มาม่าบลู (Mama blues) หรือ เบบี้บลู (Baby blues)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 3 ตุลาคม 2564
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม? รุนแรงไหม?
- มาม่าบลูส์มีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?
- มาม่าบลูส์มีอาการอย่างไร?
- ใครมีปัจจัยเสี่ยงอาการรุนแรงกลายเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอด?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
- แพทย์วินิจฉัยมาม่าบลูส์อย่างไร?
- แพทย์รักษามาม่าบลูส์อย่างไร?
- มาม่าบลูส์ก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
- มาม่าบลูมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร?
- ป้องกันเกิดมาม่าบลูส์อย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- เชื้อดื้อยา ซูเปอร์บั๊ก (Superbug)
- ความเครียด ภาวะซึมเศร้า และโรคซึมเศร้า (Stress, Depression and Depressive disorder)
- โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder)
- การตั้งครรภ์ (Pregnancy)
- การคลอด การคลอดบุตร (Childbirth)
- ระยะหลังคลอด (Postpartum period)
- โรคจิต (Psychosis)
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม? รุนแรงไหม?
มาม่าบลู (Mama blues) หรือ เบบี้บลู (Baby blues) คือ กลุ่มอาการที่มารดาหลังคลอดเกิด อารมณ์หม่นหมอง ไม่มีความสุข แปรปรวน โกรธง่าย เหงา วิตกกังวล คล้ายถูกทอดทิ้ง อยู่เฉยๆก็อยากร้องไห้/น้ำตาไหล นอนไม่หลับ ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดตั้งแต่วันแรกๆหลังคลอดคือประมาณวันที่ 1-3 ทั้งนี้เป็นอาการไม่รุนแรงไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน จะเป็นอยู่ประมาณ 3-4 วัน ทั่วไปไม่เกิน 2 สัปดาห์ และจะหายไปเองด้วยการปรับตัวได้จากกำลังใจและความสุขที่มีในครอบครัว
มาม่าบลู/เบบี้บลู เป็นอาการ/ภาวะ(โรค-อาการ-ภาวะ) ไม่ใช่โรค พบบ่อย พบ ประมาณ 50-80%ของหญิงแรกคลอดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นครรภ์ครั้งแรกหรือเคยตั้งครรภ์มาแล้วก็ตาม พบทั่วโลก พบทุกอายุของหญิงตั้งครรภ์ แต่มักพบในหญิงฯอายุน้อย ซึ่งอัตราเกิดจะแตกต่างกันตามวัฒนธรรมประเพณีในครอบครัวของแต่ละชาติ, บางครั้งอาจพบในสามีได้ซึ่งมีรายงานพบประมาณ 3-10%
อนึ่ง: ชื่ออื่นของ มาม่าบลู/ เบบี้บลู เช่น มาม่าบลูส์, เบบี้บลูส์, Postpartum blues, Maternity blues
ความรุนแรงของอารมณ์หม่นหมองหลังคลอด:
อารมณ์หม่นหมองหลังคลอดมี 3 ระดับความรุนแรง ได้แก่
- อาการไม่รุนแรง ไม่เป็นอันตราย หายได้เอง: คือ มาม่าบลู/เบบี้บลู ซึ่ง ‘จะกล่าวในบทความนี้’
- อาการรุนแรงปานกลาง: คือ อาการหรือภาวะซึมเศร้าหลังคลอด(Postpartum depression), เป็นอาการเกิดหลังคลอดเช่นเดียวกับมาม่าบลู แต่จะรุนแรงกว่า และมีอาการต่อเนื่องนานเกิน 2สัปดาห์ขึ้นไป ‘เป็นอาการไม่หายเอง’ ต้องปรึกษาแพทย์ เพราะต้องได้รับการรักษาจากจิตแพทย์ ทั่วโลกพบประมาณ 17-20% ทั้งนี้ขึ้นกับวัฒนธรรมในการดูแลสตรีตั้งครรภ์และคลอดบุตรของแต่ละประเทศ ซึ่ง ภาวะนี้จะ ’ไม่กล่าวถึงในบทความนี้’
- ความรุนแรงสูงสุด:คือ โรคจิตหลังคลอด(Postpartum psychosis):คือ การเกิดเป็นโรคซึมเศร้าอย่างแท้จริง เข้าข่ายเป็นโรคทางจิตเวชที่ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจากจิตแพทย์ เพราะจะมีผลกระทบต่อทั้งมารดาและทารก เป็นโรคพบน้อย มักพบในมารดากลุ่มมีอารมณ์สองขั้ว ทั่วโลกพบประมาณ 1-2รายต่อมารดาแรกคลอด 1,000 คน ซึ่งโรคนี้จะ’ไม่กล่าวถึงในบทความนี้’
มาม่าบลูส์มีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?
