กลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

กลุ่มอาการดาวน์ หรือโรคดาวน์ หรือ Down’s syndrome หรือ Down syndrome เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสารพันธุกรรมที่เป็นมาแต่กำเนิด เด็กมักเกิดจากพ่อและแม่ที่ปกติ เด็กจะมีสารพันธุกรรมของโครโมโซมแท่งที่ 21 เกินมา อาการแสดงหลักคือ ปัญญาอ่อน มีโรคหัวใจพิการ และอายุสั้น ทั้งนี้ ชื่อของโรคตั้งตามชื่อของแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ John Lang don Down ซึ่งเป็นคนแรกที่ได้อธิบายอาการของโรคไว้เมื่อปี คศ. 1866 แต่แพทย์ที่ค้นพบสา เหตุว่าเกิดจากความผิดปกติของสารพันธุกรรม ชื่อ Jerome Lejeune ในปี คศ. 1959 ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีป้องกันไม่ให้เป็น Down’s syndrome ได้

 

กลุ่มอาการดาวน์นี้สามารถพบได้ทุกเชื้อชาติทั่วโลก โดยพบว่าประมาณ 800 ทารกแรกเกิดจะเป็นโรคนี้ 1 คน สำหรับในประเทศไทยพบทารกแรกเกิดที่เป็น Down’s syndrome ประ มาณ 1,000 คนต่อปี

 

อะไรเป็นสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่มอาการดาวน์?

ดาวน์ซินโดรม

แบ่งสาเหตุของกลุ่มอาการดาวน์ ออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

 

1. มีโครโมโซม คู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง เรียกภาวะนี้ว่า Trisomy 21 ปกติคนเราจะมีโครโมโซม 23 คู่ หรือ 46 แท่ง โดยมาจากแม่ 23 แท่ง (จากไข่ จากรังไข่) และมาจากพ่อ 23 แท่ง (จากสเปิร์ม) เมื่อไข่และสเปิร์มมาผสมกันจึงได้ 46 แท่ง แต่ผู้ป่วยที่เป็น Trisomy 21 นี้จะมีโครโมโซม 47 แท่ง สาเหตุคือ รังไข่ของแม่มีการแบ่งเซลล์ที่ผิดปกติ ทำให้ได้ไข่ที่มีโคร โมโซม 24 แท่ง โดยมีแท่งของโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมาอีก 1 แท่ง เมื่อไข่ผสมกับสเปิร์มที่มีโครโมโซม 23 แท่ง จึงได้เซลล์ตัวอ่อนที่มีโครโมโซม 47 แท่ง ประมาณ 75% ของเซลล์ตัวอ่อนเหล่านี้จะตายในครรภ์และแม่ก็จะแท้งออกไป ที่เหลือประมาณ 25% จะสามารถเติบโตพัฒนาต่อไปจนกลายเป็นทารก และแม่สามารถคลอดออกมาเจริญเติบโตต่อไปได้

 

การเกิด Trisomy 21 นี้ เป็นสาเหตุของ Down’s syndrome ประมาณ 94% ความ เสี่ยงของการที่แม่คนหนึ่งจะผลิตไข่ที่ผิดปกติและมีลูกที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์ขึ้นกับอายุ อายุแม่ที่มากขึ้น ก็จะยิ่งมีโอกาสมีลูกเป็นโรคนี้มากขึ้น โดยเฉลี่ย คือ

  • แม่ที่อายุ 25 ปี ถ้าตั้งครรภ์ 1,250 คน จะมีโอกาสมีลูกเป็นกลุ่มอาการดาวน์ 1 คน (0.08%)
  • แม่ที่อายุ 30 ปี ถ้าตั้งครรภ์ 1,000 คน จะมีโอกาสมีลูกเป็นกลุ่มอาการดาวน์ 1 คน (0.1%)
  • แม่ที่อายุ 35 ปี ถ้าตั้งครรภ์ 400 คน จะมีโอกาสมีลูกเป็นกลุ่มอาการดาวน์ 1 คน (0.25%)
  • แม่ที่อายุ 40 ปี ถ้าตั้งครรภ์ 100 คน จะมีโอกาสมีลูกเป็นกลุ่มอาการดาวน์ 1 คน (1%)
  • แม่ที่อายุ 45 ปี ถ้าตั้งครรภ์ 30 คน จะมีโอกาสมีลูกเป็นกลุ่มอาการดาวน์ 1 คน (3.3%)

