ภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี (G6PD deficiency)
- โดย ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง อรุณี เจตศรีสุภาพ
- 4 เมษายน 2563
- Tweet
- บทนำ
- เอนไซม์จีซิกพีดีสำคัญอย่างไร?
- ขาดเอนไซม์จีซิกพีดีแล้วเม็ดเลือดแดงแตกได้อย่างไร?
- อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เม็ดเลือดแดงของผู้ที่ขาดเอนไซม์จีซิกพีดีแตกง่าย?
- ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกมีอาการอย่างไร?
- ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกมีผลข้างเคียงอย่างไร?
- การขาดเอนไซม์จีซิกพีดีรุนแรงหรือไม่?
- การขาดเอนไซม์จีซิกพีดีเกิดจากอะไร?
- จำเป็นต้องตรวจว่าขาดเอนไซม์จีซิกพีดีหรือไม่?
- แพทย์วินิจฉัยภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดีอย่างไร?
- แพทย์ดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างไร?
- ป้องกันภาวะเม็ดเลือดแดงแตกจากการขาดเอนไซม์จีซิกพีดีได้อย่างไร? ดูแลตนเอง/ดูแลเด็กอย่างไร?
- เมื่อไรควรพบแพทย์?
- บรรณานุกรม
- เด็ก: โรคเด็ก (Childhood: Childhood diseases)
- โรคเลือด (Blood Diseases)
- โลหิตจาง เลือดจาง ซีด (Anemia)
- ไตวาย ไตล้มเหลว (Renal failure)
- โรคไต (Kidney disease)
- ภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก (Neonatal hyperbilirubinemia / Neonatal jaundice)
- ดีซ่าน (Jaundice)
บทนำ
ภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี (G6PD deficiency, Glucose-6-phosphatase dehydroge nase deficiency) พบในประชากรโลกมากกว่า 400 ล้านคน แต่โชคดีที่ส่วนใหญ่ไม่มีอาการจนตลอดชีวิต ผู้ที่ขาดเอนไซม์นี้อาจมีอาการโลหิตจางเฉียบพลัน ปัสสาวะมีสีเหมือนเครื่องดื่มโคล่า (เช่น สีของโค้กหรือของเป๊ปซี่) และบางคนอาจมีอาการมากจนไตวายหรือเสียชีวิต ภาวะขาดเอนไซม์นี้เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยของเด็กแรกเกิดที่มีตา/ตัวเหลือง
ความชุกของการขาดเอนไซม์นี้ในประเทศต่างๆแตกต่างกันไป ในประเทศไทยพบภาวะนี้ประมาณ 3 - 22% ในประชากรเพศชาย และประมาณ 6 - 10% ในประชากรเพศหญิง
เอนไซม์จีซิกพีดีสำคัญอย่างไร?
เอนไซม์จีซิกพีดีมีความสำคัญ โดยเป็นเอนไซม์ที่ทำให้มีการเร่งสร้างปฏิกิริยาในเซลล์ต่างๆของร่างกาย ทำให้เกิดสารที่ทำให้เซลล์ต่างๆรวมทั้งเม็ดเลือดแดงแข็งแรง
ขาดเอนไซม์จีซิกพีดีแล้วเม็ดเลือดแดงแตกได้อย่างไร?
ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเนื่องจากมีปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียดออกซิเดทิฟ (Oxidative stress) เช่น
- ภาวะติดเชื้อต่างๆ
- การได้รับยา หรือสารเคมี บางชนิด
โดยในคนปกติมีเอนไซม์จีซิกพีดีเพียงพอ แม้มีภาวะเครียดออกซิเดทิฟก็สามารถสร้างสารที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรงได้เพียงพอ แต่ผู้ที่ขาดเอนไซม์จีซิกพีดีไม่สามารถสร้างสารดังกล่าวได้เพียงพอ เม็ดเลือดแดงจึงแตกได้ง่าย
อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เม็ดเลือดแดงของผู้ที่ขาดเอนไซม์จีซิกพีดีแตกง่าย?
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เม็ดเลือดแดงของผู้ที่ขาดเอนไซม์จีซิกพีดีแตกง่าย คือ
- จากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส หรือการติดเชื้ออื่นๆ
- จากยา และ/หรือ สารเคมีบางชนิด เช่น
- ยาบางชนิดที่ใช้รักษาโรคมาลาเรีย เช่นยา ไพรมาควีน (Primaquine), พามาควีน (Pamaquine)
- ยาปฏิชีวนะกลุ่มซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamide)
- ยาแดปโซน (Dapsone)/ยารักษาโรคผิวหนังบางชนิด และโรคเรื้อน
- ยาไนโตรฟูแรนโตอิน (Nitrofurantoin)/ ยารักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- ยาลดไข้/ยาแก้ปวด บางชนิด เช่นยา อะเซตานิไลด์ (Acetanilide), แอสไพริน, หรือ พาราเซตามอล (Paracetamol) ก็อาจทำให้เม็ดเลือดแดงแตกได้
- ยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่นยา กรดนาลิดิสิก (Nalidixic acid), โคไตรมอกซาโซลหรือแบคทริม (Cotrimoxazole/ Bactrim)
- สารต่างๆ เช่น แนฟธาลีน/Napthalene (ลูกเหม็นที่ใช้อบผ้า, กันแมลง)
ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกมีอาการอย่างไร?