สาเหตุเกิดมาม่าบลู/เบบี้บลูที่แท้จริง แพทย์ยังไม่ทราบ แต่จากการศึกษาต่างๆ เชื่อ ว่าน่ามีหลายสาเหตุ/ปัจจัยร่วมกันโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงฉับพลันของสภาพร่างกายทางชีววิทยา, ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงฉับพลันอย่างมากของสารเคมีต่างๆในร่างกายหลังคลอด, ซึ่งที่สำคัญคือต่อการทำงานของสมอง, และยังรวมถึงต่อสถานภาพการดำเนินชีวิต
ทั้งนี้ ปัจจัยต่างๆมักเกิดรวดเร็วทันที แม้จะเคยรับรู้ แต่ก็ยังไม่เคยเผชิญ หรือไม่คุ้นชิน จึงมักมีปัญหาในการปรับตัว เช่น
- การเปลี่ยนแปลงของชนิดและระดับฮอร์โมนต่างๆทันที เช่น ฮอร์โมนการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนรก เอสโตรเจน และ โพรเจสเทอโรน
- การได้เผชิญกับ ความเครียด ความวิตกกังวล กับ ขั้นตอนการคลอด และความเจ็บปวดจากการคลอด
- การเปลี่ยนแปลงทันทีทางกายภาพ เช่น รูปร่าง หน้าตา น้ำหนักตัว การมีน้ำนม
- มีความรับผิดชอบใหม่ต่อทารกแรกคลอด
- สถานภาพตนเองเปลี่ยนไป จากเพียง สามี ภรรยา ที่รวมถึงเซ็กซ์ กลับมามีลูกระหว่างกลาง
- ความเครียดที่รุนแรงในการดูแลทารกเต็มร้อย ที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน การให้นม การดูแลสุขภาพ, ความรับผิดชอบต่อ ลูก สามี ครอบครัว หน้าที่การงาน และการดูแลตนเอง
- การมีประวัติอาการนี้ และ/หรือ อาการทางจิตเวชมาก่อน ของมารดา ของบิดา ของคนในครอบครัว
- ปัญหาทางเศรษฐกิจ
- ปัญหาในครอบครัว โดยเฉพาะกับสามี และครอบครัวของสามี
มาม่าบลูส์มีอาการอย่างไร?
อาการจากภาวะมาม่าบลู/เบบี้บลู จะเกิดฉับพลันในประมาณ 1-3 วันหลังคลอด เป็นอาการไม่รุนแรง อาการแต่ละครั้งนานเป็นเพียงนาที ไม่เรื้อรัง มีหลากหลายอาการร่วมกัน เป็นอาการชั่วคราวเป็นอยู่นานประมาณ 7-10 วัน แต่ต้องไม่เกิน 2สัปดาห์
ช่วงมีอาการมากสุดคือประมาณวันที่ 4-5 นับจากเกิดอาการครั้งแรก ทั่วไปอาการจะหายเอง หรือ ด้วยการเข้าใจ ผ่อนคลาย พักผ่อนให้เพียงพอ มีคนค่อยช่วยเหลือ เข้าใจ โดยเฉพาะสามี ครอบครัว และเพื่อน, อาการไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกวันหรือ เหมือนกันในทุกมารดา
อาการต่างๆ ไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอาการ เช่น
- อารมณ์แปรปรวน
- ไวเกินต่อคำพูด หรือ ปฏิกิริยาของผู้อื่น
- อยากร้องไห้ ร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ
- วิตกกังวล กลัวโดยไม่มีเหตุผลที่ควร
- ไม่ไว้ใจใครในการดูแลทารก
- กลัวลูกไม่ปลอดภัย กังวลกับสุขภาพลูกมากเกินเหตุ
- ตัดสินใจไม่ได้ ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่เหมือนเดิม
- เห็นอะไรก็รำคาญ ขวางหู ขวางตา หงุดหงิดง่าย
- ขาดความอดทน ไม่มั่นใจตนเอง ทำตัวไม่ถูก ไม่แน่ใจสถานภาพตัวเอง
- ไม่มีสมาธิ
- นอนไม่หลับ
- อ่อนเพลีย
- อาจเบื่ออาหาร
- รู้สึกขาดอิสสระภาพ
ใครมีปัจจัยเสี่ยงอาการรุนแรงกลายเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอด?