 

2. การที่มีสารพันธุกรรมของโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา แต่จำนวนแท่งของโครโมโซมไม่เพิ่มขึ้นคือยังเป็น 46 แท่ง เรียกภาวะนี้ว่า ภาวะมีการสับเปลี่ยน หรือการเคลื่อนย้ายโครโม โซมผิดปกติ (Translocation Down’s syndrome) สาเหตุเกิดจากการที่พ่อหรือแม่ มีโครโม โซมผิดปกติ คือบางส่วนของแท่งโครโมโซมที่ 21 ย้ายไปติดอยู่กับโครโมโซมแท่งอื่น (ที่พบบ่อยคือไปติดอยู่กับแท่งของโครโมโซมที่ 14) และทำให้มีจำนวนโครโมโซมเหลือเพียง 45 แท่ง เรียกว่าเกิดการสับเปลี่ยน หรือเคลื่อนย้ายโครโมโซมแบบ Robertsonian translocation พ่อหรือแม่ที่มี Robertsonian translocation นี้ แม้จะมีจำนวนโครโมโซมเพียง 45 แท่ง แต่จะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เพราะสารพันธุกรรมยังมีอยู่ครบ เพียงแต่ย้ายตำแหน่งเท่านั้น ซึ่งเราจะเรียกพ่อหรือแม่เหล่านี้ว่าเป็นพาหะของกลุ่มอาการดาวน์นั่นเอง แต่เมื่อพ่อหรือแม่ผลิตสเปิร์ม หรือไข่ออกมาก็จะมีโครโมโซมที่ผิดปกติ และเมื่อมีลูก ลูกก็จะมีความเสี่ยงที่จะได้รับสารพันธุ กรรมของโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา และกลายเป็น Down’s syndrome หรืออาจมีโครโมโซมแบบที่เป็นพาหะเหมือนพ่อหรือแม่ หรืออาจมีโครโมโซมเป็นปกติก็ได้ ทั้งนี้โอกาสที่ลูกจะปกติ หรือผิดปกติขึ้นอยู่กับโครโมโซมของพ่อหรือแม่ว่า แท่งของโครโมโซมที่ 21 นั้นย้ายตำแหน่งไปอยู่กับโครโมโซมแท่งไหน การเกิดการเคลื่อนย้ายตำแหน่งโครโมโซมแบบ Robertsonian trans location นี้ เป็นสาเหตุของกลุ่มอาการดาวน์ประมาณ 3 - 4%

 

3. การที่มีเซลล์ในร่างกายบางเซลล์มีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง คือมี 47 แท่ง แต่ในขณะที่บางเซลล์มีโครโมโซม 46 แท่งเหมือนปกติ เรียกว่า Trisomy 21 mosaicism สาเหตุการเกิดเหมือนกับ Trisomy 21 แต่เมื่อเซลล์ตัวอ่อนที่เป็น Trisomy 21 นี้ แบ่งเซลล์เพื่อเติบโต กลับเกิดการแบ่งตัวที่ผิดปกติ คือเซลล์เริ่มต้นที่มีโครโมโซม 47 แท่ง เมื่อแบ่งตัวออกเป็น 2 เซลล์แล้ว เซลล์หนึ่งเกิดสูญเสียโครโมโซมแท่งที่ 21 ไป ทำให้เกิดเซลล์ลูกที่กลับ มามีโครโมโซมเป็นปกติ คือ 46 แท่ง แต่ขณะที่เซลล์ลูกอีกเซลล์ยังมีโครโมโซม 47 แท่งเหมือนเซลล์เริ่มต้น ตัวอ่อนจึงมีเซลล์อยู่ 2 แบบ และเซลล์ทั้ง 2 แบบนี้ก็กลายเป็นเซลล์เริ่มต้นแบ่งตัวเจริญเติบโตต่อไป ให้เซลล์ลูกๆที่มีโครโมโซมเหมือนมัน ในที่สุดเมื่อตัวอ่อนพัฒนากลายเป็นทารกที่สมบูรณ์ ร่างกายจึงมีเซลล์ทั้ง 2 แบบ ตัวอย่างคือ ในขณะที่เซลล์ผิวหนังมีโครโมโซม 46 แท่ง เซลล์ของตับกลับมี 47 แท่ง เป็นต้น ซึ่งจะไม่เหมือนกันในแต่ละคน การ เกิด Trisomy 21 mosaicism นี้ เป็นสาเหตุของกลุ่มอาการดาวน์ประมาณ 2 - 3%

