ปัสสาวะบ่อย (Frequent urination)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 21 มีนาคม 2564
- Tweet
- บทนำ: คืออะไร? พบบ่อยไหม?
- ปัสสาวะบ่อยมีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?
- ควรพบแพทย์เมื่อไร?
- แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุปัสสาวะบ่อยได้อย่างไร?
- รักษาอาการปัสสาวะบ่อยได้อย่างไร?
- ปัสสาวะบ่อยรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
- ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
- ป้องกันปัสสาวะบ่อยอย่างไร?
- บรรณานุกรม
- ผู้สูงอายุ (Older person)
- การดูแลผู้สูงอายุ (Elderly care)
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)
- นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (Vesical calculi)
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted disease)
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังชนิดไม่ติดเชื้อ (Interstitial cystitis หรือ Bladder pain syndrome หรือ IC/BPS)
- ท่อปัสสาวะอักเสบ (Urethritis)
- การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic inflammatory disease)
- โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection)
- ขมิบช่องทวารเบา ขมิบช่องคลอด การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel exercise)
บทนำ: คืออะไร? พบบ่อยไหม?
ปัสสาวะบ่อย/ ฉี่บ่อย (Frequent urination) คือ อาการปวดปัสสาวะที่ทำให้ต้องรีบเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าที่เคยเป็น เกิดได้ทั้งในเวลากลางวันและ/หรือกลางคืน(ที่ในภาวะ ปกติ ควรตื่นมาปัสสาวะไม่เกิน 1 ครั้ง) ทั้งนี้ ปัสสาวะบ่อย/ฉี่บ่อยไม่ขึ้นกับปริมาณน้ำปัสสาวะที่มากเท่านั้น แต่เป็นได้ทั้งจาก ปริมาณปัสสาวะปกติ, น้อยกว่าปกติ, หรือ มากกว่าปกติ
ปัสสาวะบ่อย/ฉี่บ่อย เป็นอาการไม่ใช่โรค(โรค-อาการ-ภาวะ) ซึ่งทางการแพทย์ จำนวนครั้งต่อวันของการปัสสาวะปกติในผู้ใหญ่จะประมาณไม่เกิน 8 ครั้งในช่วงกลางวัน และไม่ควรเกิน 1 ครั้งในช่วงกลางคืน ซึ่งถ้าบ่อยกว่านี้ ถือว่าเป็น ‘ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ’
อย่างไรก็ตาม เมื่อปัสสาวะบ่อยร่วมกับปริมาณปัสสาวะมากจากบางสาเหตุ จะไม่จัดเป็นปัสสาวะบ่อยที่ผิดปกติ เช่น สาเหตุเกิดจาก ผลข้างเคียงจากยาบางชนิดที่ทำให้ร่างกายขับปัสสาวะเพิ่มขึ้น เช่น ยาขับปัสสาวะ หรือ ยาลดความดันบางกลุ่ม รวมถึงที่สาเหตุมาจากดื่มกาแฟ(สารคาเฟอีน)มากและ/หรือดื่มสุรา
เนื่องจากปัสสาวะบ่อย/ฉี่บ่อย เป็นอาการ ดังนั้นจึงไม่มีรายงานอุบัติการณ์/สถิติเกิด อาการนี้ เพราะทางการแพทย์ การบันทึกสถิติต่างๆมักเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรค นอกจากนั้น ผู้ที่มีอาการนี้ทุกคนไม่ได้มาพบแพทย์ เนื่องจากอาการอาจไม่ก่อปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน สถิติการเกิดอาการนี้จึงไม่แน่ชัด
อย่างไรก็ตาม ปัสสาวะบ่อย/ฉี่บ่อย พบบ่อยในผู้สูงอายุทั้งเพศหญิงและเพศชาย โดยเพศหญิงมักเกิดในวัยหมดประจำเดือน ส่วนเพศชายมักเกิดจากมีต่อมลูกหมากโตที่เป็นโรคมักพบในผู้ชายสูงอายุ
ปัสสาวะบ่อยมีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?
