อัณฑะอักเสบ (Orchitis)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 6 พฤษภาคม 2560
- Tweet
- บทนำ
- อัณฑะอักเสบมีสาเหตุจากอะไร?
- ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดอัณฑะอักเสบ?
- อัณฑะอักเสบมีอาการอย่างไร?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
- แพทย์วินิจฉัยอัณฑะอักเสบได้อย่างไร?
- รักษาอัณฑะอักเสบอย่างไร?
- อัณฑะอักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- มีผลข้างเคียงจากอัณฑะอักเสบอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร?
- ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
- ป้องกันอัณฑะอักเสบได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
- กายวิภาคและสรีรวิทยาอวัยวะสืบพันธุ์ชาย (Anatomy and physiology of male reproductive organ)
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กามโรค (STD: Sexually transmitted disease)
- คางทูม (Mumps)
- โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection)
- วัคซีนหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน
- ภาวะมีบุตรยาก (Infertility)
- มะเร็งอัณฑะ (Testicular cancer)
- การดูแลผู้ใส่คาสายสวนปัสสาวะเมื่ออยู่บ้าน (Indwelling urinary catheter care)
บทนำ
อัณฑะ(Testis)เป็นอวัยวะในระบบสืบพันธ์เฉพาะเพศชาย มี 2 ข้าง ซ้ายและขวา โดยมีหน้าที่สร้างอสุจิเพื่อการสืบพันธ์และสร้างฮอร์โมนเพศชาย/Androgen(อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง กายวิภาคและสรีรวิทยาอวัยวะสืบพันธ์ชาย) ซึ่งอัณฑะสามารถเกิดการอักเสบได้เช่นเดียวกับทุกอวัยวะในร่างกาย เรียกว่า “อัณฑะอักเสบ(Orchitis)” โดยรากศัพท์ของอัณฑะ มาจากคำว่า Orchis จากภาษากรีก แปลว่า อัณฑะ/Testis)
อัณฑะอักเสบ อาจเกิดขึ้นเพียงข้างเดียว หรือ 2 ข้างพร้อมกันก็ได้ โดยทั่วไปมักพบอัณฑะอักเสบเกิดร่วมกับการอักเสบของท่อ/ถุงเก็บอสุจิ/เอพิดิไดมิส (Epididymisที่เมื่อมีการอักเสบจะเรียกว่า Epididymitis) ซึ่งเมื่ออัณฑะอักเสบเกิดร่วมกับถุงเก็บอสุจิอักเสบ จะเรียกว่า “Epididymo-orchitis”
อัณฑะอักเสบพบเกิดได้ในผู้ชายทุกวัย โดยถ้าอัณฑะอักเสบเกิดจากการติดเชื้อไวรัส มักพบเกิดในช่วงวัยใกล้ๆวัยรุนหรือในวัยรุ่น ประมาณอายุ 13-15 ปี ถ้าเกิดจากการติดเชื้อจากแบคทีเรียจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มักพบในวัยอายุ 19-35ปี และถ้าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจากมีโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ มักพบในวัยตั้งแต่ อายุ 50 ปีขึ้นไป
อนึ่ง ถ้าอัณฑะอักเสบมีอาการไม่เกิน 6 สัปดาห์เรียกว่า “อัณฑะอักเสบเฉียบพลัน” ถ้ามีอาการอยู่ในช่วงมากกว่า 6 สัปดาห์ถึง 3เดือน เรียกว่า “อัณฑะอักเสบกึ่งเฉียบพลัน” และเรียกอัณฑะอักเสบที่มีอาการเรื้อรังนานมากกว่า 3เดือนขึ้นไปว่า “อัณฑะอักเสบเรื้อรัง”
อัณฑะอักเสบมีสาเหตุจากอะไร?