 

กลุ่มอาการดาวน์มีอาการอย่างไร?

ผู้ป่วยเป็น Trisomy 21 หรือเป็น Translocation Down’s syndrome จะมีความผิดปกติที่เหมือนๆกัน แต่สำหรับผู้ป่วยที่เป็น Trisomy 21 mosaicism ความผิดปกติจะมากหรือน้อยขึ้น กับสัดส่วนของเซลล์ที่โครโมโซม 47 แท่งในร่างกาย ยิ่งมีสัดส่วนมาก ความผิดปกติก็จะเหมือนกับผู้ป่วย Trisomy 21 แต่ถ้ามีสัดส่วนน้อย อาจแทบไม่พบความผิดปกติของรูปร่างหน้า ตาและอวัยวะต่างๆเลยก็ได้

 

ความผิดปกติของผู้ป่วยกลุ่มอาการดาวน์ ได้แก่

1. รูปร่างหน้าตา: เด็กที่เกิดมาจะมีรูปร่างลักษณะหน้าตาภายนอกที่คล้ายกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใดก็ตาม คือมีดวงตาทั้ง 2 ข้างที่เฉียงขึ้นเล็กน้อย (Up-slanting palpebral fissures) ส่วนของหัวคิ้วด้านใกล้จมูกทั้ง 2 ข้างมีการหนาตัวขึ้น (Epicanthal folds) ม่านตามีจุดสีขาวเกิดขึ้น (เรียกว่า Brush field spots) ส่วนของสันจมูกแบน ปากเปิดออก และลิ้นมักจะจุกอยู่ที่ปาก หูมีขนาดเล็ก และรอยพับของหูมีมากกว่าปกติ (Overfolded helix) ระยะ ห่างระหว่างหัวนมมีระยะใกล้กว่าเด็กปกติทั่วไป มือสั้นและกว้าง เส้นลายมือมักมีเส้นตัดขวางเส้นเดียว แทนที่จะแบ่งเป็น 2 เส้น นิ้วก้อยเอียงเข้าหานิ้วนาง นิ้วมืออ่อนสามารถดัดไปด้าน หลังได้มาก มีง่ามนิ้วระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของเท้ากว้างกว่าปกติ ศีรษะเล็ก กะโหลกศีรษะด้านหลังแบน และเมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตขึ้น ก็ยังคงมีรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ต่อไป

 

2. พัฒนาการของร่างกาย: เมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ มักจะตัวเตี้ยกว่าคนในเชื้อชาติเดียวกัน และส่วนใหญ่จะอ้วน

 

3. พัฒนาการของสมอง: ในเด็กทารกจะตัวอ่อนนิ่ม เพราะพัฒนาการของกล้ามเนื้อไม่ดี แต่เมื่อเติบโตขึ้นก็จะเป็นปกติ ส่วนระดับของสติปัญญาจะอยู่ในขั้นปัญญาอ่อนเล็กน้อยถึงปานกลาง คือมีไอคิว (IQ) เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 50 (ไอคิวคนปกติคือตั้งแต่ 70 ขึ้นไป) ซึ่งกลุ่มอาการดาวน์นี้เองเป็นสาเหตุที่พบบ่อยสุดของโรคปัญญาอ่อน

