พยาธิสตรองจิลอยด์ สตรองจิลอยดิอาซิส (Strongyloidiasis)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 18 มิถุนายน 2564
- Tweet
- บทนำ : คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
- โรคสตรองจิลอยดิอาซิสเกิดได้อย่างไร?
- ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคสตรองจิลอยดิอาซิส ?
- โรคสตรองจิลอยดิอาซิสมีอาการอย่างไร?
- ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
- แพทย์วินิจฉัยโรคสตรองจิลอยดิอาซิสได้อย่างไร?
- รักษาโรคสตรองจิลอยดิอาซิสได้อย่างไร?
- โรคสตรองจิลอยดิอาซิสก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
- โรคสตรองจิลอยดิอาซิสมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร?
- พบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
- ป้องกันโรคสตรองจิลอยดิอาซิสได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
- โรคติดเชื้อ (Infectious disease)
- โรคติดเชื้อปรสิต (Parasitic infection)
- พยาธิเส้นด้าย (Threadworm) หรือ พยาธิเข็มหมุด (Pinworm)
- ไอเวอร์เมคติน (Ivermectin)
- ยาอัลเบนดาโซล (Albendazole)
- มีเบนดาโซล (Mebendazole)
- โรคทางเดินอาหาร โรคระบบทางเดินอาหาร (Digestive disease)
- ท้องเสีย ท้องร่วง ท้องเดิน (Diarrhea)
- ทุพโภชนา ทุโภชนา (Malnutrition)
บทนำ : คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
สตรองจิลอยดิอาซิส (Strongyloidiasis) /โรคติดเชื้อพยาธิสตรองจิลอยดิส(Strongyloides) คือ ‘โรคพยาธิลำไส้’ ที่เกิดจากคนติดเชื้อพยาธิในสกุล(Genus) ชื่อ Strongyloides ที่มีหลากหลายชนิด(Species) โดยชนิดพบบ่อยที่สุดและเป็นเกือบทั้งหมดที่ก่อโรคในคนคือ ชนิด Stercoralis (Strongyloides stercoralis หรือ S. stercoralis)
ทั้งนี้ชื่ออื่นของโรคนี้คือ โรคพยาธิสตรองจิลอยด์ หรือ โรคสตรองจิลอยด์
พยาธิสตรองจิลอยดิส (Strongyloides)/พยาธิ์สตรองจิลอยด์ เป็นพยาธิตัวกลมชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็ก ตัวเมียที่เป็นตัวเต็มวัย/ตัวแก่ (Adult) มีความยาวประมาณ 2 -3 มิลลิเมตร (มม.) กว้างประมาณ 0.05 มม. ในขณะที่ตัวผู้ตัวเล็กกว่าประมาณเท่าตัว เมื่อพยาธิตัวผู้และตัวเมียผสมพันธุ์ จะได้ไข่มีรูปร่างกลมรีมีขนาดเล็กมากขนาดประมาณ 0.035 x 0.050 มม. มองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งไข่จะเจริญเป็นตัวอ่อน (Larva, L) ระยะต่างๆ 3 ระยะ (L1, L2, L3)
- ตัวอ่อนระยะ L1, L2 เรียกว่า Rhabditiform larva มีขนาดประมาณ 0.25 X 0.015 มม.