เมื่อมีการติดเชื้อหรือได้รับยาหรือสารเคมีที่ทำให้เม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยจีซิกพีดีแตก โดยเฉพาะที่พบบ่อยคือ เม็ดเลือดแดงแตกแบบเฉียบพลันซึ่งจะเกิดใน 24 ถึง 48 ชั่วโมงหลัง จากได้รับปัจจัยที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตก ผู้ป่วยจะมีอาการ เช่น
- ปวดท้อง
- อาเจียน
- ท้องเดิน/ท้องเสีย
- มีไข้ต่ำๆ
- ปวดหลัง
- ต่อมาจะมี
- ปัสสาวะสีโคล่า
- ตาเหลืองเล็กน้อย และ
- มีภาวะโลหิตจาง/ โรคซีดตามมา
- เหนื่อย
- อ่อนเพลีย
ในเรื่องปัสสาวะ เดิมมักจะบอกว่าปัสสาวะสีน้ำปลา แต่ผู้เขียนเห็นว่าน้ำปลามีสีแตกต่างกันมากตั้งแต่เหลืองอ่อนจนถึงน้ำตาลเข้ม แต่สีของโคล่าเป็นสีน้ำตาลค่อนไปทางดำเหมือนสีปัสสาวะของผู้ป่วยซึ่งมีสีน้ำตาลดำเพราะมีสารที่เรียกว่า ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin, สารชนิดหนึ่งในเม็ดเลือดแดง) ที่เป็นผลจากเม็ดเลือดแดงแตกออกมากับปัสสาวะ สีของปัสสาวะนี้จะช่วยในการวินิจฉัยโรคได้มาก ในผู้ที่เป็นโรคไตอักเสบที่มีเม็ดเลือดแดง (ไม่แตก) ออกมากับปัสสาวะจะทำให้ปัสสาวะมีสีแดงคล้ายสีน้ำล้างเนื้อ
อย่างไรก็ตามปัสสาวะสีโคล่า พบได้เพียง 25 ถึง 50% เท่านั้น ไม่พบทุกรายของผู้ป่วยภาวะนี้
เนื่องจากภาวะโลหิตจางในผู้ที่ขาดเอนไซม์จีซิกพีดีแบบเฉียบพลัน จะเกิดภายในเวลาไม่กี่วัน ผู้ป่วยจึงอาจมีอาการ เหนื่อย, อ่อนเพลีย, เวียนศีรษะ, ปวดหัว, ในเด็กอาจจะไม่เล่น ไม่กินอาหาร เพราะเหนื่อยอ่อนเพลีย ไม่อยากทำอะไร อาการภาวะโลหิตจางจะหายไปในระยะเวลาประมาณ 3 - 6 สัปดาห์
อาการ ตัวเหลือง ตาเหลือง เป็นผลจากการแตกของเม็ดเลือดแดงและให้สารสีเหลือง คือ บิลิรูบิน (Bilirubin) ซึ่งร่างกายกำจัดออกทางน้ำดีของตับ หากตับและท่อทางเดินน้ำดีปกติ ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการเหลืองให้เห็น หรือมีอาการเหลืองน้อยมากมองด้วยตาเปล่าเห็นยาก
ในเด็กแรกเกิดผู้ที่ขาดเอนไซม์จีซิกพีดีมักมีภาวะตา/ตัวเหลือง ซึ่งอาจพบเป็นสาเหตุหนึ่งของเด็กที่มีตัวเหลืองเมื่อแรกเกิด (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก)
ส่วนน้อยของผู้ที่ขาดเอนไซม์นี้ จะมีอาการเม็ดเลือดแดงแตกแบบเรื้อรัง คือ แตกครั้งละน้อยๆเป็นๆหายๆ
ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกมีผลข้างเคียงอย่างไร?
ในภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงแตกจากภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี หากเป็นมากและให้การรักษาไม่ทัน
- ผู้ป่วยอาจมีโลหิตจางมากจนหัวใจวาย/ ภาวะหัวใจล้มเหลว
- และหากมีสารฮีโมโกลบินที่เกิดจากเม็ดเลือดแดงแตกไปค้างอยู่ในท่อไตปริมาณมากในสภาวะปัสสาวะเป็นกรด สารนี้จะตกตะกอนอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ/ท่อไตทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน
การแตกของเม็ดเลือดแดงทำให้สารโพแทสเซียม (Potassium) ซึ่งอยู่ในเม็ดเลือดแดงเข้าไปอยู่ในกระแสเลือดมาก ซึ่งเมื่อสารนี้สูงมากเกินไป อาจทำให้หัวใจหยุดเต้น
การขาดเอนไซม์จีซิกพีดีรุนแรงหรือไม่?
