หูดข้าวสุก (Molluscum contagiosum)
- โดย พญ.ชลธิรศน์ ศรีเกษตรสรากุล
- 4 พฤษภาคม 2562
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ
- หูดข้าวสุกเกิดได้อย่างไร?
- หูดข้าวสุกติดต่อได้อย่างไร?
- ใครมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดหูดข้าวสุก?
- หูดข้าวสุกมีอาการอย่างไร?
- ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่?
- แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นหูดข้าวสุกได้อย่างไร?
- แพทย์รักษาหูดข้าวสุกอย่างไร?
- หูดข้าวสุกก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
- การพยากรณ์โรคของหูดข้าวสุกเป็นอย่างไร?
- เมื่อเป็นหูดข้าวสุกควรดูแลตนเองอย่างไร?
- เมื่อไหร่ต้องพบแพทย์ก่อนนัด?
- ป้องกันหูดข้าวสุกได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- โรคผิวหนัง (Skin disorder)
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กามโรค (STD: Sexually transmitted disease)
- โรคติดเชื้อ ภาวะติดเชื้อ (Infectious disease)
- เชื้อไวรัส โรคติดเชื้อไวรัส (Viral infection)
- อิมิควิโมด (Imiquimod) หรือ อัลดารา (Aldara)
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid)
- โพโดฟิลลิน (Podophyllin)
บทนำ
โรคติดเชื้อไวรัส Molluscum contagiosum หรือ โรคหูดข้าวสุก เป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยทั่วโลก อัตราการเกิดโรคพบมากขึ้นในประเทศเขตร้อน ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบประ มาณ 1% ของประชากรทั้งหมด พบได้ในเด็กอายุหนึ่งปีขึ้นไป เนื่องจากในเด็กเล็กอายุน้อยกว่าหนึ่งปีนั้นจะมีภูมิคุ้มกันที่ส่งผ่านจากมารดาอยู่ จึงมักไม่ติดเชื้อนี้
โรคนี้เป็นโรคที่มีระยะแสดงอาการหลังการติดเชื้อได้ค่อนข้างนาน อาจนานถึงหกเดือนแล้วหายเองได้ เป็นโรคพบมากในเด็กที่ช่วงอายุ 1-10 ปี ส่วนในผู้ใหญ่หูดข้าวสุกที่บริเวณอวัยวะเพศถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง อัตราการเป็นโรคเพิ่มสูงขึ้นในผู้ป่วยโรคเอดส์ โดยพบอยู่ที่ 5-18% ของประชากรที่ป่วยด้วยโรคเอดส์
หูดข้าวสุกเกิดได้อย่างไร?
สาเหตุของโรคหูดข้าวสุกเกิดจากเชื้อไวรัส ชื่อเดียวกันกับชื่อโรค คือ Molluscum contagiosum virus ย่อว่า ไวรัส MCV/เอ็มซีวี โดยหลังได้รับเชื้อจากการสัมผัส ไวรัสนี้จะเข้าไปแบ่งตัวในเซลล์ผิวหนังชั้นนอก เมื่อแบ่งตัวมากขึ้นๆ ก็จะรวมกันเป็นก้อนในไซโตพลาสซึม (Cytoplasm,ของเหลวที่อยู่ภายในเซลล์) ของเซลล์ เรียกก้อนนี้ว่า Molluscum bodies ซึ่งจะมองเห็นได้จากกล้องจุลทรรศน์ และเมื่อแพทย์ตรวจพบก้อนนี้จากการตรวจชิ้นเนื้อผิวหนังที่เกิดโรค ก็จะเป็นตัวช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรคนี้ของแพทย์
ไวรัส MCV นั้นสามารถแยกย่อยออกได้เป็น 4 ชนิดย่อย/Subtype คือ MCV subtype 1 ถึง MCV subtype 4 แต่ทั้ง 4 ชนิดนั้นมีลักษณะอาการและการรักษาเช่นเดียวกัน โดยมีชนิดที่ 1 (Subtype 1) เป็นสาเหตุในการเกิดโรคมากที่สุดถึง 98% ของโรคทั้งหมด
หูดข้าวสุกติดต่อได้อย่างไร?
