเสบมาก เจ็บเวลากลืน/กลืนลำบาก กิน/ดื่มได้น้อย และอาจมีไข้ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
อนึ่ง ชื่ออื่นของเชื้อราช่องปาก คือ Oral candidiasis, หรือ Candidiasis of the mouth and throat
เชื้อราแคนดิดา(Candida): เป็นเชื้อประจำถิ่นของผิวหนังและของเนื้อเยื่อเมือกของ ช่องปาก ในลำคอ และอาจรวมไปถึงในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ และที่อวัยวะเพศ ซึ่งในภาวะร่างกายปกติ เชื้อรานี้จะไม่ก่อให้เกิดโรค แต่ถ้าเกิดเสียสมดุลระหว่างเชื้อรานี้กับแบคทีเรียประจำถิ่น หรือจากร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคที่ต่ำลง จะส่งผลให้เชื้อรานี้ทวีจำนวนขึ้นเป็นอย่างมากจนก่อให้เกิดเป็นการติดเชื้อ/เป็นโรคขึ้นได้ ซึ่งโรคจากติดเชื้อรานี้เรียกว่า “ โรคแคนดิไดอะซิส (Candidiasis หรือ Moniliasis) ” ซึ่ง
- เมื่อโรคเกิดขึ้นที่เนื้อเยื่อเมือกของช่องปาก ช่องคอ คอหอย จะเรียกว่า ‘เชื้อราช่องปาก’ หรืออีกชื่อ คือ ‘เชื้อราคอหอยส่วนปาก(Oropharyngeal Candidiasis)’
- เมื่อเกิดที่หลอดอาหารจะเรียกว่า ‘เชื้อราหลอดอาหาร (Esophageal Candidiasis)’
- หรือเมื่อเกิดที่อวัยวะเพศหญิงเรียกว่า ‘เชื้อราในช่องคลอด’
แต่ในบทความนี้จะกล่าวถึงเฉพาะการติดเชื้อรานี้ในช่องปาก คอหอย ช่องคอ และหลอดอาหาร และขอเรียกรวมกันว่า “เชื้อราช่องปาก”
ทั้งนี้ พบการติดเชื้อราช่องปากได้เรื่อยๆ ไม่บ่อย พบทุกวัยตั้งแต่ทารกแรกเกิดจนถึง ผู้สูงอายุ แต่พบบ่อยในทารกอายุน้อยกว่า 1 เดือน, ในผู้สูงอายุ, และในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านโรคที่บกพร่อง/ต่ำ (เช่น ผู้ป่วยเอชไอวี/โรคเอดส์, ผู้ป่วยมะเร็งโดยเฉพาะเมื่อได้ยาเคมีบำบัด) แต่ไม่ค่อยพบในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว
เชื้อราช่องปากเกิดได้อย่างไร?
เชื้อราช่องปากเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- การเสียสมดุลระหว่างเชื้อรา Candida และแบคทีเรียประจำถิ่นในช่องปาก สาเหตุนี้มักพบจากการกินยา/ใช้ยาบางชนิดต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เช่น ยาปฏิชีวนะ, ยาสเตียรอยด์, ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ยา Cyclosporin , ยาเคมีบำบัด
- ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์พ่นทางปากหรือทางจมูก เช่น ในโรคหืด เพราะจะทำให้มียา สเตียรอยด์ตกค้างในช่องปากได้อย่างต่อเนื่องส่งผลให้ติดเชื้อราได้ง่าย
- ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง/ต่ำ เช่น ในในโรคเอชไอวี/โรคเอดส์ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ผู้สูงอายุ
- ทารกติดเชื้อรานี้จากมารดาในขณะคลอด เช่น มารดาที่มีเชื้อราในช่องคลอดและ คลอดบุตรทางช่องคลอด
- การให้นมบุตร มักติดกันไปมาระหว่างแม่และลูกจากการติดเชื้อราของแม่ที่หัวนม (จากเปียกชื้นจากน้ำนม) หรือที่หัวจุกขวดนม (จากล้างไม่สะอาด) ซึ่งโอกาสเกิดจะสูงขึ้นเมื่อมารดาติดเชื้อราในช่องคลอดด้วย
- จากใส่ฟันปลอม โดยเฉพาะชนิดใส่เต็มปากเพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อ เนื้อเยื่อเมือกในช่องปากจนเนื้อเยื่อเมือกในช่องปากเสียการต้านทานโรค รวมไปถึงการรักษาความสะอาดฟันปลอมได้ไม่ดีพอ ซึ่งมักพบเชื้อราที่เพดานบน และในผู้ที่ใส่ฟันปลอมทั้งวันทั้งคืน ไม่ถอดออกช่วงนอนกลางคืน
- ภาวะปากคอแห้ง เพราะจะส่งผลให้เชื้อราทวีจำนวนมากขึ้นผิดปกติ
- การฉายรังสีรักษามะเร็งอวัยวะในระบบ-ศีรษะ-ลำคอ เช่น มะเร็งช่องปาก มะเร็งโพรงหลังจมูก มะเร็งคอหอยส่วนปาก
ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดเชื้อราช่องปาก?
ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดเชื้อราช่องปาก คือ
- ทารกที่เกิดจากมารดามีเชื้อราในช่องคลอด
- ผู้กินยา/ใช้ยาบางชนิดต่อเนื่องดังกล่าวใน ‘หัวข้อ สาเหตุฯ’ ที่รวมถึงการพ่นยา สเตียรอยด์ ทางปาก ทางจมูก
- มีระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำจากทุกสาเหตุ
- ผู้มีเชื้อราในช่องคลอด
- เด็กทารก และ ผู้สูงอายุ
- การใส่ฟันปลอมโดยเฉพาะใส่แบบเต็มปาก
- มีภาวะปากคอแห้ง
- ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดและ/หรือรังสีรักษาที่บริเวณช่องปาก
เชื้อราช่องปากมีอาการอย่างไร?
อาการที่พบได้บ่อยจากการติดเชื้อราในช่องปาก คือ
- มองเห็นมีฝ้าสีขาวข้น เป็นมันที่เนื้อเยื่อเมือกในช่องปาก
- ฝ้าคล้ายนมข้นบนเนื้อเยื่อเมือกที่มีสีแดง
- มีเลือดออกได้เล็กน้อยเมื่อขูด/ลอกฝ้าออก
- ฝ้าเหล่านี้กระจายเป็นหย่อมๆ มักพบในบริเวณกระพุ้งแก้มและที่ลิ้นก่อน เมื่อเป็นมากจึงพบได้กับเนื้อเยื่อทุกส่วนของ ช่องปาก ลำคอ คอหอยส่วนปาก คอหอย และอาจลามลงไปถึงหลอดอาหาร ซึ่งในระยะแรกๆอาจไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย และถ้าไม่สังเกตก็อาจไม่เห็นฝ้าขาว
แต่เมื่อเป็นมากขึ้น อาการอื่นๆที่พบร่วมได้ คือ
- เจ็บที่รอยฝ้า เจ็บช่องปาก ลำคอ
- เจ็บเวลากลืน กลืนลำบาก
- อาจรู้สึกคล้ายมีอะไรติดในคอ
- อาจมีไข้ต่ำๆ
- เบื่ออาหาร
- ลิ้นไม่รับรู้รสชาติ
- อ่อนเพลีย
- น้ำหนักตัวลดจากกินได้น้อยเพราะเจ็บเวลากลืน
- ภาวะขาดน้ำ จากดื่มน้ำได้น้อยจากเจ็บคอเวลาดื่มน้ำ
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
โรคเชื้อราช่องปาก อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อลุกลามจนเป็นสาเหตุถึงตายได้ ดังนั้นเมื่อมีอาการดังกล่าว ไม่ควรดูแลรักษาตนเอง ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอ โดยเฉพาะเมื่อโรคเกิดในวัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาวเพราะโดยทั่วไป ทั้ง 2 กลุ่มนี้มักไม่ติดเชื้อราในช่องปากยกเว้นกรณีมีโรคที่ส่งผลถึงมีระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำซ่อนเร้นอยู่
แพทย์วินิจฉัยเชื้อราช่องปากได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยเชื้อราช่องปากได้จาก
- การซักถามประวัติทางการแพทย์ต่างๆของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น อาการ โรคประจำตัว ยาต่างๆที่ใช้อยู่
- การตรวจร่างกาย
- การตรวจดูรอยโรคในช่องปาก
- ทั่วไป ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจอื่นๆเพื่อการสืบค้นเพิ่มเติม
- แต่บางครั้ง
- อาจมีการขูดเอาฝ้าขาวไปส่องตรวจด้วยด้วยกล้องจุลทรรศน์ หรือ
- การส่องกล้องตรวจหลอดอาหาร ซึ่งอาจมีการตัดชิ้นเนื้อที่รอยโรคเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อหาสาเหตุของรอยโรคในหลอดอาหาร ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์
รักษาเชื้อราช่องปากอย่างไร?
