พริก: ปวดท้องจากพริก (Chili pepper and stomach pain)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 25 พฤษภาคม 2563
- Tweet
- บทนำ: คุณค่าทางอาหารของพริก
- พริกออกฤทธิ์ได้อย่างไร?
- พริกมีผลอย่างไรต่อร่างกาย?
- พริกมีปฏิกิริยากับยาอื่นไหม?
- ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อกินหรือโดนสเปรย์พริก?
- บรรณานุกรม
- แคปไซซิน (Capsaicin)
- ปวดท้อง (Abdominal pain)
- ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids or piles)
- เลือดออกในทางเดินอาหาร (Gastrointestinal bleeding or GI bleeding)
- แผลเปบติค (Peptic ulcer) / แผลในกระเพาะอาหาร (Gastric ulcer)
- กลุ่มยาแก้ปวด และยาพาราเซตามอล (Analgesics and Paracetamol)
- กรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease)
- ลำไส้อักเสบ (Enterocolitis)
บทนำ: คุณค่าทางอาหารของพริก
พริก (Chili หรือ Chile หรือ Chilli หรือ Pepper) เป็นพืชถิ่นในทวีปอเมริกา มีหลักฐานว่า มนุษย์ที่อาศัยในทวีปอเมริการู้จักกินพริกอย่างน้อยตั้งแต่ 7,500 ปีก่อนคริสตกาล และในสมัยที่โคลัมบัส (Christopher Columbus) นักสำรวจชาวยุโรปค้นพบทวีปอเมริกา ได้เรียกชื่อพืชชนิดนี้ ว่า Pepper (พริกไทย) เพราะมีรสเผ็ดเหมือนกับพริกไทย ซึ่งหลังจากการค้นพบ ชาวยุโรปกลุ่มของโคลัมบัสได้เป็นผู้นำพริกกลับมาปลูกในพื้นที่ต่างๆในยุโรป ส่วนพริกที่แพร่หลายในเอเชียเชื่อว่าเกิดจากพ่อค้าชาวสเปนที่ยึดครองประเทศเม็กซิโก และทำการยึดครองหรือค้าขายกับประเทศในเอเชียเป็นผู้นำมาเผยแพร่ กระจายเข้าสู่ ฟิลิปปินส์ อินเดีย จีน อินโดนีเซีย เกาหลี และญี่ปุ่น แต่ไม่มีหลักฐานที่แน่นอนว่าพริกเข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่เมื่อไร
คุณค่าทางอาหารของพริกแดงสด 100 กรัม: คือ
- ให้พลังงาน 40 กิโลแคลอรี (Kilocalorie)
- คาร์โบไฮเดรต 8.8 กรัม
- ไขมัน 0.4 กรัม
- โปรตีน 1.9 กรัม
- ใยอาหาร 1.5 กรัม
- น้ำ 88 กรัม
- วิตามิน เอ 48 ไมโครกรัม
- สารบีตาแคโรทีน (Beta carotene, สารต้านอนุมูลอิสสระชนิดหนึ่ง) 534 ไมโครกรัม
- วิตามิน บี6 0.51 มิลลิกรัม
- วิตามิน ซี 144 มิลลิกรัม
- ธาตุเหล็ก 1 มิลลิกรัม
- โพแทสเซียม (Potassium) 322 มิลลิกรัม
- แมกนีเซียม (Magnesium) 23 มิลลิกรัม
- สารแคปไซชิน (Capsaicin/สารที่ก่อให้เกิดอาการเผ็ดร้อน ปวดแสบ ปวดร้อน) 0.01 - 6 กรัม
อนึ่ง คำว่า Chili, Chilli, และ Chile ที่แปลว่า พริกนี้ เป็นชื่อเรียกพืชชนิดนี้ในภาษาพื้น เมืองของประเทศเม็กซิโก ไม่ได้มีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวเนื่องกับประเทศชิลีแต่อย่างไร โดย Chile ที่เป็นประเทศมาจากภาษาพื้นเมืองของคนในทวีปอเมริกา ซึ่งสันนิฐานว่าอาจมาได้จากหลายทางเช่น ชื่อหุบเขาหนึ่งในประเทศชิลี หรือแปลว่า ดินแดนที่ลึกที่สุดของโลกหรือปลายโลก ซึ่งคือที่ตั้งของประเทศชิลี
พริกออกฤทธิ์ได้อย่างไร?