โรคหูดข้าวสุก สามารถติดต่อได้โดย
- การสัมผัสผิวหนังที่รอยโรค
- ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (โรคหูดข้าวสุกที่อวัยวะเพศ จัดเป็นโรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์)
- การติดโรคจากการเกา ทำให้เชื้อโรคติดในเล็บและผิวหนังที่สัมผัสโรค และกระจายสัม ผัสผิวหนังจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งในคนๆเดียวกัน เรียกการติดโรคด้วยวิธีนี้ว่า “Autoinoculation” เช่น รอยโรคแรกเป็นที่มือ แต่เมื่อเอานิ้วมือที่สัมผัสโรคไปขยี้ตา ก็ทำให้เปลือกตาติดหูดข้าวสุกไปด้วย
- ติดเชื้อไวรัสจากสิ่งของที่ใช้ร่วมกันกับผู้ที่มีรอยโรคหูดข้าวสุก เช่น ผ้าขนหนู และ/หรือ อุปกรณ์ในสถานออกกำลังกาย เป็นต้น
ใครมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดหูดข้าวสุก?
ปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรคหูดข้าวสุกนั้น แท้จริงแล้วสามารถเป็นได้ทุกคน ทุกเพศทุกวัย เพราะปัจจัยเสี่ยงหลักคือ การสัมผัสกับรอยโรค หรือสิ่งของที่มีเชื้อไวรัส MCV อยู่
ดังนั้น การลดปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อโรคหูดข้าวสุกทำได้โดย
- การหลีกเลี่ยงการสัมผัสรอยโรค
- ล้างมือเป็นประจำ
- ทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ที่ใช้ร่วมกัน
- และไม่ใช้สิ่งของส่วน ตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า เสื้อผ้า รองเท้า
หูดข้าวสุกมีอาการอย่างไร?
ลักษณะอาการของโรคหูดข้าวสุก คือ
- เป็นตุ่มสีเนื้อที่ผิวหนัง ไม่มีอาการคันหรือเจ็บ ขนาดประมาณ 2-5 มิลลิเมตร ตรงกลางอาจมีจุดบุ๋มลงไปคล้ายสะดือ มักพบบริเวณใบหน้า แขน/ขา ในเด็ก และบริเวณอวัยวะเพศในผู้ใหญ่
- ในรายที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง อาจมีอาการผื่นแดงคันบริเวณหูดข้าวสุกร่วมด้วย ซึ่งอาการผื่นแดงคันนี้ จะหายไปเมื่อทำการรักษาหูดข้าวสุก
- ในผู้ป่วยโรคเอดส์ ปริมาณของหูดฯจะเกิดมากกว่าในคนที่ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคปกติ และมักดื้อต่อการรักษา
- โดยปกติ (คนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคปกติ) หูดข้าวสุกนั้น สามารถหายได้เองแม้ไม่ได้ทำการรักษาที่ระยะเวลาประมาณ 2-9 เดือน มีส่วนน้อยมากที่อาศัยเวลา 2-3 ปีจึงหาย
ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่?
โดยปกติรอยโรคแต่ละตุ่มของหูดข้าวสุก จะหายได้เองภายในประมาณ 2-9 เดือน (โดยเฉลี่ย ประมาณ 2-3 เดือน) การรักษานั้น เพียงทำให้รอยโรคหายเร็วขึ้น และลดการกระจายของเชื้อ จึงแนะนำให้พบแพทย์/มาโรงพยาบาลเสมอเมื่อพบรอยโรคผิดปกติกับผิวหนังไม่ว่าในตำแหน่งใดก็ตาม เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดูแลรักษาที่ถูกต้อง และเหมาะสมในแต่ละบุคคล
แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นหูดข้าวสุกได้อย่างไร?
โดยปกติการตรวจรอยโรคที่ผิวหนังด้วยตาเปล่า พบลักษณะเฉพาะคือ เป็นตุ่มมีรอยบุ๋มคล้ายสะดือตรงกลางรอยโรค ก็สามารถบอกได้ว่ารอยโรคนั้นคือ หูดข้าวสุก
แต่หากลักษณะรอยโรคไม่ชัดเจน ก็สามารถตัดชิ้นเนื้อที่รอยโรคเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา หรือเพียงแต่ใช้เข็มเจาะ/ดูด แล้วนำสารภายในรอยโรคมาย้อมสีด้วยเทคนิคทางการแพทย์ เพื่อตรวจหาก้อน Molluscum bodies (กลุ่มของไวรัสที่สะสมอยู่ในไซโตพลาสซึมของเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส) ซึ่งจะเห็นเป็นสารสีส้มในสไล์ด (Slide/แผ่นแก้วที่ใช้ย้อมสี)
แพทย์รักษาหูดข้าวสุกอย่างไร?