ถ้ารู้ว่ามีภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี และระวังไม่ให้สัมผัสกับปัจจัยที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย การขาดเอนไซม์จีซิกพีดีก็ไม่น่ากลัว ถือว่าเป็นเพียงจุดอ่อนที่เม็ดเลือดแดงแตกง่ายเท่านั้น นอกนั้นก็มีชีวิตเหมือนคนปกติ
การขาดเอนไซม์จีซิกพีดีเกิดจากอะไร?
ภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี
- มักพบในเด็กผู้ชายซึ่งได้รับพันธุกรรมที่ผิดปกติมาจากมารดา (Sex linked recessive)
- หรืออาจพบเด็กผู้หญิงซึ่งได้รับพันธุกรรมที่ผิดปกติมาจากทั้งมารดาและบิดา
- หรืออาจพบในผู้หญิงที่ได้รับพันธุกรรมมาจากบิดามารดาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เพียงฝ่ายเดียวก็ได้
จำเป็นต้องตรวจว่าขาดเอนไซม์จีซิกพีดีหรือไม่?
ปัจจุบันยังไม่มีข้อแนะนำว่า ต้องตรวจหาว่าขาดเอนไซม์นี้ในทุกๆคน เพราะส่วนมากของผู้ที่ขาดเอนไซม์นี้อาจไม่มีอาการเลยจนตลอดชีวิต ยกเว้นในเด็กแรกเกิดที่มีภาวะตา/ตัวเหลือง ซึ่งต้องตรวจหาสาเหตุรวมทั้งการตรวจว่าขาดเอนไซม์จีซิกพีดีหรือไม่
แพทย์วินิจฉัยภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดีอย่างไร?
แพทย์จะนึกถึงภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดีเมื่อ ผู้ป่วยมีอาการโลหิตจาง (ซีด เหนื่อยง่าย) ปัสสาวะสีโคล่า และ/หรือมีอาการตา/ตัวเหลืองร่วมด้วย
สิ่งที่จะช่วยแพทย์ให้วินิจฉัยโรคได้มากคือ การตรวจเลือด
- โดยการตรวจลักษณะเม็ดเลือดแดง จะเห็นลักษณะพิเศษคือ รูปร่างของเม็ดเลือดแดงที่แตก
- การย้อมเม็ดเลือดแดงด้วยเทคนิคพิเศษ จะเห็นลักษณะของฮีโมโกลบิน (สารสีแดงในเม็ดเลือดแดง) ตกตะกอนติดที่ผนังของเม็ดเลือดแดง
อนึ่ง การตรวจระดับของเอนไซม์นี้ในระยะที่มีอาการ อาจจะยังบอกว่าขาดเอนไซม์ไม่ได้แน่นอน เนื่องจากเมื่อมีการแตกของเม็ดเลือดแดง ร่างกายจะเร่งสร้างเม็ดเลือดแดงตัวอ่อนออกมามาก ระดับเอนไซม์ในเม็ดเลือดแดงตัวอ่อนจะสูงกว่าระดับเอนไซม์ในเม็ดเลือดแดงปกติ ดังนั้นต้องรอหลายสัปดาห์ (ประมาณ 3 - 6 สัปดาห์) หลังอาการหายแล้วจึงจะเจาะเลือดตรวจจึงได้ ผลแน่นอน
แพทย์ดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างไร?