สาเหตุของอัณฑะอักเสบ ได้แก่
ก. อัณฑะติดเชื้อไวรัส: มักพบในชายวัยรุ่น โดยไวรัสที่เป็นสาเหตุเกือบทั้งหมดของผู้ป่วยคือไวรัสคางทูม(Mump virus) ซึ่งพบว่า ในชายวัยรุ่นที่เป็นโรคคางทูม ประมาณ 20-30% อัณฑะจะติดเชื้อไวรัสคางทูมร่วมด้วย โดยมักแสดงอาการของอัณฑะอักเสบประมาณวันที่ 4-6 หลังอาการของคางทูม ส่วนสาเหตุจากไวรัสชนิดอื่นพบได้น้อยมาก เช่นไวรัส Coxsackievirus A, Varicella
ข. อัณฑะติดเชื้อจากแบคทีเรียจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: สาเหตุนี้มักเกิดร่วมกับถุงเก็บอสุจิอักเสบ มักพบในผู้ชายวัยหนุ่ม อายุ 19-35 ปี ที่พบบ่อย เช่น จากติดเชื้อ โรคหนองใน โรคหนองในเทียม ที่พบได้น้อยกว่า เช่นจาก ซิฟิลิส
ค. อัณฑะติดเชื้อจากแบคทีเรียจากโรคอื่นๆ: ที่พบบ่อย คือ จากโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น เชื้อ E.Coli(Escherichia coli), Pseudomonas, Klebsiella, Staphylococcus, และที่มีรายงานพบได้บ้างประปราย เช่น เชื้อวัณโรค
ง. อัณฑะติดเชื้อรา: เป็นสาเหตุที่พบได้น้อย โดยมักพบได้ในคนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ (เช่น โรคเอดส์) จากเชื้อรา Candida, Actinomyces
จ. อัณฑะอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อ: เช่น ในโรคหลอดเลือดอักเสบที่เรียกว่า โรค Behcet’s disease, จากอาการไม่พึงประสงค์จากยาบางชนิด เช่น ยา Amiodarone
ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดอัณฑะอักเสบ?
ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดอัณฑะอักเสบได้แก่
- ผู้ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคคางทูม/วัคซีนคางทูมที่ปัจจุบันจะอยู่ในรูปวัคซีนรวม คือ วัคซีนหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน
- มีเพศสัมพันธ์ส่ำส่อน
- มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยชาย
- มีเพศสัมพันธ์กับผู้เพิ่งติดเชื้อหรือกำลังติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- มีประวัติเคยติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ใส่คาสายสวนปัสสาวะ เช่น ในผู้ป่วยอัมพาต
- ผู้เคยมีประวัติผ่าตัดรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะเพศชาย เช่น ผ่าตัดต่อมลูกหมาก
- มีโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะซ้ำๆ บ่อยๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ต่อมลูกหมากอักเสบติดเชื้อ
- มีความพิการแต่กำเนิดของอวัยวะระบบทางเดินปัสสาวะ
อัณฑะอักเสบมีอาการอย่างไร?
อาการของอัณฑะอักเสบ ได้แก่
- ปวด/เจ็บ และปวดหน่วง อัณฑะ/ถุงอัณฑะ อาจปวดน้อยหรือปวดมากก็ได้ โดยปวดในด้านที่มีอัณฑะอักเสบ
- อัณฑะ/ถุงอัณฑะ บวม โดยบวมในด้านที่มีอัณฑะอักเสบ
- ปัสสาวะเป็นเลือด
- ปวด/เจ็บ เมื่อปัสสาวะ และ/หรือเมื่อมีเพศสัมพันธ์ และ/หรือเมื่อมีการหลั่งน้ำอสุจิ
- มีหนอง หรือสารคัดหลั่งจากปากท่อปัสสาวะ
- น้ำอสุจิเป็นเลือด
- ปวด/เจ็บบริเวณขาหนีบ โดยปวดในด้านที่มีอัณฑะอักเสบ
- อาการทั่วไปที่เช่นเดียวกับการอักเสบของอวัยวะอื่นๆ เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาจอาเจียน
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
เมื่อมีอาการดังกล่าวในหัวข้อ “อาการฯ” และอาการไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเองภายใน 1-2 วัน ควรต้องรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเสมอ แต่เมื่อมีอาการมากโดยเฉพาะอาการปวดอัณฑะ/ถุงอัณฑะมากและอาการเกิดเฉียบพลัน ต้องรีบมาโรงพยาบาลทันที เพราะอาจเป็นอาการของอัณฑะบิดตัว/อัณฑะบิดขั้ว(Testicular torsion)ที่ต้องได้รับการรักษารีบด่วนด้วยการผ่าตัด
แพทย์วินิจฉัยอัณฑะอักเสบได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยอัณฑะอักเสบได้จาก ประวัติอาการ การเป็นผู้มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวในหัวข้อ” ปัจจัยเสี่ยงฯ” ประวัติการสัมผัสโรค เช่น ประวัติเพศสัมพันธ์ ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการใช้ยาต่างๆ การตรวจร่างกาย การตรวจคลำอัณฑะ/ถุงอัณฑะและอวัยวะเพศ การตรวจทางทวารหนักกรณีสงสัยสาเหตุจากโรคของต่อมลูกหมาก การตรวจเลือด ดู CBC ดูสารภูมิต้านทาน และ/หรือสารก่อภูมิต้านทานของโรคที่แพทย์สงสัยว่าอาจเป็นสาเหตุ(เช่น ซิฟิลิส ) การตรวจปัสสาวะ การตรวจเชื้อ/การเพาะเชื้อจากปัสสาวะและจากสารคัดหลั่ง และอาจมีการตรวจสืบค้นอื่นๆเพิ่มเติม ตามอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์ เช่น การตรวจภาพอัณฑะด้วยอัลตราซาวด์
รักษาอัณฑะอักเสบอย่างไร?
แนวทางการรักษาอัณฑะอักเสบ คือ การรักษาสาเหตุ และการรักษาประคับประคองตามอาการ
ก. การรักษาสาเหตุ: จะเป็นการรักษาที่ต่างกันในผู้ป่วยแต่ละรายตามแต่สาเหตุที่ต่างกัน เช่น
- การให้ยาปฏิชีวนะกรณีอัณฑะอักเสบจากติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือจากโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ หรือจากต่อมลูกหมากอัเสบติดเชื้อ
- การรักษาอัณฑะอักเสบจากไวรัสคางทูมคือ การรักษาประคับประคองตามอาการ ไม่มียารักษาเฉพาะ และไม่สามารถใช้ยาปฏิชีวนะได้ เพราะยาปฏิชีวนะฆ่าได้เฉพาะแบคทีเรีย ไม่ฆ่าไวรัส
- การหยุดยานั้นๆเมื่อการอักเสบเกิดจากผลข้างเคียงของยานั้นๆ
- กรณีอัณฑะอักเสบมากจนเกิดเป็นหนอง การรักษาอาจต้องเป็นการผ่าตัดเพื่อระบายหนองออก
- การผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติแต่กำเนิดของอวัยวะระบบทางเดินปัสสาวะกรณีสาเหตุเกิดจากความผิดปกติของอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะแต่กำเนิด
ข. การรักษาประคับประคองตามอาการ: ซึ่งเป็นการรักษาเหมือนๆกันในผู้ป่วยทุกราย เช่น การให้ยาแก้ปวด/ ยาลดไข้ Paracetamol หรือยาในกลุ่ม NSAIDs, ยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
อัณฑะอักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
การพยากรณ์โรคของอัณฑอักเสบ จะขึ้นกับสาเหตุ แต่โดยทั่วไป อัณฑะอักเสบมีการพยากรณ์โรคที่ดี แพทย์สามารถรักษาให้หายได้ แต่อัณฑะอักเสบสามารถกลับเป็นซ้ำได้อีก เมื่อสัมผัส/ได้รับสาเหตุซ้ำอีก
มีผลข้างเคียงจากอัณฑะอักเสบอย่างไร?