- ส่วนตัวอ่อนระยะ L3/ตัวอ่อนระยะติดต่อ/Infective stage larva เรียกว่า Filariform larva มีขนาดประมาณ 0.5 X 0.015 มม. ที่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่าได้
อนึ่ง: เนื่องจากพยาธิสตรองจิลอยดิส มีขนาดเล็กมาก และลำตัวเป็นคล้ายเส้นด้าย ทั่วไป จึงเรียกได้อีกชื่อว่า ‘พยาธิเส้นด้าย (Threadworm)’ ซึ่งชื่อจะไปพ้องกับพยาธิเส้นด้าย/พยาธิเข็มหมุด ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า “Enterobius vermicularis” ที่ทำให้เกิดพยาธิทางเดินอาหารเช่นกันที่เรียกว่า ‘โรคติดเชื้อพยาธิเส้นด้าย หรือโรคติดเชื้อพยาธิเข็มหมุด(Enterobiasis)’
พยาธิสตรองจิลอยดิส มีรังโรคคือ ดินที่เปียกชื้น (พยาธิจะตายในสิ่งแวดล้อมที่แห้งแล้ง ขาดความชื้น) และมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว รวมถึงคนเป็นโฮสต์จำเพาะ(Definitive host, โฮสต์ที่พยาธิอยู่อาศัยจนเป็นตัวแก่ สืบพันธุ์ และออกไข่) เป็นพยาธิที่พบ ทั่วโลก แต่พบสูงในพื้นที่ทำเกษตรกรรมโดยเฉพาะเขตร้อนชื้น เช่น อเมริกากลาง และ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่รวมถึงประเทศไทย รวมทั้งพบบ่อยขึ้นในประเทศที่ยังไม่พัฒนาที่ยังใช้อุจจาระเป็นปุ๋ย และ/หรือยังมีการสาธารณสุขไม่ดีในเรื่องน้ำบริโภค ส้วม และการกำจัดอุจจาระ
สตรองจิลอยดิอาซิส/โรคพยาธิสตรองจิลอยด์/โรคสตรองจิลอยด์ พบทั่วโลก รายงานจาก70 ประเทศทั่วโลก พบประมาณ 100-200ล้านคน โดยเฉพาะในถิ่น/ประเทศดังได้กล่าวแล้ว
สตรองจิลอยดิอาซิส/โรคพยาธิสตรองจิลอยด์/โรคสตรองจิลอยด์ พบทุกอายุ ตั้งแต่เด็ก(นิยามคำว่าเด็ก)ไปจนถึงผู้สูงอายุ แต่พบในเด็กและในวัยทำงานสูงกว่าวัยอื่น อาจเพราะมีโอกาสสัมผัสพยาธิที่อยู่ในดินได้สูงกว่าวัยอื่น และพบในเพศชายสูงกว่าในเพศหญิงซึ่งอาจเพราะเพศชายมีโอกาสสัมผัสพยาธิในดินสูงกว่าในเพศหญิงเช่นกัน
โรคสตรองจิลอยดิอาซิสเกิดได้อย่างไร?
โรคสตรองจิลอยดิอาซิ/โรคพยาธิสตรองจิลอยด์/โรคสตรองจิลอยด์ เกิดจากเมื่อคนย่ำดินที่เป็นแหล่งรังโรคของพยาธินี้ ตัวอ่อนระยะ ติดต่อ Filariform ในดินจะไชเข้าผิวหนังที่เท้า โดยไชเข้าผิวหนัง และเยื่อเมือก (เช่น ช่องปาก, ตา) ได้ทุกส่วนที่สัมผัสพยาธิซึ่งโดยทั่วไปมักเป็นที่’เท้า’ถึงแม้จะไม่มีบาดแผลที่ผิวหนังก็ตาม และเมื่อไชเข้าผิวหนังจะเข้าสู่ร่างกาย ตัวอ่อนนี้จะเข้าสู่กระแสน้ำเหลือง(ระบบน้ำเหลือง) เข้าสู่กระแสเลือด และเข้าสู่ปอดโดยเข้าไปอยู่ในถุงลม