 

4. พฤติกรรม: เป็นที่น่าแปลกว่า คนที่เป็นโรคนี้มักจะมีนิสัยคล้ายๆกัน คือเป็นคนสุภาพ อดทน ยอมคน ไม่แข็งกร้าว ร่าเริง ยิ้มง่าย อบอุ่น ใจดี ทำให้คนเหล่านี้สามารถอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ดี

 

5. ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ: จะเกิดความผิดปกติได้หลากหลาย บางอย่างพบเจอตั้งแต่วัยทารก บางอย่างอาจแสดงอาการเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้แก่

  • ระบบหัวใจ ประมาณ 40 - 50% ของเด็กโรคนี้ จะมีความพิการของหัวใจ รูปแบบที่พบบ่อยที่สุด คือผนังกั้นห้องหัวใจระหว่างห้องซ้ายและขวามีรูรั่ว
  • ระบบทางเดินอาหาร พบได้ประมาณ 12% ของผู้ป่วยโรคนี้ โดยจะมีหลอดอาหารตัน มีรูเชื่อมระหว่างหลอดอาหารและหลอดลม ผู้ป่วยจะมีอาการตั้งแต่แรกเกิด คือกินนมไม่ได้ มีอาการสำลัก ความผิดปกติอื่นๆที่อาจพบได้อีก เช่น ที่ลำไส้ตรงไม่มีเซลล์ประสาทอยู่ ทำให้เด็กอุจจาระไม่ได้
  • ระบบฮอร์โมน มักพบภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ (ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์ โมน) ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษา จะยิ่งทำให้ระดับสติปัญญาด้อยลง ผู้ป่วยเมื่อโตขึ้นจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนทั่วไป
  • เม็ดเลือด ผู้ป่วยโรคนี้จะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น และส่วนใหญ่มักเป็นในวัยเด็ก แต่เป็นที่โชคดีที่การเกิดมะเร็งชนิดอื่นๆกลับมีความเสี่ยงน้อยกว่าคนทั่วไป
  • ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค เด็กโรคนี้มักติดเชื้อทางเดินหายใจได้บ่อย เพราะระดับสารภูมิต้านทาน (Antibody) ในร่างกายมีระดับลดลง บางคนอาจขาดสารภูมิต้าน ทานบางชนิด ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
  • ตา ผู้ป่วย 50% จะมีปัญหาทางสายตา ส่วนใหญ่จะมีสายตาสั้น แต่อาจมีสายตาเอียงหรือสายตายาวก็ได้ ประมาณ 40% จะมีตาเข ประมาณ 3% อาจมีต้อกระจกตั้งแต่แรกเกิด และเป็นสาเหตุให้ตาบอดได้ และท่อน้ำตาอาจอุดตัน จนเป็นสาเหตุทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบได้
  • หู เด็กโรคนี้ มักเกิดหูชั้นกลางอักเสบบ่อยๆ ซึ่งเป็นสาเหตุให้การได้ยินลด ลง ซึ่งมีโอกาสเกิดได้ถึง 70 - 90%
  • กะโหลกศีรษะและกระดูก ผู้ป่วยประมาณ 10 - 30% มีข้อต่อระหว่างกระดูกสันหลังส่วนคอข้อที่ 1 กับ ข้อที่ 2 หลวมกว่าปกติ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีอาการ แต่มีผู้ป่วยประมาณ 10% ที่จะมีอาการคอเอียง การเดินผิดปกติ หรือถึงขั้นเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ นอก จากนี้อาจพบข้อสะโพกหลุดได้ถึง 6% และไซนัส (โพรงอากาศ) ต่างๆในกะโหลกศีรษะอาจมีขนาดเล็กหรือหายไป
  • ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ อาจมีไตผิดรูป อวัยวะเพศเล็ก อัณฑะไม่ลงถุงอยู่ในท้อง ในผู้หญิงที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์ประมาณ 15 - 30% จะมีการตกไข่ปกติ แต่ไม่เป็นหมัน สามารถตั้งครรภ์ได้ แต่สำหรับผู้ชายส่วนใหญ่จะเป็นหมัน
  • ผิวหนัง มักมีผิวแห้ง ผิวหนังหนา ผิวหนังแข็งเป็นแห่งๆ มีโรคด่างขาว รูขุมขนอักเสบ มีการติดเชื้อได้บ่อยๆ
  • ระบบประสาทและสมอง ผู้ป่วยประมาณ 5 - 10% จะมีโรคลมชักได้ และผู้ ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นโรคหลงลืมที่เรียกว่า อัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เมื่ออายุได้ประ มาณ 40 ปี ซึ่งในคนปกติมักเป็นโรคหลงลืมนี้ที่อายุประมาณ 70 ปี
  • โรคทางจิตประสาท ผู้ป่วยประมาณ 18 - 38% จะมีโรคจิตประสาทร่วมด้วย ในเด็กมักเป็นโรคสมาธิสั้น โรคออทิสติก แต่ถ้าในวัยผู้ใหญ่แล้ว มักจะเป็นโรคซึมเศร้า ย้ำคิดย้ำทำ