มารดาที่มีปัจจัยเสี่ยงเกิดม่าม่าบลู/เบบี้บลู แล้วจะกลายเป็นภาวะ/โรคซึมเศร้าหลังคลอด เช่น
- *ปัจจัยสำคัญที่สุด คือ มารดามีประวัติอาการซึมเศร้าหลังคลอดมาก่อน, มีมาม่าบลูมาก่อน, หรือมีประวัติโรค/อาการทางจิตเวชอื่นๆมาก่อน เช่น ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน
- มีประวัติคนในครอบครัวมีอาการนี้ หรือมีโรคทางจิตเวช
- มารดามีอายุน้อย
- มารดาติดยาเสพติด ติดบุหรี่ ติดสุรา และ/หรือ เป็นนักเที่ยว
- มีปัญหากับสามี สามีไม่ดูแล
- มีปัญหาในครอบครัว ไม่มีคนคอยช่วยเหลือ
- มีปัญหาทางเศรษฐกิจ
- ไม่มีเพื่อนสนิทที่ไว้ใจ ที่ให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ
- ไม่อยากตั้งครรภ์ หรือมีลูก
- เครียดมาก วิตกกังวลมากในขณะตั้งครรภ์
- มีปัญหาทางการคลอดในครั้งนี้ เช่น ทารกคลอดยาก, ต้องใช้เครื่องมือช่วย, การผ่าท้องคลอดบุตร
- มีประวัติครรภ์แรกๆมีปัญหาในการคลอด การเลี้ยงดูทารก หรือการเจ็บป่วยของทารก
- มีประวัติความรุนแรงในครอบครัว
- มีโรคประจำตัว หรือเป็นโรคเรื้อรัง
- ทารกแฝด
- ทารกคลอดก่อนกำหนด
- ทารกพิการ หรือ ไม่สมบูรณ์
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
เมื่อมีอาการมาม่าบลู/เบบี้บลูต่อเนื่องนานตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป หรือ อาการแย่ตั้งแต่แรกจนกระทบต่อตนเอง การเลี้ยงลูก และครอบครัว หรือเมื่อตนเองเคยมีประวัติ โรคซึมเศร้าหลังคลอดมาก่อน หรือ มีปัญหาทางจิตเวชมาก่อน ควรรีบพบแพทย์/จิตแพทย์/รีบมาโรงพยาบาลเสมอก่อนที่อาการจะกระทบตนเอง ครอบครัว และทารก จนส่งผลถึงการเจริญเติบโตของทารก
แพทย์วินิจฉัยมาม่าบลูส์อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยมาม่าบลู/เบบี้บลู ได้จาก
- ซักถามประวัติทางการแพทย์ของมารดา โดยเฉพาะประวัติอาการต่างๆทั้ง ก่อนตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดครรภ์ปัจจุบัน และครรภ์ที่ผ่านมา ประวัติโรค หรือภาวะจิตใจทางจิตเวช ความสัมพันธ์ในครอบครัว เศรษฐกิจ โรคประจำตัว สุขภาพทั่วไปของมารดา และทารก รวมถึงปัจจัยเสี่ยงเกิดภาวะ/โรคซึมเศร้าหลังคลอด
- การตรวจร่างกายทั่วไป
- อาจจำเป็นต้องมีการตรวจเฉพาะทางทางจิตเวช เพื่อการวินิจฉัยแยกโรค ว่า เป็นโรควิตกกังวล, โรคซึมเศร้า, ภาวะความเครียด, โรคซึมเศร้าหลังคลอด, หรือ อาการ/ภาวะ/โรคทางจิตเวชอื่นๆ หรือไม่ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แน่นอน เพื่อการรักษาที่เหมาะสมเป็นกรณีๆไป
แพทย์รักษามาม่าบลูส์อย่างไร?