แนวทางการรักษาเชื้อราช่องปากคือ การรักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุหรือการหลีก เลี่ยงสาเหตุ , การใช้ยาต้านเชื้อรา, และการรักษาตามอาการ (การรักษาประคับประคองตามอาการ)
ก. การรักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุหรือการหลีกเลี่ยงสาเหตุ: เช่น การรักษาควบคุมโรคเบาหวาน, โรคเอดส์, โรคหืด, การหยุดใช้ยาสเตียรอยด์, การหยุดใช้ยาปฏิชีวนะ เป็นต้น
ข. การใช้ยาต้านเชื้อรา: มียาหลายตัวที่ใช้ฆ่าเชื้อราชนิดนี้ได้ เช่น ยา Gential violet, Clotrimazole, Nystatin, Ketoconazole, Posaconazole, Fluconazole, Amphotericin B ซึ่งยาเหล่านี้มีอยู่ได้หลายรูปแบบ เช่น ยาทา ยาอม ยาบ้วนปาก ยากิน ยาเหน็บ และยาฉีด
ทั้งนี้แพทย์จะเลือกใช้ยาใดและรูปแบบใดขึ้นกับ
- ตำแหน่งที่เกิดโรค
- ความรุนแรงของอาการ และ
- ดุลพินิจของแพทย์
ค. การรักษาตามอาการ: คือ มีอาการอย่างไรก็รักษาตามอาการนั้น เช่น
- ยาแก้เจ็บคอ
- การบ้วนปากด้วยน้ำเกลือบ่อยๆและทุกครั้งหลังการบริโภคทางปาก หรือ
- ถ้าเจ็บคอมากจนกินอาหารทางปากได้น้อย การรักษาคือการให้สารอาหารทางหลอด เลือดดำ
- นอกจากนั้นคือ
- การดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียงอย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้วถ้าไม่มีโรคที่แพทย์ให้จำกัดน้ำดื่ม
- การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงเพิ่มภูมิคุ้มกันต้านทานโรคให้กับร่างกาย
เชื้อราช่องปากมีผลข้างเคียงอย่างไร?
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้เมื่อเกิดเชื้อราช่องปาก คือ
- อาการเจ็บปาก/คอ
- การกลืนแล้วเจ็บ/ กลืนลำบาก ที่ส่งผลให้กินอาหาร ดื่มน้ำได้น้อย ร่างกายจึงมักอ่อนเพลีย ขาดอาหาร และมีภาวะขาดน้ำ
- แต่ในผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เชื้อราอาจลุกลามออกนอกช่องปาก ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อกับอวัยวะต่างๆได้ทั่วตัว เช่น ทางเดินอาหาร ปอด สมอง เรียกว่า Systemic disease จนอาจเป็นสาเหตุให้ถึงตายได้
เชื้อราช่องปากมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
การพยากรณ์โรคของเชื้อราช่องปาก โดยทั่วไป เป็นโรครักษาได้หายภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยโรคมักจำกัดอยู่เฉพาะการติดเชื้อในช่องปากเท่านั้น
แต่ในผู้มีระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำมาก เชื้ออาจลุกลามเป็นการติดเชื้อทั่วตัว ที่เป็นเหตุให้ถึงตายได้
ดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองเมื่อเป็นเชื้อราช่องปากหลังพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลแล้วคือ
- ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
- กินยา/ใช้ยาต่างๆตามแพทย์สั่งให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา ไม่หยุดใช้ยาเองถึงแม้อาการจะดีขึ้น
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลือบ่อยๆและทุกครั้งหลังกินอาหาร อาจเป็นน้ำเกลือที่ใช้บ้วนปากจากโรงพยาบาล (Normal saline) หรือใช้เกลือละลายน้ำในสัดส่วนที่ไม่เค็มมาก เช่น ใช้เกลือประมาณครึ่งช้อนชาต่อน้ำเปล่าสะอาดประมาณ 2 - 3 ลิตรโดยละลายใช้วันต่อวัน