จากถุงลม ตัวอ่อนพยาธิจะเคลื่อนผ่านหรือถูกขย้อนผ่านเข้าคอหอย จึงถูกกลืนเข้าสู่กระเพาะอาหารและลำไส้ โดยในลำไส้เล็กพยาธิตัวอ่อนจะเจริญเป็นตัวแก่ตัวเมียและตัวผู้ ซึ่งเมื่อผสมพันธุ์กัน ตัวเมียจะออกไข่ และไข่จะเจริญเป็นตัวอ่อนระยะ Rhabditiform ที่จะปนออกมากับอุจจาระ ลงสู่ดินและเจริญในดินเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อ Filariform ซึ่งเมื่อคนย่ำดิน ตัวอ่อนระยะติดต่อนี้ก็จะไชเข้าเท้า วนเวียนเป็นวงจรชีวิตของพยาธินี้ (เรียกวงจรนี้ว่า ‘Parasitic cycle, วงจรชีวิตแบบปรสิต’) และก่อให้เกิดการติดเชื้อในคนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้พยาธิตัวผู้ตัวแก่จะตายหลังผสมพันธุ์และซากจะปนมาในอุจจาระ ส่วนตัวแก่ตัวเมียจะออกไข่อยู่ได้อีกนาน 2 - 3 เดือน แต่มีรายงานนานได้ถึง 5 ปี
อนึ่งระยะเวลานับจากพยาธิตัวอ่อน Filariform ไชเข้าเท้าไปจนถึงตรวจพบพยาธิตัวอ่อน Rhabditiform ในอุจจาระใช้เวลาประมาณ 3 - 4 สัปดาห์
นอกจากวงจรชีวิตแบบปรสิตดังกล่าวแล้ว พยาธิสตรองจิลอยดิสยังมีวงจรชีวิตได้อีกแบบที่เกิดวนเวียนอยู่ในดินเรียกว่า ‘Free - living cycle (วงจรชีวิตอิสระ)’ คือ พยาธิตัวอ่อน Rhabditiform ที่ปนในอุจจาระในดิน นอกจากเจริญเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อ Filariform แล้วยังเจริญเป็นตัวแก่ตัวเมียและตัวผู้ได้ด้วย ซึ่งจะผสมพันธุ์กันและออกไข่ เจริญเป็นตัวอ่อน Rhabditiform และตัวอ่อนระยะติดต่อ Filariform ตามลำดับ ซึ่งตัวอ่อนระยะติดต่อนี้จะไชเข้าเท้าคน เกิดเป็น’วงจรชีวิตแบบปรสิต’ได้ หรือเจริญไปเป็นตัวแก่เป็น’วงจรชีวิตแบบอิสระ’ก็ได้ ซึ่งวงจรชีวิตแบบอิสระและวงจรชีวิตแบบปรสิตจะเกิดคู่กันไป
นอกจากวงจรชีวิตของพยาธิสตรองจิลอยดิสทั้ง 2 แบบแล้ว พยาธินี้ยังสามารถเจริญเติบ โตในคนหรือมีวงจรชีวิตในคนได้อีกแบบเรียกว่า “Autoinfection” กล่าวคือ พยาธิตัวอ่อน Rhabditiform ในคนเมื่อเคลื่อนมาอยู่ในลำไส้ใหญ่จะสามารถเจริญเป็นพยาธิตัวอ่อนระยะติดต่อ Filari form ได้ ซึ่งพยาธิตัวอ่อนระยะติดต่อนี้จะไชเข้าผนังลำไส้และเข้าผิวหนังรอบๆปากทวารหนักเข้าสู่กระแสน้ำเหลือง และกระแสเลือด เข้าสู่ปอด เคลื่อนออกมาอยู่ที่คอหอย ถูกกลืนและไปเจริญเป็นตัวแก่ วนเวียนได้เป็นอีกแบบของวงจรชีวิต ซึ่งวงชีวิตแบบ Autoinfection นี้จะทำให้มีพยาธิสตรองจิลอยดิสอยู่ในคนได้นานตลอดชีวิตของคนๆนั้นถ้าไม่มีการรักษา
อนึ่ง โรคสตรองจิลอยดิอาซิส/โรคพยาธิสตรองจิลอยด์/โรคสตรองจิลอยด์ ไม่ใช่โรคติดต่อจากคนสู่คนหรือสัตว์สู่คน ไม่ติดต่อจากการสัมผัส คลุกคลี หายใจ ไอ จาม หรือกินอาหารร่วมกัน แต่คนติดโรคจากตัวอ่อนระยะติดต่อไชเข้าผิวหนังและ/หรือเนื้อเยื่อเมือก และจากการติดเชื้อแบบ Autoinfection
ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคสตรองจิลอยดิอาซิส?
ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคสตรองจิลอยดิอาซิส/โรคพยาธิสตรองจิลอยด์/โรคสตรองจิลอยด์ ได้แก่
- ย่ำดินด้วยเท้าเปล่า
- สัมผัสกับอุจจาระคนเสมอบ่อยๆ เช่น เกษตรกรที่ใช้อุจจาระเป็นปุ๋ย แหล่งอยู่อาศัยที่แออัด ค่ายอพยพ ค่ายทหาร
- อาศัยในแหล่งขาดสาธารณสุขพื้นฐานโดยเฉพาะในเรื่องส้วมและการกำจัดอุจจาระ
- ผู้ท่องเที่ยวเดินทางในแหล่งที่โรคนี้เป็นโรคประจำถิ่นซึ่งมักเป็นประเทศที่ยังไม่พัฒนา หรือกำลังพัฒนา
- ผู้ติดเชื้อไวรัส HTLV 1 (Human T-cell Lymphotropic virus 1) ที่เป็นสาเหตุของโรค มะเร็งเม็ดเลือดขาว, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งในคนกลุ่มนี้ ถ้าติดพยาธินี้อาการจะรุนแรงมากจนอาจถึงตายได้ ถึงแม้จะได้รับการรักษาตั้งแต่ในระยะเริ่มมีอาการ
โรคสตรองจิลอยดิอาซิสมีอาการอย่างไร?
ในคนทั่วไปที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคปกติ การติดพยาธิสตรองจิลอยดิสมักไม่ก่ออาการ ยกเว้นเมื่อติดพยาธิจำนวนมาก, หรือร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคที่ต่ำกว่าปกติ, ทั้งนี้ยังไม่ทราบถึงระยะฟักตัวที่แน่นอนของโรคนี้
เมื่อโรคก่ออาการจะพบอาการได้ 3 แบบหลักคือ
ก. อาการจากการติดพยาธิเฉียบพลัน (Acute Strongyloidiasis): เมื่อพยาธิตัวอ่อนระยะติดต่อไชเข้าสู่ผิวหนัง ตรงตำแหน่งที่พยาธิไชเข้าไปอาจมี ผื่นแดง อาจคัน และเจ็บ ต่อมาอาจมีอาการ ระคายคอ ไอ จากพยาธิเข้าสู่ปอดและคอหอย, และประมาณ 2 สัปดาห์ต่อมา ผู้ป่วยอาจมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร/ช่องท้องเช่น ท้องเสียเป็นน้ำ บางคนอาจท้องผูก ปวดท้องทั่วๆไปไม่เฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง, อาจคลื่นไส้, และมักเบื่ออาหาร ซึ่งอาการต่างๆมักดีขึ้นเองจากการดูแลตนเองตามอาการภายใน 3 - 4 วัน
ข. อาการจากติดพยาธิเรื้อรัง (Chronic strongyloidiasis): ผู้ป่วยจะมีอาการเป็นๆหายๆเรื้อรังได้ตลอดระยะเวลาที่มีพยาธินี้อยู่ในร่างกาย ดังนี้เช่น
- อาการทางระบบทางเดินอาหาร: ซึ่งเป็นอาการไม่จำเพาะพบได้ในโรคทางเดินอาหารทั่วๆไป เช่น ปวดท้องมักปวดบริเวณลิ้นปี่ ท้องอืด แน่นท้องหลังกินอาหาร อาการแสบร้อนกลางอก ท้องเสีย (มักท้องเสียเป็นน้ำ)สลับท้องผูก ผู้ป่วยส่วนน้อยอาจมีอุจจาระเป็นเลือดได้