แนวทางการรักษาทางการแพทย์ในมาม่าบลู/เบบี้บลู ทั่วไปไม่จำเป็นต้องมีการรักษา มารดาจะปรับตัวได้เอง อาการต่างๆจะหายได้เองภายในไม่เกิน 2 สัปดาห์โดยไม่มีผลข้างเคียงทั้งต่อมารดาและทารก
ทั้งนี้ การดูแลจากแพทย์: เช่น
ก. ให้คำแนะนำ อธิบายให้เข้าใจสาเหตุ/ปัจจัยเกิดอาการ เช่น ดังกล่าวใน’หัวข้อ สาเหตุฯ’
ข. แนะนำ การดูแลตนเองทั่วไป เช่น
- ปรึกษา แพทย์ พยาบาล ขอคำอธิบายให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่พบบ่อยสูงได้ถึงประมาณ 50%-80% ของสตรีหลังคลอด และมีปัจจัย/ตัวกระตุ้นจากอะไรได้บ้าง
- พูดคุยกับสามี เพื่อการแบ่งเบาภาระมารดา
- หาคนที่ไว้ใจได้ช่วยดูแลทารก และพูดคุย ปรึกษา
- สะสาง มอบหมายการงาน ให้ชัดเจนกับ หัวหน้างาน และผู้ร่วมงาน
- หาคนช่วย เพื่อพักผ่อน การผ่อนคลายนอกสถานที่ หรือ ไปพร้อมทารกเมื่อสามารถดูแลได้
- หาคนที่ไว้ใจได้ เพื่อพูดคุย ปรึกษา ขอความช่วยเหลือได้
- หาเวลาว่างสำหรับตนเองในทุกวันเพื่อ พักผ่อน ผ่อนคลาย ทำสิ่งที่เคยชอบ เพื่อพักผ่อนร่างกายและจิตใจ เช่น ดูรูปภาพที่สวยงาม ฟังเพลงโปรดเสริมสวย ช้อปปิ้ง
- สร้างเสริมและคงความสัมพันธ์กับสามี ให้เวลากับสามี ทั้งในฐานะสามี และในฐานะบิดาของลูก
- ทำความเข้าใจกับตนเองว่า มีหน้าที่หลายอย่างที่เป็นชีวิตปกติ คือ เป็น แม่ เป็นภรรยา เป็นลูก/เป็นครอบครัว และมีหน้าที่/ความต้องการของตนเอง เข้าใจและปรับให้อยู่ในสมดุล โดยพูดคุย ปรึกษา ขอความช่วยเหลือกับบุคคลกลุ่มต่างๆที่เกี่ยวข้อง อย่างเข้าใจ มีเหตุผล ไว้ใจ โดยเฉพาะกับสามี
- แสวงหาความน่ารักจากลูก เช่น พัฒนาการของลูก ที่รวมถึง วิธีดูแลและการสร้างความสัมพันธ์กับลูกจาก สูติแพทย์ หมอเด็ก/กุมารแพทย์ และจากพยาบาลในทั้ง 2 หน่วยงานที่ดูแลมารดา ทารก ตั้งแต่ฝากครรภ์ และดูแล หลังคลอดที่รวมถึงในช่วงการฉีดวัคซีนต่างๆของทารก
- จัดเรียงลำดับความสำคัญในชีวิตโดยปรึกษากับสามีและครอบครัว
- ละเว้นงานบ้านที่ไม่จำเป็น ให้คนอื่นช่วยทำ หาคนมาช่วย ทุกอย่างไม่ต้องสมบูรณ์แบบ
- ฝึกทำสมาธิ ผ่อนคลาย เมื่อเครียด
- เมื่อรู้สึกเครียด เหนื่อย หรือในทางลบ ไม่กล่าวโทษใคร ให้เข้าใจ และหาทางแก้ไขโดยปรึกษา สามี ครอบครัว และเพื่อนที่ไว้ใจได้
- แสวงหาเพื่อนที่เพิ่งคลอดลูกที่ไว้ใจได้ ที่อยู่ใน วัฒนธรรม ฐานะทางเศรษฐกิจสังคม การศึกษา ใกล้เคียงกับเรา เพื่อปรึกษา พูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการ
- ดูแลสุขภาพตนเอง ที่สำคัญ คือ
- พักผ่อนให้เต็มที่ นอนหลับให้พอเพียง ทั้งช่วงกลางวัน และช่วงกลางคืน ฝึกนอนหลับไปพร้อมกับลูก
- กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบถ้วนในทุกมื้ออาหาร
- ไม่สูบบุหรี่
- ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
- ไม่ใช้ยาเสพติด
- ไม่เล่นพนัน
- ละเว้นอบายมุขทุกอย่าง
- ออกกำลังกายทุกวันตามควรกับสุขภาพ
- ดูแลสุขภาพกายสุขภาพใจด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ)