 

แพทย์วินิจฉัยกลุ่มอาการดาวน์ได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยกลุ่มอาการดาวน์ได้จาก

1. การวินิจฉัยก่อนคลอด: แม่ที่ตั้งครรภ์เมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นครรภ์แรกหรือครรภ์หลังๆ ควรได้รับการตรวจว่าเด็กในครรภ์มีโครโมโซมที่ผิดปกติหรือไม่

  • โดยอาจใช้วิธีการเจาะน้ำคร่ำ หรือเจาะเอาเลือดจากสายสะดือเด็ก หรือเจาะเอาส่วนของรกไปตรวจ ดูโครโมโซม ซึ่งถือเป็นวิธีมาตรฐาน แต่อาจมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะเกิดการแท้งได้บ้าง
  • ส่วนวิธีอื่นๆแม้จะปลอดภัยไม่มีผลกับทารกในครรภ์ แต่มีความแม่นยำในการวินิจฉัยไม่ดีนัก เช่น การตรวจเลือดหาค่าสารบางชนิด เช่น ฮอร์โมนบางชนิด การอัลตราซาวน์ภาพทารกในครรภ์ เพื่อวัดความหนาของเนื้อเยื่อที่คอ และวัดความยาวของกระดูกต่างๆ
  • และเมื่อตรวจพบว่าเด็กมีสารพันธุกรรมที่ผิดปกติแล้ว พ่อและแม่จะต้องตัดสินใจต่อไปว่า ต้องการทำแท้งหรือไม่ ทั้งนี้การทำแท้งในกรณีเด็กทารกมีความผิดปกติแบบนี้ ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย

2. การวินิจฉัยหลังคลอด: เมื่อทารกเกิดมาแล้ว แพทย์ตรวจร่างกายพบความผิดปกติของรูปร่างหน้าตาและอวัยวะภายในที่สงสัยว่าอาจจะเป็นกลุ่มอาการดาวน์ ก็จะต้องเจาะเลือดเพื่อส่งตรวจดูสารพันธุกรรมต่อไป

 

กลุ่มอาการดาวน์มีความรุนแรงและก่อผลข้างเคียงอย่างไร?

ประมาณ 85% ของทารกที่เป็น Down’s syndrome จะสามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึง 1 ปี และประมาณ 50% จะมีชีวิตอยู่ได้จนถึง 50 ปี สาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญในช่วงวัยทารก และวัยเด็กมาจากความพิการของหัวใจ ซึ่งขึ้นกับว่าหัวใจพิการรูปแบบไหน เป็นมากน้อยแค่ไหน เมื่อเด็กสามารถมีชีวิตรอดเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ สาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญ คือ การที่ร่าง กายแก่ก่อนวัย และทำให้มีอายุขัยเฉลี่ยสั้นกว่าคนปกติ

 

รักษาและป้องกันกลุ่มอาการดาวน์อย่างไร?