เมื่อแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยมีภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดีและมีภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบ พลัน แนวทางการรักษาของแพทย์ คือ
- จะรักษาภาวะโลหิตจาง/ โรคซีดโดยการให้เลือด
- จะป้องกันภาวะไตวายเฉียบพลันโดยการให้สารน้ำให้มากพอเพื่อป้องกันการอุดตันท่อไตจากฮีโมโกลบินที่ตกตะกอน
- รวมทั้งรักษาระดับเกลือแร่ในเลือดโดยเฉพาะโพแทสเซียมให้อยู่ในระดับปกติ
- ถ้าผู้ป่วยซีดมากจนมีภาวะหัวใจวาย แพทย์จะให้นอนพัก ให้ออกซิเจน และให้เลือดช้าๆ
- ถ้าผู้ป่วยมีภาวะไตวายโดยผู้ป่วยไม่มีปัสสาวะเลยเป็นเวลานาน แพทย์อาจต้องทำการล้างไตหรือในเด็กเล็กอาจใช้วิธีเปลี่ยนถ่ายเลือด
ทั้งนี้ ในเด็กแรกเกิดที่มีอาการตา/ตัวเหลืองมากเมื่อเกิดจากเม็ดเลือดแดงแตกจากภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี
- แพทย์จะเปลี่ยนถ่ายเลือดถ้าจำเป็น เพื่อกำจัดสารสีเหลืองบิลิรูบินออก ไม่ให้สารนี้ไปทำอันตรายต่อสมอง
- แต่หากอาการเหลืองไม่มากนัก จะให้การรักษาโดยวิธีส่องไฟ (ให้เด็กอาบแสงที่มีความยาวคลื่นบางช่วงที่เรียกว่า Phototherapy) ซึ่งสามารถช่วยลดปริมาณสารสีเหลืองในเลือดได้ แล้วติดตามดูระดับของสารสีเหลือง หากลดลงอาจไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายเลือด
ป้องกันภาวะเม็ดเลือดแดงแตกจากการขาดเอนไซม์จีซิกพีดีได้อย่างไร? ดูแลตนเอง ดูแลเด็กอย่างไร?
การป้องกันภาวะนี้ คือ
- การหลีกเลี่ยงปัจจัยที่สามารถหลีกเลี่ยงได้
- ในผู้ที่ขาดเอนไซม์จีซิกพีดี แพทย์มักให้บัตรประจำตัวผู้ป่วย บอกชื่อ บอกภาวะที่เป็น และมีรายชื่อยาหรือสารที่ควรหลีกเลี่ยง
- ซึ่งแพทย์มักจะหลีกเลี่ยงให้ยากลุ่มที่มีหลักฐานแน่ชัดว่าทำให้เม็ดเลือดแดงแตก
- และหากผู้ที่ขาดเอนไซม์จีซิกพีดีไปพบแพทย์ ควรบอกแพทย์ พยาบาล เภสัชกรว่า มีภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดีด้วย
มีผู้ป่วยบางรายอาจเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกจากถั่วบางชนิด ซึ่งบ้านเราที่พบคือ ถั่วปากอ้า หากผู้ขาดเอนไซม์จีซิกพีดีกินถั่วปากอ้าอาจเกิดอาการของเม็ดเลือดแดงแตกได้จึงควรหลีกเลี่ยง
ในประเทศแถบอาฟริกา มีรายงานผู้ที่ทำงานในไร่ได้สัมผัสละอองเกสรถั่วบางชนิดหรือกินยอดถั่วบางชนิดก็มีอาการเม็ดเลือดแดงแตกอย่างรุนแรงได้
ควรแจ้ง คุณครู ห้องพยาบาล และโรงเรียน ถึงโรคของเด็ก และเมื่อเด็กพอรู้ความ ควรสอนให้เด็กทราบว่า
- ตนเองเป็นโรคอะไร
- ไม่ควรกินอะไร
- ให้คอยสังเกตสีของปัสสาวะเสมอ โดยเฉพาะเมื่อกินอาหารที่แปลกไปจากเดิม และให้แจ้งผู้ปกครองเสมอเมื่อมีสีปัสสาวะผิดปกติ
เมื่อไรควรพบแพทย์?
ในผู้ที่ทราบว่าขาดเอนไซม์จีซิกพีดีแล้ว มีอาการเหนื่อยเพลียและ/หรือมีปัสสาวะสีโคล่า ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาล เพราะอาจเกิดภาวะโลหิตจางจากการแตกของเม็ดเลือดแดง
สำหรับผู้ที่ไม่ทราบว่าขาดเอนไซม์นี้หรือไม่ ควรรีบไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการและหาสาเหตุเมื่อ
- มีอาการเหนื่อยเพลีย
- และ/หรือดูว่าซีด
- ตัวเหลือง ตาเหลือง
- และ/หรือมีปัสสาวะสีโคล่า
บรรณานุกรม
1. อรุณี เจตศรีสุภาพ. ภาวะขาดเอนไซม์จี 6 พีดี. ใน: สุขชาติ เกิดผล, อวยพร ปะนะมณฑา, จามรี ธีรตกุลพิศาล, ชาญชัย พานทองวิริยะกุล, ณรงค์ เอื้อวิชญาแพทย์, จรรยา จิระประดิษฐา. บรรณาธิการ. วิชากุมารเวชศาสตร์. ขอนแก่น. แอนนาออฟเซต. 2552 หน้า 600-8.
2. Mehta A, Mason PJ, Vulliamy TJ. Glucose 6-phosphate dehydrogenase deficiency. Bailliere’s Best Pract Res Clin Haematol 2000; 13:21-38.
3. Viroj Wiwannikit. Glucose -6- phosphate dehydrogenase deficiency in tropical countries. In: Viroj Wiwannikit, ed. Tropical Anemia. New York: Nova Science Publishers, 2007, p 137-48.