- อาการทางผิวหนัง: จะมีอาการลมพิษที่เป็นๆหายๆ และมีการขึ้นผื่นที่มีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า “Larva currens” คือ ผื่นเป็นทาง/เส้นยาว สีออกแดง คัน เจ็บ มักเริ่มมาจากบริเวณรอบปากทวารหนักหรือฝีเย็บ แล้วลามมาหน้าขาหรือลามขึ้นลำตัวและหน้าอก ผื่นอาจมี 1 - 3 เส้นซึ่งเกิดจากทางเดินของตัวอ่อนพยาธิระยะติดต่อที่ไชจากปากทวารหนักในวงจรชีวิตแบบ ‘Autoinfection’ ดังได้กล่าวแล้วใน ‘หัวข้อ โรคเกิดได้อย่างไร’
อนึ่ง อาการทั้งในข้อ ก และ ข จะเป็นอาการไม่รุนแรง อาการหายได้เองด้วยการดูแลตน เองในระยะเวลาประมาณ 1 - 2 สัปดาห์
ค. Hyperinfection syndrome and disseminated strongyloidiasis: เป็นอาการจากการติดพยาธิสตรองจิลอยดิสที่รุนแรง มักมีการติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงร่วมด้วย เป็นอาการที่มักพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาโอกาสตายสูงได้ถึงประมาณ 90% แต่ถ้าได้รับการรักษา โอกาสตายจะลดลงกว่าไม่มีการรักษา แต่ก็ยังจัดว่าสูง โดยจะขึ้นกับการตอบสนองต่อยาที่รักษา, รวมไปถึงสภาพร่างกายผู้ป่วย, และโรคที่เป็นเหตุให้ภูมิคุ้มกันฯต่ำด้วย
Hyperinfection syndrome จะเกิดจากมีพยาธิตัวอ่อนระยะติดต่อจำนวนมากที่พบเฉพาะในปอดและในลำไส้ จึงก่ออาการที่ปอดและที่ลำไส้อย่างรุนแรง เป็นอาการที่มักพบในคนที่ใช้ยาสเตียรอยด์ต่อเนื่องเป็นเวลานานเช่น ในผู้ป่วยโรคหืด หรือ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (โรคซีโอพีดี)
Disseminated strongyloidiasis เป็นอาการเกิดจากมีพยาธิตัวอ่อนระยะติดต่อไชกระ จายทุกอวัยวะทั่วร่างกายรวมทั้งที่สมอง เป็นอาการที่มักพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น ในผู้ป่วยเอดส์ ผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายอวัยวะ, และผู้กินยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค
ทั้งนี้ อาการ Hyperinfection syndrome and disseminated strongyloidiasis ที่พบได้เช่น
- อาการทางระบบทางเดินอาหาร: เช่น ปวดท้อง ท้องเสียเป็นน้ำ ท้องอืดมากจากลำไส้บวมและไม่บีบตัวเคลื่อนไหว (อาการคล้ายลำไส้อุดตัน) อุจจาระเป็นเลือดรุนแรง เยื่อบุช่องท้องอักเสบรุนแรง
- อาการทางปอด: เช่น ไอรุนแรง ไอเป็นเลือด หายใจลำบาก/หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงผิดปกติ ปอดบวมรุนแรง และภาวะหายใจล้มเหลว
- อาการทางสมอง: เช่น ปวดศีรษะรุนแรง คอแข็ง แขนขาอ่อนแรง ชัก ซึม และโคม่า
- อาการทางผิวหนัง: เกิดลมพิษรุนแรงทั่วตัว
- อื่นๆ: ตัวบวม มีน้ำในท้อง/ท้องมาน มีไข้มักเป็นไข้สูง อ่อนเพลียมาก เบื่ออาหาร กระสับกระส่าย
ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง?
ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคสตรองจิลอยดิอาซิส/โรคพยาธิสตรองจิลอยด์/โรคสตรองจิลอยด์ ที่รุนแรง ได้แก่
- ใช้ยาสเตียรอยด์นานต่อเนื่องเช่น ในโรคหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง(โรคซีโอพีดี)
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำเช่น ติดเชื้อเอชไอวี โรคเอดส์ กินยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค (เช่น ในผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ) ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้ยาเคมีบำบัด
- ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส HTLV 1
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
เมื่อมีอาการดังกล่าวใน’หัวข้ออาการฯ’ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเสมอ ส่วนผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะติดพยาธิ ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเพื่อขอรับการตรวจอุจจาระ ซึ่งมักต้องตรวจหลายครั้ง (มีรายงานถึง 7 ครั้ง) ถึงจะพบตัวอ่อนพยาธิสตรองจิลอยดิส
แพทย์วินิจฉัยโรคสตรองจิลอยดิอาซิสได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยโรคสตรองจิลอยดิอาซิส/โรคพยาธิสตรองจิลอยด์/โรคสตรองจิลอยด์ ได้จาก
- ซักถามประวัติทางการแพทย์ต่างๆของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น ประวัติอาการ ประวัติอาชีพ การท่องเที่ยว
- การตรวจร่างกาย
- การตรวจอุจจาระ ซึ่งต้องตรวจหลายครั้งติดต่อกัน (อาจถึงประมาณ 7 ครั้ง)
- ตรวจเลือด ซีบีซี/CBC (ดูค่าเม็ดเลือดขาว Eosinophil ที่จะขึ้นสูงมาก)
- ตรวจเลือดดูค่าสารภูมิต้านทาน และดูสารก่อภูมิต้านทานสำหรับพยาธิชนิดนี้
- ส่องกล้องปอดและ/หรือลำไส้เล็กเพื่อนำสารคัดหลั่งและ/หรือน้ำย่อยเพื่อการตรวจหาตัวพยาธิตัวอ่อน
- บางครั้งอาจต้องตัดชิ้นเนื้อจากปอดและ/หรือลำไส้เล็กเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยาดูตัวพยาธิตัวอ่อน
รักษาโรคสตรองจิลอยดิอาซิสได้อย่างไร?
แนวทางการรักษาโรคสตรองจิลอยดิอาซิส/โรคพยาธิสตรองจิลอยด์/โรคสตรองจิลอยด์ ได้แก่ การใช้ยาฆ่าพยาธิ, การรักษาด้วย ยาปฏิชีวนะ, การรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุให้ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ และการรักษาประคับประคองตามอาการ (การรักษาตามอาการ)
ก. การใช้ยาฆ่าพยาธิ (ยาถ่ายพยาธิ): ยาที่มีประสิทธิภาพสำหรับโรคนี้ เช่นยา Ivermectin, Albendazole, Mebendazole
ข. การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ: ใช้รักษาร่วมด้วยในผู้ที่ติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนที่มักเกิดในกลุ่มอาการ Hyperinfection syndrome and disseminated strongyloidiasis ซึ่งจะใช้ยาปฏิชีวนะชนิดใดขึ้นกับว่าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดใด
ค. การรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุให้ภูมิคุ้มกันฯโรคต่ำ: เช่น การรักษาโรคมะเร็ง หรือ รักษาโรคติดเชื้อเอชไอวี
ง. การรักษาตามอาการ: คือ การรักษาตามอาการของแต่ละผู้ป่วย เช่น ยาแก้ปวด, ยาลดไข้, ยาแก้คัน, ยาแก้แพ้, การให้ออกซิเจนกรณีมีปัญหาทางการหายใจ, การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเมื่อผู้ป่วยกิน/ดื่มได้น้อย
โรคสตรองจิลอยดิอาซิสก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
ผลข้างเคียงที่พบเกิดในโรคสตรองจิลอยดิอาซิส/โรคพยาธิสตรองจิลอยด์/โรคสตรองจิลอยด์ มีได้หลากหลาย เช่น
- ภาวะทุพโภชนา
- การอักเสบรุนแรงของทุกเนื้อเยื่อ/อวัยวะ เช่น
- ลำไส้อุดตัน
- ปอดอักเสบ /ปอดบวม
- ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
โรคสตรองจิลอยดิอาซิสมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
ในคนทั่วไปที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคที่ปกติ โรคสตรองจิลอยดิอาซิส/โรคพยาธิสตรองจิลอยด์/โรคสตรองจิลอยด์ เป็นโรคมีการพยากรณ์โรคที่ดี รักษาได้หายเสมอ
แต่ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ โรคสตรองจิลอยดิเอซิส/โรคพยาธิสตรองจิลอยด์/โรคสตรองจิลอยด์ จะมีการพยากรณ์โรคค่อนข้างเลว โอกาสเกิดอาการรุนแรงจนนำไปสู่การตายค่อนข้างสูง เช่น จากเยื่อบุช่องท้องอักเสบรุนแรง, ภาวะหายใจล้มเหลวจากปอดติดเชื้อรุนแรง, และสมองอักเสบรุนแรงจากสมองติดเชื้อพยาธินี้
อนึ่ง โรคนี้มีการติดโรคซ้ำได้เสมอถึงแม้จะรักษาในครั้งแรกได้หายแล้วก็ตาม จากกลับไปสัมผัสตัวอ่อนพยาธิระยะติดต่ออีก
ดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองเมื่อทราบว่าเป็นโรคสตรองจิลอยดิอาซิส/โรคพยาธิสตรองจิลอยด์/โรคสตรองจิลอยด์ คือ
- ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
- กินยา/ใช้ยาที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา ไม่หยุดยาเอง
- สวมร้องเท้าและถุงมือเสมอเมื่อต้องสัมผัสกับดิน
- ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารและหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง
- ถ่ายอุจจาระโดยใช้ส้วม และช่วยกันในชุมชนจัดให้มีสุขอนามัยเบื้องต้นโดยเฉพาะในเรื่องส้วมและการกำจัดอุจจาระ
- ไม่นำอุจจาระมาเป็นปุ๋ย
- พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
พบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
ควรพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนนัด เมื่อ
- อาการต่างๆเลวลง
- เกิดมีอาการใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
- อาการที่เคยรักษาหายแล้วกลับมามีอาการอีก เช่น อุจจาระเป็นเลือด
- มีผลข้างเคียงอย่างต่อเนื่องจากยาที่แพทย์สั่งจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ท้องเสียรุนแรง
- เมื่อกังวลในอาการ
ป้องกันโรคสตรองจิลอยดิอาซิสได้อย่างไร?
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนหรือยาที่ใช้ป้องกันโรคสตรองจิลอยดิอาซิส/โรคพยาธิสตรองจิลอยด์/โรคสตรองจิลอยด์ *แต่มีวิธีป้องกันโรคนี้ที่มีประสิทธิภาพ คือ ‘*การสวมร้องเท้าและถุงมือเมื่อต้องสัมผัสดิน*’ นอกจากนั้นคือ
- ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารและหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง
- ถ่ายอุจจาระโดยใช้ส้วมเสมอ และช่วยกันในชุมชนจัดให้มีการสุขอนามัยเบื้องต้นโดย เฉพาะในเรื่องส้วมและการกำจัดอุจจาระ
- ไม่นำอุจจาระมาเป็นปุ๋ย
- รณรงค์ให้ชุมชนเข้าใจถึงวิธีติดต่อของโรคและกลไกวงจรชีวิตของพยาธินี้เพื่อช่วยกันตัดวงจรชีวิตของพยาธินี้
บรรณานุกรม
- Ponganant Nontasut. et al. (2005). Southeast Asian J Trop Med Public Health. 36, 442-444
- Ubonvan Jongwutiwes et al. (2014). Pathogens and Global Health. 108, 137-140. [Abstract]
- https://emedicine.medscape.com/article/229312-overview#showall [2021,June12]
- https://www.cdc.gov/parasites/strongyloides/ [2021,June12]
- https://www.cdc.gov/parasites/strongyloides/health_professionals/ [2021,June12]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Strongyloides_stercoralis [2021,June12]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Strongyloidiasis [2021,June12]
- http://parasite.org.au/para-site/text/strongyloides-text.html [2021,June12]
- https://www.cdc.gov/parasites/strongyloides/biology.html [2021,June12]