- รักษาความสะอาดช่องปากด้วย
- การแปรงฟันวันละ 2 ครั้งหลังตื่นนอนเช้าและก่อนเข้านอน
- ใช้ไหมขัดฟัน (Dental floss) 1 ครั้งก่อนแปรงฟันก่อนนอน
- ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ และที่รสจืด เช่น ยาสีฟันเด็ก เพื่อลดอาการแสบช่องปากเมื่อแปรงฟัน รวมทั้งขนแปรงต้องอ่อนนุ่ม
- หลีกเลี่ยงอาหารหวานเพราะจะทำให้เชื้อราเจริญได้ดี
- ดูแลหัวนมทั้งของมารดาและหัวนมขวดนมลูกให้สะอาดอยู่เสมอ กรณีให้นมบุตรและ/หรือ กรณีโรคเกิดในเด็กที่ดื่มนมมารดาหรือดูดนมจากขวด
- ไม่ซื้อยาต่างๆใช้เองโดยเฉพาะยาปฏิชีวนะและยาสเตียรอยด์โดยไม่ปรึกษา แพทย์ หรือเภสัชกร หรือพยาบาล ก่อน
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง เพิ่มภูมิคุ้มกันต้าน ทานโรค
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวันตามควรกับสุขภาพ
- ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้วป้องกันภาวะปากคอแห้งและเพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำถ้าไม่มีโรคที่แพทย์ให้จำกัดน้ำดื่ม
- ดูแลฟันปลอมให้สะอาดตามทันตแพทย์แนะนำ กรณีใส่ฟันปลอม
- พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่อ
- อาการต่างๆเลวลง
- กิน ดื่มน้ำได้น้อยหรือไม่ได้ อ่อนเพลีย
- มีไข้ ท้องเสีย ไอมาก
- ระดับการรู้สึกตัวต่ำกว่าปกติ
- มีอาการผิดปกติที่ต่างไปจากเดิม
- กังวลในอาการ
ป้องกันเชื้อราช่องปากอย่างไร?
ป้องกันเชื้อราช่องปากได้โดย
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
- ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียงอย่างน้อยวันละ 6 - 8 แก้วไม่ให้เกิดภาวะปากคอแห้งเมื่อไม่มีโรคที่แพทย์ให้จำกัดน้ำดื่ม
- ป้องกันรักษาควบคุมโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคเบาหวาน โรคหืด โรคเชื้อราในช่องคลอด
- รักษาความสะอาดช่องปากด้วยการแปรงฟันวันละ 2 ครั้งหลังตื่นนอนเช้าและก่อนเข้านอน, และใช้ไหมขัดฟัน (Dental floss) 1 ครั้งก่อนแปรงฟันก่อนนอน, ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ ที่มีรสจืด (เช่น ยาสีฟันเด็ก) เพื่อลดอาการแสบช่องปากเมื่อแปรงฟัน
- ออกกำลังกายตามควรกับสุขภาพสม่ำเสมอทุกวัน
- ไม่กินยาพร่ำเพรื่อ, ไม่ซื้อยาปฏิชีวนะและ/หรือยาสเตียรอยด์ใช้เองโดยไม่ปรึกษา แพทย์ เภสัชกร หรือ พยาบาลก่อน
- ดูแลรักษาความสะอาดฟันปลอมตามทันตแพทย์แนะนำ
- ดูแลรักษาความสะอาดหัวนมมารดาและหัวนมขวดนม กรณีให้นมบุตรและ/หรือเด็กบริโภค นมขวด
บรรณานุกรม
- Gonsalves, W. et a. (2007). Am Fam Physician.75, 501-506 [2021,March20]
- Klotz, S. (2006). Clinical Infectious Disease.42, 1187-1188 [2021,March20]
- Vazquez, J. (2010). HIV/AIDS-Research and Pallative Care. 2, 89-101 [2021,March20]
- https://emedicine.medscape.com/article/969147-overview#showall [2021,March20]
- https://www.cdc.gov/fungal/diseases/candidiasis/thrush/ [2021,March20]
- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2907793/ [2021,March20]