โรคตาวาว (Leukocoria) มะเร็งตาในเด็ก (Retinoblastoma)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

นิยาม

โรค/ภาวะ ตาวาว หรือ ลิวโคโคเรีย (Leukocoria) ได้แก่ โรคที่ทำให้การสะท้อนแสงภายในลูกตาผิดปกติ จึงเห็นเป็นตาวาวขึ้นโดยเฉพาะในที่มืด โดยชื่อโรคมาจากคำว่า Leuko แปลว่า สีขาว Coria แปลว่า รูม่านตา เมื่อสองคำรวมกันจึงหมายความว่า ภาวะเป็นสีขาวบริเวณรูม่านตา ซึ่งลักษณะที่เห็นจะเหมือนดวงตาของแมวเวลาค่ำคืน ที่ฝรั่งเรียกว่า Amaurotic cat eye ( อะเมาโรติก แคท อาย หรือ ตาแมวตอนกลางคืน) เห็นเงาสะท้อนดูเป็นแสงแวววาวออกจากรูม่านตาบริเวณกลางตาดำ อาจจะมองเห็นเพียงจากด้านใดด้านหนึ่งหรือทุกทิศทาง อาจเป็นตลอดเวลาหรือเห็นเป็นบางครั้งก็ได้

โรคตาวาวเป็นโรคมักเกิดในเด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 6 ปี) หากพบในเด็กคนใดต้องรีบพบจักษุแพทย์ (หมอตา) เพื่อรับการตรวจหาสาเหตุของตาวาวนี้ทันที

โรคตาวาวมีสาเหตุจากอะไร?

โรคมะเร็งตาในเด็ก

สาเหตุของภาวะตาวาวนี้ อาจเกิดจากมีโรคภายในดวงตาเด็กได้หลายโรค อาทิเช่น

  • ต้อกระจกแต่กำเนิด
  • มีโรคในน้ำวุ้นตา เช่น จากการอักเสบ
  • ภาวะจอตาเสื่อมจากได้รับออกซิเจนแรกเกิดในเด็กคลอดก่อนกำหนด
  • มีการอักเสบรุนแรงภายในดวงตาจนเกิดหนอง
  • แต่โรคที่สำคัญที่สุดและร้ายแรงที่สุดได้แก่ มะเร็งจอตา (Retinoblastoma/เรติโนบลาสโตมา) ซึ่งจะได้พูดถึงเฉพาะโรคนี้ในบทความนี้ต่อไป

พบโรคมะเร็งจอตาบ่อยไหม? และมีลักษณะโรคเป็นอย่างไร?

มะเร็งจอตาเป็นมะเร็งในลูกตาที่พบบ่อยที่สุดในเด็ก เป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกของมะเร็งในเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี เป็นอันดับ 3 รองลงมาจากมะเร็งเม็ดเลือดขาว และเนื้องอกในสมอง พบได้ทุกประเทศทั่วโลก โดยพบโรคได้ 1 ต่อ 15,000 - 30,000 ของเด็กคลอดมีชีวิต ซึ่งเชื่อกันว่าโรคนี้อาจเกิดได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง เพราะตรวจพบตั้งแต่แรกเกิดหรืออายุเพียง 1 เดือนก็มี คงจะเป็นมะเร็งชนิดเดียวที่เกิดตั้งแต่ในท้อง

โรคอาจจะเป็นกับตาข้างเดียวหรือพร้อมกัน 2 ตา โดยที่ไม่ใช่จากการกระจายจากตาข้างหนึ่งไปอีกข้าง หรือบางคนอาจเป็นพร้อมกัน 3 ตา โดยอาจพบที่ต่อมไพเนียล (Pineal gland)ในสมองร่วมด้วย (ต่อมไพเนียลเป็นต่อมอยู่ภายในใจกลางสมอง ถือเป็นตาที่ 3 ของคนเรา)

โรคมะเร็งจอตาเป็นมะเร็งที่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นกรรมพันธุ์ สามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้แบบปมเด่น (Dominant) จึงสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ถึงกึ่งหนึ่ง ส่วนใหญ่จะตรวจพบได้ในอายุ 1 เดือนถึง 6 ปี อายุมากกว่านี้พบได้น้อยมาก ถ้าเป็น 2 ตามักจะตรวจพบในอายุที่น้อยกว่าเป็นตาเดียว โดยมีการตรวจพบความผิดปกติในโครโมโซม (สารพันธุกรรม)อย่างชัดเจน

โรคมะเร็งจอตามีอาการอย่างไร?