แนวทางการรักษาหูดข้าวสุกโดยแพทย์ คือ
1. รอให้รอยโรคหายเอง เนื่องจากแต่ละรอยโรคใช้เวลาหายเองมักไม่เกิน 2-3 เดือน ซึ่งอาจพิจารณาใช้วิธีนี้ในเด็กที่เป็นไม่มาก เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดจากการรักษาด้วยวิธีอื่น
2. ส่วนวิธีอื่นที่เป็นการรักษาเพื่อให้โรคหายเร็วขึ้น คือ
- การใช้ยา สำหรับยาที่ใช้ในการรักษานั้น ยังไม่มียาตัวใดได้รับการระบุ/แนะนำจากองค์ การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นข้อบ่งชี้ใช้ในการรักษาหูดข้าวสุกโดยเฉพาะ แต่ได้มีการศึกษาทดลองนำ “ยาทา” มาใช้ในการรักษาหูดข้าวสุกในเด็ก และผู้ป่วยโรคเอดส์มากขึ้นเรื่อยๆ ขนาดและวิธีการใช้ยาจึงแตกต่างกันไปตามแต่ละสูตรการรักษา
ตัวอย่างยาทาที่มี “การทดลอง” ใช้ในการรักษาหูดข้าวสุกมี 2 ตัวยา คือ
- ยาที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid เพื่อทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ
- และ ยาที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายให้ทำลายเชื้อ ชื่อยา คือ Imiquimod
***** ที่สำคัญ การใช้ยาทาทั้ง 2 ชนิดนั้น ถึงแม้ว่าจะสามารถซื้อทาเองได้ที่บ้าน “แต่แนะนำให้พบแพทย์ก่อนเสมอ” เพื่อให้การใช้ยาอยู่ภายใต้การรักษาดูแลของแพทย์ เพราะยังเป็นตัวยาที่อยู่ในการศึกษาทดลองใช้
- ยาจี้ที่รอยโรค โดยแพทย์จะเป็นผู้จี้รักษา ชื่อว่า Podophyllin เป็นยาชนิดเดียวกับที่ใช้รัก ษาหูดหงอนไก่ ใช้เพื่อทำลายเซลล์ผิวหนังที่ติดเชื้อไวรัสนี้ เหมาะกับรักษารอยโรคบริเวณเนื้อ เยื่อเมือกของอวัยวะเพศ โดยแพทย์จะจี้ซ้ำทุกสัปดาห์จนรอยโรคหมดไปในระยะเวลารักษาประ มาณ 4-6 สัปดาห์ ทั้งนี้ ห้ามจี้ยาเองเพราะอาจเกิดผลข้างเคียง คือเกิดแผลเนื้อตายกับเนื้อเยื่อปกติที่อยู่ข้างเคียงรอยโรคได้
- การกำจัดรอยโรคด้วยการขูด และการจี้เย็น ซึ่งจัดเป็นการรักษามาตรฐานสำหรับหูดข้าวสุก ซึ่งแพทย์จะให้การรักษารอยโรคซ้ำทุก 2-3 สัปดาห์ จนรอยโรคหายทุกรอย
- ทั้งนี้ การขูดรอยโรค/Molluscum bodies ออกด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Curette ซึ่งสามารถแปะยาชาเพื่อบรรเทาความเจ็บระหว่างขูดให้ลดลงได้
- ส่วนการจี้เย็น (Cryotherapy ) นั้น แพทย์จะใช้คอตตอนบัด (Cotton bud/ไม้พันสำลี) จุ่มไนโตรเจนเหลว (Liquid nitrogen) แต้มที่รอยโรค ระหว่างทำอาจมีอาการเจ็บได้ และมีโอกาสเกิดรอยดำและ/หรือแผลเป็นที่รอยโรคได้ แต่พบเกิดไม่บ่อยนัก
หูดข้าวสุกก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
ในรายที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง อาจมีผื่นคันร่วมด้วยที่ตำแหน่งหูดข้าวสุก, หูดข้าวสุกที่เป็นบริเวณเปลือกตา อาจทำให้เกิดเยื่อตาอักเสบได้, และในคนที่เกาแกะรอยโรคอาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้
การพยากรณ์โรคของหูดข้าวสุกเป็นอย่างไร?