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากอัณฑะอักเสบ คือ ภาวะมีบุตรยาก จากเกิดการฝ่อของอัณฑะด้านที่เกิดการอักเสบ มีรายงานจากประเทศอังกฤษ พบผู้ป่วยที่มีอัณฑะอักเสบจากไวรัสคางทูมมีภาวะมีบุตรยากได้ประมาณ 13%ของผู้มีอัณฑะอักเสบจากไวรัสคางทูมทั้งหมด และรายงานนี้ยังพบว่า 24-38%ของผู้ป่วยอัณฑะอักเสบที่ได้รับการตรวจอสุจิ จะมีความผิดปกติในปริมาณและในลักษณะของตัวอสุจิได้นานถึง 3 ปีหลังการเกิดอัณฑะอักเสบ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเป็นหมัน
อนึ่ง โดยทั่วไป ยังไม่มีรายงานที่แน่ชัดว่า อัณฑะอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งอัณฑะ แต่มีรายงานที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน พบมะเร็งอัณฑะในผู้ป่วยที่มีอัณฑะอักเสบได้ประมาณ 0.5%
ดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองเมื่อมีอัณฑะอักเสบหลังพบแพทย์แล้ว คือ
- ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
- กินยาต่างๆที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วนถูกต้อง ไม่หยุดยาเอง
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง ร่างกายจะได้ฟื้นตัวจากอัณฑะอักเสบได้รวดเร็ว
- พักผ่อนให้มาก ให้เพียงพอ
- งดเพศสัมพันธ์จนกว่าจะหายดี
- ประคบเย็นเป็นระยะๆที่อัณฑะ/ ถุงอัณฑะเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดอัณฑะ
- สวมใส่ชุดช่วยพยุงอัณฑะ(เหมือนในโรคไส้เลื่อน)เพื่อช่วยประคองอัณฑะ ลดอาการปวด/เจ็บ/ปวดหน่วงอัณฑะ
- ไม่สำส่อนทางเพศ
- มีเพศสัมพันธ์โดยใช้ถุงยางอนามัยชายทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์
- ไม่ใช้ยาพร่ำเพื่อ หรือซื้อยาต่างๆใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ และ/หรือเภสัชกรประจำร้านขายยา เพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากยาต่างๆ
- พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่อ
- อาการต่างๆแย่ลง เช่น ปวด/เจ็บอัณฑะมากขึ้น
- กลับมามีอาการที่รักษาหายแล้ว เช่น มีไข้ มีสารคัดหลั่งจากปากท่อปัสสาวะ ปัสาวะป็นเลือด
- มีอาการใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น คลำได้ก้อนเนื้อในถุงอัณฑะหรือที่อัณฑะ
- มีผลข้างเคียงจากยาที่แพทย์สั่งจนมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ท้องเสียรุนแรง คลื่นไส้อาเจียนรุนแรง
- เมื่อกังวลในอาการ
ป้องกันอัณฑะอักเสบได้อย่างไร?
สามารถป้องกันอัณฑะอักเสบได้โดย
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคคางทูมตั้งแต่เด็กตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้สุขภาพกาย สุขภาพจิต แข็งแรง
- ไม่สำส่อนทางเพศ
- ใช้ถุงยางอนามัยชายทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ไม่ดื่มสุรา/เครื่องดื่มมีแอลกอฮฮล์ เพราะจะครองสติไม่อยู่ จนอาจก่อให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่าย/มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย
- ไม่ใช้ยาพร่ำเพื่อ หรือซื้อยาต่างๆใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ และ/หรือเภสัชกรประจำร้านขายยา เพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากยาต่างๆ
- เมื่อมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะต้องรีบรักษา/พบแพทย์/ไปโรงพยาบาล
- รู้จักดูแลตนเองเมื่อต้องใส่คาสายสวนปัสสาวะ(อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง “การดูแลผู้ใส่คาสายสวนปัสสาวะเมื่ออยู่บ้าน”
บรรณานุกรม
- Davis,NF. Et al. BJU Int. 2010; 105(8):1060-1065 [2017,April15]
- Trojian, T. et al. Am Fam Physician. 2009;79(7):583-587[2017,April15]
- http://emedicine.medscape.com/article/777456-overview#showall[2017,April15]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Orchitis[2017,April15]
- https://medlineplus.gov/ency/article/001280.html[2017,April15]