อาการมะเร็งจอตาที่พบบ่อยคือ

  1. มีสีขาววาวจากกลางตาดำ
  2. ตาเข โดยก้อนมะเร็งอยู่ที่จอตาบริเวณตรงกลาง ทำให้เด็กตามัวลงอย่างมาก ตาข้างนั้นไม่ใช้งานจึงเขออก (ตาเข สาเหตุจากมะเร็งพบได้น้อยมาก ส่วนใหญ่ตาเขไม่ได้เกิดจากมะเร็ง เกิดโดยยังไม่ทราบสาเหตุแน่นอน)
  3. เด็กมีดวงตาเลื่อนลอย คล้ายจะมองไม่เห็น
  4. มีการอักเสบของเบ้าตา ทำให้ตาโปนแดง
  5. เป็นต้อหินจากเซลล์มะเร็งอุดตันทางเดินน้ำในลูกตา
  6. มีเลือดออกภายในช่องหน้ากระจกตาโดยไม่รู้สาเหตุ
  7. ตาเจ็บ ตาแดง เป็นๆหายๆ มักพบในเด็กที่มะเร็งลามไปมากแล้ว

แพทย์วินิจฉัยโรคมะเร็งจอตาได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยโรคมะเร็งจอตาได้ด้วยการตรวจดูจอตาอย่างละเอียดโดยขยายรูม่านตา ด้วยยาหยอดตาที่เป็นยาขยายรูม่านตา แต่หากเด็กไม่ให้ความร่วมมือที่ดี อาจต้องให้ยานอนหลับโดยการกินหรือฉีด หรือบางรายต้องดมยาสลบให้หลับ

มะเร็งนี้ จะมีลักษณะคล้ายเปลวมันหมู อาจพบก้อนเดียวหรือหลายก้อน ลักษณะของก้อนเนื้อมักแตกต่างชัดเจนไม่เหมือนโรคอื่นๆโดยทั่วไป แพทย์มักแนะนำให้ทำการเอกซเรย์ดวงตาดูว่าเนื้อร้ายกระจายไปสู่เบ้าตาหรือบริเวณใกล้เคียงหรือไม่และอย่างไร และเจาะหลังเพื่อนำน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังตรวจดูการแพร่กระจายของโรคเข้าสู่สมอง เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป

โรคมะเร็งจอตามักตัดชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยา (การตรวจทางพยาธิวิทยา) หรือเจาะ /ดูดเซลล์ตรวจทางเซลล์วิทยา (การตรวจทางเซลล์วิทยา) ไม่ได้ เพราะก้อนเนื้ออยู่ลึกในลูกตา ต้องผ่าตัดรักษาก่อนจึงจะตรวจชิ้นเนื้อ และ/หรือตรวจเซลล์จากชิ้นเนื้อจากผ่าตัดได้

โรคมะเร็งจอตามีกี่ระยะ?

มีการจัดระยะโรคมะเร็งจอตาหลายระบบ ทั่วไปจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มที่โรคยังลุกลามอยู่เฉพาะลูกตา, และกลุ่มโรคลุกลามออกนอกลูกตา

ก. กลุ่มที่โรคยังลุกลามอยู่เฉพาะลูกตา: มีการจัดระยะโรคหลายระบบ แต่ที่นิยมคือ การจัดระยะโรคของ The International Classification for Intraocular Retinoblastoma ซึ่งแบ่งมะเร็งจอตาเป็น 5 ระยะ/Group/กรุ๊ป คือ