แนวทางการดูแลรักษาและการป้องกันกลุ่มอาการดาวน์ ได้แก่

1. การดูแลรักษาเด็กที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์: เนื่องจากเป็นโรคของพันธุ กรรม จึงไม่มียารักษาได้ นอกจากจะไม่ให้เด็กเกิดออกมา แต่เมื่อเด็กเกิดออกมาแล้ว การดูแลเด็กเหล่านี้จะต้องอาศัยความร่วมมือจากพ่อแม่และสังคมรอบข้างร่วมกัน เพื่อให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้มากที่สุด และไม่ก่อปัญหากับสังคมต่อไป

  • ในเด็กแรกเกิดจะต้องตรวจภาพอัลตราซาวน์หัวใจ (Echocardiogram) ถ้าพบมีหัวใจพิการ ก็อาจต้องผ่าตัดรักษา รวมทั้งตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะภายในอื่นๆ เช่น ถ้าพบหลอดอา หารตัน ก็ต้องผ่าตัดรักษา
  • การตรวจหาการทำงานของต่อมไทรอยด์ในเด็กแรกเกิด และตรวจต่อเนื่องต่อไปทุกปี เพื่อประเมินว่ามีภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องให้ยารักษา เพื่อไม่ให้ระดับสติปัญญาแย่ลงไปกว่าเดิม
  • การตรวจดูเม็ดเลือดเป็นประจำโดยเฉพาะในช่วงวัยทารกและวัยเด็ก เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
  • การตรวจเอ็กซเรย์ภาพกระดูกสันหลังส่วนคอ เพื่อประเมินและรักษาหากพบว่ามีข้อต่อของกระดูกที่หลวม
  • การตรวจการได้ยินตั้งแต่วัยทารกและตรวจเป็นประจำทุกปี หากการได้ยินลดลง ก็ต้องใช้เครื่องช่วยฟัง
  • การตรวจตาตั้งแต่วัยทารกและตรวจเป็นประจำทุกปี
  • การให้วัคซีนตามกำหนดเหมือนเด็กปกติทั่วไป
  • ดูแลเรื่องอาหารให้ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วนและเหมาะสม เนื่องจากผู้ป่วยมีแนว โน้มที่จะเป็นโรคอ้วนได้ง่าย จึงต้องระวังการบริโภคแป้ง น้ำตาล และไขมันมากเกินไป และต้องให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • การส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการตั้งแต่วัยทารก เมื่อถึงวัยต้องเข้าเรียน ต้องประเมินระดับสติ ปัญญาของเด็กว่า จะสามารถเรียนร่วมชั้นกับเด็กทั่วไปได้หรือไม่ โดยส่วนใหญ่แล้วสามารถเรียนผ่านในชั้นประถมได้ เมื่อถึงระดับมัธยมถ้าเด็กเรียนไม่ไหว ก็ต้องให้ออกจากโรงเรียนปกติ ไม่ควรฝืนบังคับให้เด็กเรียนต่อไป และมองหาอาชีพที่เหมาะสมให้ บางคนก็สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เช่น ดาราตลกชื่อดังของเมืองไทยก็เป็นโรคนี้ หรือในต่างประเทศเช่นกัน ก็มีนักแสดงหลายคนที่มีชื่อเสียงที่เป็นโรคนี้
  • เมื่อเด็กผู้หญิงถึงวัยเจริญพันธุ์ อาจจำเป็นต้องป้องกันการตั้งครรภ์โดยให้ยาคุมกำเนิด เพราะถ้าตั้งครรภ์ขึ้นมา โอกาสที่ลูกของผู้ป่วยจะเป็นกลุ่มอาการนี้มีถึง 50% โดยไม่ขึ้นกับอายุตอนที่ตั้งครรภ์ สำหรับในผู้ชายแม้ส่วนใหญ่จะเป็นหมัน แต่ก็อาจมีลูกได้ ควรเน้นย้ำถึงวิธีป้องกันการใช้ถุงยางอนามัย