สาเหตุปัสสาวะบ่อย/ฉี่บ่อย: ได้แก่
ก. สาเหตุพบบ่อย: ได้แก่
- โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เนื่องจากจะมีกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้บ่อยจากมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำและมักเป็นโรคที่ก่อการอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อของปลายประสาทต่างๆรวมถึงของกระเพาะปัสสาวะ จึงส่งผลให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากผิดปกติ
- ภาวะหมดประจำเดือนในผู้หญิง (วัยหมดประจำเดือนในสตรี) เพราะการขาดฮอร์โมนเพศจะส่งผลให้เนื้อเยื่อต่างๆรวมถึงกระเพาะปัสสาวะขาดการยืดหยุ่น, แห้ง, และติดเชื้อได้ง่าย, จึงเป็นสาเหตุให้กระเพาะปัสสาวะระคายเคือง, มีการบีบตัวผิดปกติ, และติดเชื้อได้ง่าย
- การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรี
- ในผู้ชายสูงอายุจากมีต่อมลูกหมากโตจึงอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ/ท่อปัสสาวะ ส่งผลให้ปัสสาวะแต่ละครั้งไม่หมด น้ำปัสสาวะที่คั่งค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะจะก่อการระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะ และเป็นการเพิ่มปริมาณน้ำปัสสาวะที่กักคั่งในกระเพาะปัสสาวะ จึงกระตุ้นให้เกิดการปัสสาวะบ่อย
- การตั้งครรภ์ เพราะขนาดครรภ์จะกดเบียดทับกระเพาะปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะจึงเก็บน้ำปัสสาวะได้น้อยลง และยังก่อการระคายเคืองต่อกระเพาะปัสสาวะ จึงเกิดอาการปัสสาวะบ่อย/ฉี่บ่อย
- ปัญหาด้านอารมณ์/จิตใจ เช่น ความเครียด จะกระตุ้นให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวบ่อยขึ้น จึงเกิดอาการปัสสาวะบ่อย/ฉี่บ่อย
- ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน/กาเฟอีนในปริมาณมาก เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มประเภทโคลา จะกระตุ้นไตให้ขับปัสสาวะมากขึ้น และบางรายงานพบว่าสารคาเฟอีนกระตุ้นกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะให้บีบตัวมากขึ้นจึงกักเก็บปัสสาวะได้น้อยลง ส่งผลให้ปัสสาวะบ่อย/ฉี่บ่อย
- ดื่มน้ำมาก
ข. สาเหตุที่พบได้น้อยกว่า: ได้แก่
- การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาขับน้ำ/ยาขับปัสสาวะ และยาลดความดันบางกลุ่ม เพราะจะเพิ่มปริมาณน้ำปัสสาวะ
- โรคต่อมลูกหมากอักเสบติดเชื้อ, โรคต่อมลูกหมากอักเสบเรื้อรังชนิดไม่ติดเชื้อ
- โรคสมอง เช่น อัมพาต สมองจึงควบคุมการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะไม่ได้
- มีก้อนเนื้อในอุ้งเชิงกราน/ท้องน้อย จึงกดเบียดทับกระเพาะปัสสาวะ เช่นเดียวกับในกรณีการตั้งครรภ์ เช่น โรคเนื้องอกมดลูกในเพศหญิง
- โรคกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติจากสาเหตุต่างๆ เช่น โรคกล้ามเนื้อหรือ เส้นประสาทกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ
- โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
ควรพบแพทย์เมื่อไร?