พริกเป็นเครื่องชูรสที่สำคัญของคนไทย แต่เมื่อมีอาการปวดท้อง แสบท้อง/ระคายเคืองกระ เพาะอาหารและลำไส้ ท้องเสีย คลื่นไส้-อาเจียน หรือเป็นโรคกรดไหลย้อน, โรคกระเพาะอาหารอักเสบ, โรคแผลในกระเพาะอาหาร/หรือแผลเปบติค, และ/หรือโรคลำไส้อักเสบ รวมทั้งเมื่อเป็นโรคริดสีดวงทวาร แพทย์มักแนะนำให้กินอาหารจืด (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com เกร็ดสุขภาพเรื่อง ประเภทอาหารทางการแพทย์) และให้พยายามหลีกเลี่ยง/งดการกินพริกเพราะรสเผ็ดของพริกจะกระตุ้นให้อาการต่างๆรุนแรงขึ้น
ทั้งนี้เพราะ พริกมีสารประกอบที่เรียกว่า แคปไซชิน (Capsaicin) และสารประกอบในกลุ่มนี้อีกหลายชนิดที่รวมเรียกว่า แคปไซซินอยด์ (Capsaicinoid) ซึ่งสารเหล่านี้เมื่อเรา กิน, สูดดม, สัมผัสเยื่อเมือกต่างๆ เช่น เยื่อตา, หรือ สัมผัสผิวหนัง จะกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึกเผ็ด แสบร้อน ปวดแสบของเนื้อเยื่อเหล่านั้น จากเส้นประสาทจะนำความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นนี้เข้าสู่สมองส่วนรับความรู้สึกในสมองใหญ่ (Cerebrum) ซึ่งจะแปลให้เรารับรู้ถึงความรู้สึก เผ็ด แสบร้อน ปวดแสบ
พริกมีผลอย่างไรต่อร่างกาย?
พริกมีคุณค่าอาหารดังที่ได้กล่าวแล้วใน ‘บทนำ’ เป็นพืชให้พลังงานต่ำ แต่มีวิตามินซีสูง และพริกที่มีสี แดง ส้ม หรือเหลือง มีสารบีตาแคโรทีน (สารในกลุ่มวิตามินเอ และสารต้านอนุมูลอิสสระ) สูง
นอกจากนั้นสารที่มีสูงในพริกคือ สารแคปไซชิน และสารในกลุ่มนี้ซึ่งมีปริมาณมาก-น้อยขึ้นกับแต่ละสายพันธุ์ของพริก เป็นสารที่ก่ออาการ เผ็ด แสบร้อน ปวดท้อง เนื่องจากจะก่อการระคายเคืองต่อเยื่อเมือกต่างๆที่สัมผัสสารนี้ทั้ง ตา จมูก ทางเดินหายใจ และทางเดินอาหาร ทั้งนี้การก่อการระคายเคืองจะมากหรือน้อย นอกจากขึ้นกับชนิดของพริก, ปริมาณของพริกที่ได้รับ, ยังขึ้นกับธรรมชาติของแต่ละคนที่ทนได้หรือไวต่อสารแคปซาชินนี้, รวมทั้งโรคต่างๆที่มีอยู่แล้วของแต่ละเนื้อเยื่อ/อวัยวะที่สัมผัสสารนี้ เช่น ถ้าเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร, กระเพาะอาหารอักเสบ, โรคกรดไหลย้อน, หรือ โรคริดสีดวงทวาร, สารแคปไซชินก็จะก่ออาการระคายเคืองได้มากขึ้น
มีบางการศึกษาพบว่า สารแคปไซชิน อาจกระตุ้นให้กระเพาะอาหารสร้างกรดเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นการกินพริกจึงส่งผลถึงอาการของโรคทางกระเพาะอาหาร และโรคกรดไหลย้อน ให้มีมากขึ้น จากทั้งการก่อการระคายเคืองเยื่อเมือกโดยตรงและจากการเพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษายืนยันแน่ชัดว่า พริกป้องกันหรือเป็นสาเหตุของโรคกระเพาะอาหารอักเสบ, แผลในกระเพาะอาหาร, มะเร็งกระเพาะอาหาร, มะเร็งลำไส้ใหญ่, หรือมะเร็งชนิดต่างๆ, เพียงแต่อาจกระตุ้นให้อาการจากโรคเหล่านี้รุนแรงขึ้นจากการก่อการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร
ผู้ป่วยบางคนอาจแพ้พริกได้ (โรคภูมิแพ้) โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่แพ้ผักผลไม้ เช่น กล้วย กีวี ผลนัท (Nuts) และรวมไปถึงการแพ้กาวหรือสารที่มีส่วนผสมของกาวลาเทก (Latex)
ความเผ็ดและแสบร้อนของพริกจะกระตุ้นให้มีน้ำมูกและสารคัดหลั่งจากหลอดลมเพิ่มขึ้น หรือหายใจเร็วขึ้น ผู้ที่มีโรคระบบทางเดินหายใจ หรือ โรคปอด (เช่น โรคหืด) เมื่อกินพริกจึงอาจมีอาการเพิ่มมากขึ้นได้
ความเผ็ดและแสบร้อนจากพริก อาจกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หรือความดันโลหิตสูงขึ้นได้ ดังนั้นผู้เป็นโรคเหล่านี้จึงควรระมัดระวังในการกินพริกเช่นกัน
ในด้านอารมณ์/จิตใจ แพทย์ทางจิตเวชบางท่านอธิบายว่า การกินพริกสำหรับคนบางคนจะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นสมใจเช่นเดียวกับในการเล่นเครื่องเล่นผาดโผนในสวนสนุก
ในหญิงตั้งครรภ์ ยังไม่มีการศึกษาที่ยืนยันชัดเจนถึงผลกระทบของพริกต่อการตั้งครรภ์หรือต่อทารกในครรภ์ แต่แพทย์ไม่แนะนำให้กินเมื่อตั้งครรภ์รวมถึงเมื่อให้นมบุตร เพราะสารแคปซาชินและสารในกลุ่มนี้จะผ่านออกมาในน้ำนม และก่ออาการระคายเคืองต่อทางเดินอาหารของทารก
อย่างไรก็ตาม ได้มีผู้นำสารแคปชาชินมาผลิตเป็นยาแก้ปวด (จากคุณสมบัติที่กระตุ้นให้เกิดการแสบร้อนอาจช่วยบรรเทาอาการปวดจากโรคบางโรคได้เช่น อาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง) ทั้งชนิดกินและชนิดแปะ, รวมทั้งใช้เป็นอาวุธ เช่น สเปรย์พริก เป็นต้น แต่ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับแผ่นแปะที่เพิ่มความร้อนหรือกระเป๋าไฟฟ้า เพราะจะเพิ่มการระคายเคืองต่อผิวหนังมากขึ้น
พริกมีปฏิกิริยากับยาอื่นไหม?
พริกหรือสารแคปซาชินและสารในกลุ่มนี้อาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิดได้ เช่น
ก. เพิ่มผลข้างเคียงจากยา: เช่น
- ยาลดความดันโลหิต (ยาลดความดันยาลดความดันสูง ในเว็บhaamor.com)บางชนิด โดยจะทำให้ไอมากขึ้นจากการระคายเคืองทางเดินหายใจ
- อาจเพิ่มการดูดซึมยาขยายหลอดลม Theophylline ส่งผลให้เพิ่มผลข้างเคียงจากยานี้เช่น หัวใจเต้นเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ วิงเวียน คลื่นไส้-อาเจียน ท้องเสีย หรืออาการแพ้ยา (เช่น ริมฝีปาก ตา บวม ผิวหนังขึ้นผื่นคัน)
ข. ลดหรือเพิ่มประสิทธิภาพของยาบางชนิด: เช่น
- ลดประสิทธิภาพของยาลดกรดหรือยาเคลือบกระเพาะอาหาร
- ลดประสิทธิภาพของยาแอสไพรินในด้านลดอาการปวด
- เพิ่มฤทธิ์ของยาต้านการแข็งตัวของเลือด เลือดจะออกได้ง่ายขึ้น เช่น ยา Warfarin (Coumadin) รวมทั้งสมุนไพรที่ลดการแข็งตัวของเลือดเช่น กระเทียม และแปะก้วย และ
- พริกอาจส่งผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำ ดังนั้นจึงอาจเพิ่มฤทธิ์ของยาเบาหวาน ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้
ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อกินหรือโดนสเปรย์พริก?