 

2. การให้ข้อมูลคำปรึกษากับพ่อแม่ที่มีลูกเป็นกลุ่มอาการดาวน์ ซึ่ง เรียกว่า Genetic counseling:

  • สำหรับพ่อแม่ที่มีโครโมโซมปกติ เมื่อพ่อแม่มีลูกเป็นกลุ่มอาการดาวน์แล้ว 1 คน โอกาสที่ลูกคนต่อไปจะเป็นโรคนี้คือประมาณ 1% แม้ว่าแม่จะอายุน้อยก็ตาม แต่ถ้าแม่มีอายุมากแล้ว โอ กาสก็จะมากกว่านี้ สำหรับพี่น้องของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ เมื่อแต่งงานมีลูก ความเสี่ยงไม่ได้เพิ่ม ขึ้น คือมีความเสี่ยงเหมือนคนปกติทั่วไปดังได้กล่าวแล้ว
  • สำหรับพ่อแม่ที่เป็นพาหะ ในกรณีที่มีลูกเป็นกลุ่มอาการดาวน์ และได้ตรวจลูกพบว่ามีสารพันธุกรรมของโครโมโซมคู่ที่ 21 เพิ่มขึ้นจากผลของการมี Robertsonian translocation เกิด ขึ้น แสดงว่ามีพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็นพาหะของกลุ่มอาการดาวน์อยู่ ดังนั้นทั้งพ่อและแม่จะต้องมาตรวจหาโครโมโซม
  • ในกรณีที่แม่เป็นพาหะแบบที่มี Robertsonian translocation ระหว่างโครโมโซมแท่งที่ 21 กับแท่งอื่นๆ จะมีโอกาสที่มีลูกเป็นกลุ่มอาการดาวน์ คือ 10 - 15% แต่ถ้าเป็นพ่อที่เป็นพาหะ โอกาสที่จะมีลูกเป็นกลุ่มอาการดาวน์ คือ 2 - 3% เหตุใดจึงมีเปอร์เซ็นต์แตกต่างกันระหว่างพ่อและแม่นั้นยังไม่มีผู้อธิบายได้
  • นอกจากนี้ พี่น้องที่ปกติของผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์แบบนี้ จะต้องตรวจดูโครโมโซมทุกคนด้วย เนื่องจากอาจมีใครคนใดคนหนึ่งที่รับโครโมโซมที่ผิดปกติมาจากพ่อหรือแม่ที่เป็นพาหะ แล้วกลายเป็นพาหะด้วยเช่นกัน ซึ่งจะได้ทราบความเสี่ยงที่ตนเองจะมีลูกเป็นกลุ่มอาการดาวน์เช่นเดียวกับพ่อและแม่
  • แต่ในกรณีที่พ่อหรือแม่เป็นพาหะแบบที่มี Robertsonian translocation ระหว่างโครโมโซมแท่งที่ 21 กับ 21 ด้วยกัน โอกาสที่จะมีลูกเป็นกลุ่มอาการดาวน์คือ 100% คือมีลูกกี่คน ก็จะเป็นโรคนี้ทุกคน

 

ควรนำเด็กพบแพทย์เมื่อใด?

โดยทั่วไป เมื่อฝากครรภ์หรือคลอดในโรงพยาบาล แพทย์มักสงสัยหรือวินิจฉัยและให้การแนะนำรักษาดูแลเด็กตั้งแต่แรกเกิด แต่เมื่อเด็กคลอดปกติหรือไม่ได้คลอดในโรงพยาบาล เมื่อผู้ปกครองพบความผิดปกติในรูปร่างหน้าตาเด็ก และ/หรือในการพัฒนาและในการเจริญเติบ โต ควรนำเด็กพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเสมอ

 

บรรณานุกรม

  1. https://emedicine.medscape.com/article/943216-overview#showall [2019,Oct26]
  2. https://www.emedicinehealth.com/down_syndrome/article_em.htm [2019,Oct26]
  3. https://th.rajanukul.go.th/preview-3249.html [2019,Oct26]