เมื่อมีอาการปัสสาวะบ่อย/ฉี่บ่อย ควรพบแพทย์/มาโรงพยาบาล เมื่อ
- อาการนั้นส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
- มีไข้ ปวดหลัง และ/หรือคลื่นไส้-อาเจียน ร่วมด้วย เพราะเป็นอาการบอกถึงการติดเชื้อของกระเพาะปัสสาวะ/ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ/ โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ/ ซึ่งควรต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะจากแพทย์
- ปัสสาวะเป็นเลือด หรือ ขุ่น เพราะเป็นอาการของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือ นิ่วในไต หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรืออาจจากมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น
- มีตกขาวในเพศหญิง
- มีสารคัดหลั่ง หรือ หนองออกจากอวัยวะเพศ หรือจากปากท่อปัสสาวะ
แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุปัสสาวะบ่อยได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของอาการปัสสาวะบ่อย/ฉี่บ่อย ได้จาก
- การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น อาการ การเจ็บป่วยทั้งในอดีตและในปัจจุบัน การกินยา/ใช้ยาต่างๆ เครื่องดื่ม การดื่มน้ำ ลักษณะการทำงาน
- การตรวจร่างกาย
- การตรวจภายในในเพศหญิง
- การตรวจทวารหนัก โดยเฉพาะในเพศชายเพื่อตรวจคลำต่อมลูกหมาก
- การตรวจอื่นๆเพื่อการสืบค้นเพิ่มเติมซึ่งขึ้นกับสิ่งผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบและดุลพินิจของแพทย์ เช่น
- การตรวจปัสสาวะ
- การตรวจเชื้อ และ/หรือการเพาะเชื้อจากปัสสาวะ
- การส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะ
- การตรวจหาความจุของกระเพาะปัสสาวะ(Cystometry)
- การตรวจภาพท้องน้อย/กระเพาะปัสสาวะและ/หรือระบบทางเดินปัสสาวะด้วย อัลตราซาวด์ และ/หรือ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์/ ซีทีสแกน
รักษาอาการปัสสาวะบ่อยได้อย่างไร?
แนวทางการรักษาอาการปัสสาวะบ่อย/ฉี่บ่อย คือ การรักษาสาเหตุ และการรักษาตามอาการ
ก. การรักษาสาเหตุ: จะแตกต่างกันในแต่ละผู้ป่วยขึ้นกับแต่ละสาเหตุ เช่น
- การให้ยาปฏิชีวนะเมื่อสาเหตุเกิดจากโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ
- การผ่าตัดเมื่อสาเหตุเกิดจากโรคเนื้องอกมดลูก
(แนะนำอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุที่รวมถึงแนวทางการรักษาได้จากเว็บ haamor.com)
การรักษาตามอาการ : เช่น
- กินยาคลายการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ
- กินยาแก้ปวดเมื่อมีอาการปวดเบ่งปัสสาวะร่วมด้วย
- อาจมีการฝึกการควบคุมการปัสสาวะ ซึ่งให้การสอนโดย แพทย์ พยาบาล
- ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ/เนื้อเยื่อในอุ้งเชิงกราน/ท้องน้อยที่ช่วยในการปัสสาวะ เช่น เทคนิคที่เรียกว่า Kegel exercise (ขมิบช่องทวารเบา/ ขมิบช่องคลอด/ การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน)
- อาจใช้วิธีทางการแพทย์สนับสนุนต่างๆ เช่น Biofeedback (การควบคุมอารมณ์ จิตใจ การมีสมาธิ ร่วมกับการใช้เครื่องมือทางไฟฟ้าเพื่อการตรวจจับและควบคุมอาการ)
ปัสสาวะบ่อยรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
ความรุนแรง/การพยากรณ์โรคของอาการปัสสาวะบ่อย/ฉี่บ่อย ขึ้นกับสาเหตุ และความรุนแรงของอาการ ดังนั้นการพยากรณ์โรคจึงต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย แพทย์ผู้รักษาเท่านั้นที่จะให้การพยากรณ์โรคผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม เช่น