  • Group A: ก้อนมะเร็งมีขนาดไม่เกิน 3 มิลลิเมตร(มม.)และรุกราน/ลุกลามอยู่เฉพาะใน จอตา โดยต้องเกิดห่างจากตำแหน่งสำคัญของจอตา เช่น จานประสาทตา หรือ รอยบุ๋มบนจุดรับภาพชัด(Fovea)
  • Group B: ก้อนมะเร็งใหญ่กว่า 3มม. หรือเกิดใกล้ตำแหน่งสำคัญของจอตา เช่น จานประสาทตา หรือ Fovea แต่โรคยังรุกรานอยู่ในจอตา
  • Group C: ก้อนมะเร็งมีขอบเขตชัดเจน แต่ลุกลามลงลึกเข้าเนื้อเยื่อใต้จอตา หรือเข้าในวุ้นตา
  • Group D: ก้อนมะเร็งขนาดใหญ่ หรือมีขอบเขตไม่ชัดเจน ร่วมกับลุกลามเข้าเนื้อเยื่อใต้จอตา และ/หรือเข้าในวุ้นตา และ/หรือโรคเป็นสาเหตุให้เกิดจอตาหลุดลอก
  • Group E: ก้อนมะเร็งใหญ่มาก ลุกลามเข้าส่วนหน้าของลูกตา หรือเกิดเลือดออกในก้อน มะเร็ง และ/หรือ มีลักษณะที่การรักษาไม่สามารถเก็บลูกตาไว้ได้ ต้องผ่าลูกตาออก

ข. กลุ่มที่โรคลุกลามออกนอกลูกตา คือ โรคเป็นมาก โอกาสรักษาหายมีน้อย กลุ่มโรคระยะนี้แบ่งเป็น2กลุ่มย่อยคือ

  • กลุ่มที่โรคลุกลามมาก ลุกลามออกนอกลูกตา เข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆในเบ้าตา
  • กลุ่มที่โรคแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น แพร่กระจายเข้า สมอง น้ำไขสันหลัง และ/หรือ ไขกระดูก

โรคมะเร็งจอตารักษาอย่างไร?

แนวทางการรักษาโรคมะเร็งจอตาได้แก่ ผ่าตัดลูกตาทั้งตา เช่นเดียวกับหลักของการรักษามะเร็งทั่วๆไปที่ต้องเอาก้อนมะเร็งออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สำหรับมะเร็งจอตาเนื่องจากอยู่ภายในลูกตา ยากที่จะเข้าไปตัดเฉพาะก้อนเนื้อออก หรือแม้แต่การตัดชิ้นเนื้อมาตรวจเฉกเช่นมะเร็งบริเวณอื่นก็ทำไม่ได้ การผ่าตัดเอาตาออกจึงเป็นทั้งการวินิจฉัยโรคที่แน่นอนและรักษาไปด้วย ดังนั้นจึงเป็นการยากมากที่พ่อแม่เด็กจะเข้าใจและยอมรับหรือยอมผ่าตัดลูกตาออก มักจะต้องใช้เวลาให้ญาติพาไปพบหมอตาหลายๆท่านก่อนเสมอ ต่อเมื่อเห็นว่า วิธีรักษาเหมือนๆกันจึงพอจะทำใจได้

ปัจจุบันมีวิธีการรักษาโรคมะเร็งจอตาได้อีกหลายวิธี (นอกเหนือจากผ่าตัด) ดังจะกล่าวต่อไป ทั้งนี้เพื่อพยายามเก็บลูกตาไว้

อย่างไรก็ตาม จักษุแพทย์มักผ่าตัดลูกตาออกในกรณีพบว่าตาข้างนั้นมองไม่เห็นแล้ว หรือผ่าตัดตาข้างที่เป็นมาก (ในกรณีเป็น 2 ตา) เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง

การรักษาวิธีการอื่นเพื่อเก็บลูกตาไว้ เช่น

  1. จี้เย็น (Cryotherapy) โดยการใช้ความเย็นสูงมาก จี้บริเวณก้อนเนื้อเพื่อหยุดการเจริญ เติบโตของก้อนเนื้อ ใช้ในกรณีก้อนเนื้อมีขนาดเล็ก
  2. ใช้แสงเลเซอร์หลักการเช่นเดียวกับวิธีจี้เย็น
  3. รังสีรักษาเฉกเช่นมะเร็งอื่นๆในร่างกาย
  4. เคมีบำบัด ปัจจุบันมียาในกลุ่มนี้ออกใหม่มากมาย อาจใช้ยาในกลุ่มนี้เพื่อให้ก้อนเนื้อมีขนาดเล็กลง แล้วจึงตามด้วยการรักษาวิธีที่ 1, 2 และ/หรือ 3 ต่อไป

โรคมะเร็งจอตารักษาหายไหม? รุนแรงไหม?