การดูแลตนเองเมื่อกินพริก คือ
- สังเกตอาการตนเองเสมอเมื่อกินพริกโดยเฉพาะเมื่อกินพริกชนิดใหม่ๆรวมทั้งปริมาณของพริก เพื่อการดูแลตนเองในครั้งต่อๆไป
- หลีกเลี่ยงกินพริกในปริมาณมากๆหรือพริกที่เผ็ดมากๆ เมื่อ
- มีโรคในระบบทางเดินอาหารทุกโรค (เช่น มีแผลในช่องปาก โรคกรดไหลย้อย โรคกระเพาะอาหารอักเสบ โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคลำไส้อักเสบ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคริดสีดวงทวาร) โรคภูมิแพ้ โรคปอด โรคมะเร็งในส่วนของศีรษะและลำคอ หรือ
- เมื่อมีการฉายรังสีรักษาในบริเวณศีรษะลำคอ, บริเวณช่องอก, บริเวณช่องท้อง, บริเวณช่องท้องน้อย/อุ้งเชิงกราน รวมทั้ง
- ระหว่างให้ยาเคมีบำบัด
- ระมัดระวังการกินพริกที่เผ็ดจัดหรือปริมาณมากเมื่อต้องกินยาในโรคต่างๆโดยเฉพาะ ที่ได้กล่าวในหัวข้อ พริกกับปฏิกิริยากับยาต่างๆ
- ระมัดระวังการสัมผัสพริกและไปสัมผัส ผิวหนัง ตา และเยื่อเมือกของจมูก ปาก
- ระมัดระวังการกินพริก เมื่อแพ้พริก
- เมื่อแสบปากคอจากกินพริก อาจช่วยได้ด้วยการอมน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็น
- เมื่อแสบท้อง ปวดท้อง จากการกินพริก อาการจะบรรเทาได้จากการดื่มนมหรือดื่มนมเย็นหรือกินยาเคลือบกระเพาะอาหาร
- เมื่อเจ็บริดสีดวงทวารมากหลังกินพริก การดูแลตนเองคือการดื่มนม อาจร่วมกับ เหน็บยาหรือใส่ยาครีม/เจลสำหรับริดสีดวงทวาร
- ถ้าพริกเข้าตา ล้างตาด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิปกติ กระพริบตาเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำตา และหยอดน้ำตาเทียม
- ควรพบแพทย์เมื่อ
- มีอาการแพ้พริก เช่น ริมฝีปาก ใบหน้าบวม และ/หรือขึ้นผื่น
- อาการแสบตาไม่ดีขึ้นหลังพริกเข้าตา และได้ดูแลตนเองในเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น/อาการเลวลง
- อาการ ปวดท้อง ท้องเสีย ไม่ดีขึ้นหลังการดูแลตนเอง
- มีอาการ ไอเป็นเลือด หอบเหนื่อย และ/หรือ หายใจลำบาก
- อาเจียนและ/หรืออุจจาระเป็นเลือด และ/หรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำเหมือนยางมะตอย
บรรณานุกรม
- Satyanarayana, M. (2006). Crit Rev Food Sci Nutr. 46, 275-328. [PubMed]
- Yu-Heng Chen, et al. (2017). Chin Med J (Engl). 130(18), 2241–2250
- https://en.wikipedia.org/wiki/Capsaicin [2020,May16]
- https://www.uspharmacist.com/article/capsaicin-risks-and-benefits [2020,May16]
- https://www.healthline.com/health/capsaicin-cream [2020,May16]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Chile [2020,May16]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Chili_pepper [2020,May16]
- https://healthfully.com/494337-cayenne-pepper-cancer-tumors.html [2020,May16]
- https://wjso.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12957-019-1615-7 [2020,May16]