- จะไม่รุนแรง เมื่อสาเหตุมาจาก ความเครียด หรือจากการกินยาขับปัสสาวะ หรือจากภาวะหมดประจำเดือน (วัยหมดประจำเดือนในสตรี)
- แต่ความรุนแรงจะสูงมากเมื่ออาการเกิดจากมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
อย่างไรก็ตาม อาการปัสสาวะบ่อย/ฉี่บ่อย จะมีผลต่อคุณภาพชีวิต เพราะผู้ที่มีอาการนี้ มักปฏิเสธที่จะเข้าสังคม หรือมักมีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตประจำวัน, การเข้าสังคม, และอาจรวมถึงในการงานด้วย
ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
การดูแลตนเองเมื่อมีอาการปัสสาวะบ่อย/ฉี่บ่อย คือ
- เลิก/จำกัดเครื่องดื่มคาเฟอีน, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นตัวเพิ่มน้ำปัสสาวะและเป็นตัวกระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ
- จำกัดน้ำดื่มประมาณ 2-3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อลดการตื่นเข้าห้องน้ำมากกว่า 1 ครั้งต่อคืนที่จะส่งผลให้อ่อนเพลียในช่วงกลางวัน
- พบแพทย์/มาโรงพยาบาลเพื่อแพทย์พิจารณาการปรับยา เมื่อสาเหตุมาจาก ผลข้างเคียงของยาที่แพทย์สั่ง
- ดูแล รักษา ควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงให้ได้ดี เช่น โรคเบาหวาน
- ฝึกบริหารกล้ามเนื้อ/เนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆในอุ้งเชิงกราน/ท้องน้อย(ขมิบช่องคลอด)ทั้งเพศหญิงและชาย เพื่อช่วยการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ และของเนื้อเยื่อ/กล้ามเนื้อต่างๆในอุ้งเชิงกราน(Pelvic floor muscle training exercises) หรือที่เรียกว่า Kegel exercise ได้แก่
- ขมิบก้น หรือ ขมิบช่องคลอด เหมือนกับเมื่อปวดปัสสาวะแล้วกลั้นไว้ นับ 1ถึง 10 หรือ เท่าที่จะขมิบได้
- คลายการขมิบ นับให้เท่ากับตอนขมิบ เช่น 1-10 แล้วเริ่มขมิบรอบใหม่
- ฝึกทำบ่อยๆได้ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับการหายใจ
- และในขณะขมิบ พยายามไม่ใช้กล้ามเนื้อของก้น และ/หรือของต้นขาช่วย
- ทำชุดละประมาณ 4-8 ครั้ง วันละประมาณ 3-4 ชุด ซึ่งมักจะเห็นผลภายใน 2-8 สัปดาห์
ป้องกันปัสสาวะบ่อยอย่างไร?
การป้องกันอาการปัสสาวะบ่อย/ฉี่บ่อย ได้แก่ การป้องกันสาเหตุดังกล่าวแล้วที่เป็นสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อป้องกันการติดเชื้อต่างๆ รวมทั้งโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ
- ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยการใช้ถุงยาอนามัยชายที่ได้มาตรฐาน และใช้อย่างถูกวิธี ร่วมกับไม่สำส่อนทางเพศ
- เลิก/จำกัดเครื่องดื่มมีคาเฟอีน
- ไม่ดื่มน้ำมากเกินไป และ ไม่ดื่มน้ำประมาณ 2-3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
- เลิก/ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์/สุรา เพราะจะเพิ่มปริมาณน้ำปัสสาวะ
- ฝึกการทำงานของเนื้อเยื่อ/กล้ามเนื้อต่างๆของอุ้งเชิงกราน (การขมิบช่องคลอด /Kegel exercise) เป็นประจำตั้งแต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย ไม่ต้องรอจนมีอาการ
- ดูแลรักษาควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
บรรณานุกรม
- Bremnor, J., and Sadovsky, R. (2002). Evaluation of dysuria in adults, Am Fam Physician. 65, 1589-1697.
- https://en.wikipedia.org/wiki/Frequent_urination [2021,March20]
- https://www.healthline.com/health/kegel-exercises [2021,March20]
- https://medlineplus.gov/ency/article/003975.htm [2021,March20]
- https://medlineplus.gov/ency/article/003140.htm [2021,March20]