การพยากรณ์โรคของหูดข้าวสุกนั้น เป็นโรคที่สามารถหายได้เองแม้ไม่ได้รับการรักษา และเป็นโรคที่มีการกลับเป็นซ้ำได้บ่อยหลังการรักษา/หรือหลังการหายจากโรคครั้งแรก คือ ประมาณหนึ่งในสาม (1/3) ของผู้ป่วยทั้งหมด
ทั้งนี้ หูดข้าวสุกในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น ในโรคเอดส์ จะดื้อต่อการรักษามากกว่าผู้มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคปกติ แพทย์อาจต้องใช้การรักษาร่วมกัน 2 วิธี เช่น การรักษาด้วยการจี้เย็น ร่วมกับ ยาทา
เมื่อเป็นหูดข้าวสุกควรดูแลตนเองอย่างไร?
เมื่อเป็นหูดข้าวสุกควรดูแลตนเอง ได้แก่
1. การดูแลตนเองเมื่อเป็นหูดข้าวสุก เช่น พยายามไม่แกะเการอยโรค เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน และลดการพาเชื้อไปติดบริเวณอื่นของร่างกาย (Autoinoculation)
2. การดูแลตนเอง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของหูดข้าวสุกสู่ผู้อื่น เช่น
- ใส่เสื้อผ้าที่ปกคลุมรอยโรค เพื่อป้องกันการเกาจากตนเอง และเพื่อป้องกันการสัมผัสรอยโรคสู่ผู้อื่น รอยโรคนอกร่มผ้าให้ใช้พลาสเตอร์กันน้ำแปะ
- งดการใช้สระว่ายน้ำขณะมีรอยโรค หรือหากจำเป็นให้ปกคลุมรอยโรคไว้ด้วยพลาส เตอร์กันน้ำ
- ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ฟองน้ำ ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า
- ไม่จำเป็นต้องหยุดงาน หรือ หยุดโรงเรียน เพียงแต่ปกคลุมรอยโรคด้วยเสื้อผ้า และพลาสเตอร์ดังกล่าว
- ทำความสะอาดเสื้อผ้าที่สัมผัสรอยโรคด้วยการซักด้วยผงซักฟอก หรือน้ำยาซักผ้าตาม ปกติ
- เมื่อสัมผัสรอยโรค ให้ล้างมือด้วยสบู่ล้างมือ หรือถ้าไม่มีที่ล้างมือ ให้ใช้เป็นแอลกอ ฮอล์ชนิดเจลทำความสะอาดมือได้
เมื่อไหร่ต้องพบแพทย์ก่อนนัด?
เมื่อเป็นหูดข้าวสุกควรพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่อ
- ให้สังเกตลักษณะอาการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่รอยโรค เช่น อาจมีหนอง หรือปวด บวม แดงร้อน ให้รีบมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนแพทย์นัด เพื่อตรวจการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่รอยโรค หรือที่แผลที่อาจเกิดตามหลังการรักษา
- หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่รอยโรคหรือที่แผลจากการรักษาที่ผิดไปจากเดิม
- หรือเมื่อกังวลในอาการ ก็ควรพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนแพทย์นัดเช่นกัน
ป้องกันหูดข้าวสุกได้อย่างไร?
หลักการป้องกันการติดเชื้อหูดข้าวสุกคือ
- การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสรอยโรคจากผู้ที่เป็นหูดข้าวสุกอยู่ เช่น
- การเล่นกีฬาที่มีการสัมผัสกัน เช่น มวยปล้ำ
- หรือ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นหูดข้าวสุก
- ล้างมือเป็นประจำด้วยสบู่ล้างมือเมื่อสัมผัสสิ่งของสาธารณะ
- ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกันเป็นประจำ โดยเฉพาะอุปกรณ์ในสถานที่ที่ใช้ร่วม กัน เช่น สถานออกกำลังกาย
- ไม่ใช้เสื้อผ้าหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น หรือเก็บ/วางปะปนกับของผู้อื่น
บรรณานุกรม
- Klaus Wolff, Lowell A Goldsmith , Stephen I Katz , Barbara A Gilchrest
- Amy S. Paller, David J.Leffell ; Fitzpatrick's dermatology in general medicine ; seven edition ; Mc Grawhill medical
- https://emedicine.medscape.com/article/910570-overview#showall [2019,May4]