ค. ให้ยาตามอาการ เช่น ยานอนหลับ กรณีนอนไม่หลับ, ยาคลายเครียดกรณีเครียดจนนอนไม่หลับ
ง. นัดพบ/ปรึกษา แพทย์ พยาบาล บ่อยขึ้นตามความประสงค์ของผู้ป่วย, พบจิตแพทย์
มาม่าบลูส์ก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
มาม่าบลู/เบบี้บลู ทั่วไป ไม่ก่อผลข้างเคียง เป็นอาการที่หายได้เอง ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ แต่กลับมามีอาการได้อีกเมื่อตั้งครรภ์/และคลอดครั้งใหม่
แต่ถ้ามีอาการรุนแรงตั้งแต่แรกจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หรือมีอาการต่อเนื่องนานตั้งแต่ 2สัปดาห์ขึ้นไป จำเป็นต้องรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลดังได้กล่าวใน ’หัวข้อ เมื่อไหร่ควรพบแพทย์’
มาม่าบลูมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
มาม่าบลู/เบบี้บลู มีการพยากรณ์โรค คือ เป็นอาการ’ไม่อันตราย’ พบบ่อยในสตรีหลังคลอดบุตร อาการจะหายได้เองจากการปรับตัวได้ของมารดาทั้งทางร่างกายและจิตใจโดยไม่มีผลกระทบใดๆต่อทั้งมารดาและต่อทารก
แต่กรณีมารดามีปัจจัยเสี่ยงที่จะกลายเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดดังกล่าวใน’หัวข้อ ปัจจัยเสี่ยงเกิดโรค/ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด’ ก็มีโอกาสเกิดโรค/ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้ ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่า ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาล
ดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองเมื่อเกิดอาการมาม่าบลู/เบบี้บลู เช่นเดียวกับที่ได้กล่าวใน ‘หัวข้อ การรักษาทางการแพทย์ ข้อย่อย ข.’
ป้องกันเกิดมาม่าบลูส์อย่างไร?
ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีในการป้องกันอาการมาม่าบลู/เบบี้บลูที่รวมถึงวิธีตรวจคัดกรองเพื่อป้องกันอาการนี้ ดังนั้น สูติแพทย์ ที่รวมถึงตัวมารดาและสามี ควรรู้จักถึงอาการนี้ และร่วมกันปรึกษา ซักถาม เพื่อมารดา สามี ครอบครัว รับทราบและเข้าใจในเรื่องนี้ได้อย่าง ถูกต้อง มั่นใจ รวมถึงการพูดคุยกับคนในครอบครัวให้ช่วยกันดูแลในช่วงที่มารดาตั้งครรภ์ เตรียมคลอด หลังคลอด และเมื่อเกิดอาการนี้
บรรณานุกรม
- https://www.nhs.uk/conditions/baby/support-and-services/feeling-depressed-after-childbirth/ [2021,Oct2]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Postpartum_blues[2021,Oct2]
- https://www.healthline.com/health/baby-blues [2021,Oct2]
- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3214451/ [2021,Oct2]
- https://www.nct.org.uk/life-parent/how-you-might-be-feeling/baby-blues-what-expect [2021,Oct2]
- https://americanpregnancy.org/healthy-pregnancy/first-year-of-life/baby-blues-71032/ [2021,Oct2]
- https://www.helpguide.org/articles/depression/postpartum-depression-and-the-baby-blues.htm [2021,Oct2]