โรคมะเร็งจอตาเป็นโรครุนแรงปานกลาง โอกาสรักษาหายขึ้นกับ ระยะโรค, ขนาด, และตำ แหน่งของก้อนเนื้อในลูกตา ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อโรคยังอยู่ในระยะที่ 1 อัตรารอดที่ห้าปี (โอกาสหาย) ประมาณ 80 - 90% และจะลดลงตามลำดับระยะโรคที่สูงขึ้น จนถึงไม่มีโอกาสรักษาได้หายในโรคที่ลุกลามออกนอกลูกตา

พ่อแม่ควรทำอย่างไรเมื่อมีลูกเป็นมะเร็งจอตา?

นอกจากการดูแลรักษาลูกที่เจ็บป่วยด้วยโรคนี้ดังกล่าวแล้ว พ่อแม่ต้องดูแลลูกคนอื่นๆด้วย เนื่องจากมะเร็งชนิดนี้ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ พ่อแม่จึงควรทราบแนวโน้มที่จะเกิดโรคนี้ในลูกคน อื่นๆหรือแม้แต่การมีลูกของผู้ป่วยเอง (เมื่อรอดชีวิตจากโรคมะเร็งและเติบโตมีครอบครัว) ว่าลูกมีโอกาสเกิดโรคนี้ได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งได้มีการศึกษาสรุปโอกาสของการเกิดโรคดังนี้

1. พ่อ-แม่ ปกติ มีลูกเป็นโรคนี้ 1 คน โอกาสที่ลูกคนต่อไปจะเป็นโรค 6%

2. ถ้ามีลูกเป็นโรคนี้ 2 คน ลูกคนต่อไปมีโอกาสเป็นโรค 50%

3. ถ้ามีประวัติคนอื่นในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย ผู้ป่วยที่หายจากโรคมีโอกาสที่ลูกจะเป็นโรคนี้ถึง 50%

4. ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เพียงคนเดียวในครอบครัว มีโอกาสมีลูกเป็นโรคนี้ 12.5%

ควรพบแพทย์เมื่อไร?

ดังกล่าวแล้วว่า โรคอาจเกิดได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และเช่นเดียวกับในการดูแลดวงตาลูก คือ ควรสังเกตตาลูกตั้งแต่แรกเกิดเสมอ เมื่อพบความผิดปกติหรือสงสัยหรือกังวลใจ ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ ถ้าไม่มีจักษุแพทย์ ถามหมอเด็ก หมอที่ทำคลอดหรือหมอแผนกใดก็ได้

จากการศึกษาติดตามผู้ป่วยโรคนี้ในระยะยาว แม้รักษาลูกตาข้างที่เป็นโรคหายแล้ว ก็ยังมีโอกาสเกิดมะเร็งที่ตาอีกข้าง หรือที่บริเวณอื่นของร่างกายเช่น มะเร็งกระดูกได้อีกด้วย แพทย์จึงต้องมีการนัดตรวจติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ผู้ปกครองจึงควรนำเด็กพบแพทย์ตามนัดเสมอ

อนึ่ง ดังกล่าวแล้ว ควรนำลูกคนอื่นๆมาให้จักษุแพทย์ตรวจตาด้วย เพราะจากที่กล่าวแล้วว่าเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ ลูกคนอื่นๆจึงอาจเกิดโรคได้โดยยังไม่แสดงอาการ ดังนั้นการตรวจพบโรคแต่เนิ่นๆจะช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น และอาจเก็บลูกตาเด็กไว้ได้ไม่ต้องผ่าตัดลูกตาออก

บรรณานุกรม

  1. https://www.cancer.org/cancer/retinoblastoma/detection-diagnosis-staging/staging.html[2019, Dec21]