ความดันตาสูง (Ocular hypertension)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
- 4 มีนาคม 2566
- Tweet
สารบัญ
- ความดันตาสูงคืออะไร? วินิจฉัยได้อย่างไร?
- ความดันตาสูงมีอาการอย่างไร?
- ความดันตาสูงพบบ่อยแค่ไหน? มีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- ควรให้การรักษาความดันตาสูงทันทีในผู้ป่วยกลุ่มใด?
- รักษาความดันตาสูงอย่างไร?
- สาเหตุที่เลือกลดความดันตาด้วยการใช้ยาหยอดตา
- สาเหตุที่เลือกลดความดันตาด้วยการใช้ยา
- มีวิธีเลือกใช้ยาหยอดตาอย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- โรคตา โรคทางตา (Eye disease)
- ต้อหิน (Glaucoma)
- ต้อหินเฉียบพลัน (Acute glaucoma)
- ต้อหินเรื้อรัง (Chronic glaucoma)
- กายวิภาคและสรีรวิทยาของตา (Anatomy and physiology of the eye)
- การตรวจตา การตรวจสุขภาพตา (Eye examination)
- ยาหยอดตา (Eye drops)
ภาวะความดันตาสูงคืออะไร? วินิจฉัยได้อย่างไร?
ความดันตาสูง หรือ ความดันลูกตาสูง (Ocular hypertension) คือ โรค/ภาวะที่มีค่าความดันตา/ลูกตาสูงกว่าคนปกติทั่วไปเฉกเช่น ค่าความดันโลหิต ซึ่งมีค่าปกติ/ค่ามาตรฐานอยู่ ถ้าใครมีค่าความดันตาสูงกว่าค่ามาตรฐาน ถือว่ามีค่าความดันตาสูง
จากการศึกษาในประชากรทั่วไป (ที่ไม่เป็นต้อหิน) พบว่า แต่ละคนทั่วไปมีค่าความดันตาแตกต่างกันบ้าง เมื่อนำค่าความดันตาของแต่ละคนที่ศึกษา มาประเมินทางสถิติ (Plot curve) พบว่า ค่าความดันตาปกติของคนทั่วไปจะมีรูปทรงระฆังคว่ำ โดยจะโย้มาทางความดันสูงเล็กน้อย จากค่านี้ นำมาหาค่าเฉลี่ย พบว่า เป็น 15.5 +/ - 2.07 มม.ปรอท และเมื่อคิดค่า 2 เท่าของ SD (Standard deviation, ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน,ค่าเฉลี่ยทางสถิติ)ซึ่งครอบคลุมได้ถึง 95 %ของประชากร/คนปกติทั่วไป ซึ่งถือว่าเป็นค่าความดันตาปกติ จะได้ ‘ ค่าความดันตาปกติคือ 20.5 มม.องประชากรปกติจะได้ 20.5 มมปรอท ค่าเฉลี่ยพบว่าเป็น 15.5 + - 2.07 มมปรอท หากคิดค่า ถ้าใครสูงกว่าค่ามาตรฐาน ถือว่ามีค่าความดันตปรอท’
*ดังนั้น ทางการแพทย์จึงถือเอาค่า “*ความดันตา 21 มม. ปรอท เป็นค่าความดันตาปกติ*” และหาก “*ความดันตาสูงกว่า 21 มม. ปรอท* ถือเป็น “ความดันตาสูง หรือ Ocular hypertension”
ทั้งนี้ การวัดความดันตา เป็นหัตการที่ไม่ยุ่งยาก สามารถตรวจวัดได้ที่ห้องตรวจตาผู้ป่วยนอก ด้วยเครื่องตรวจวัดที่เรียกว่า “เครื่อง Tonometer” ซึ่งจะใช้เวลาตรวจวัดประมาณ 5-10 นาที และในการตรวจวัดฯนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าแต่อย่างใด
การวินิจฉัยภาวะความดันตาสูง
เพื่อมิให้สับสนกับภาวะต้อหิน เพราะความดันตาสูงกับต้อหินไม่ใช่ภาวะ/โรคเดียวกัน จึงขอแยกแบ่งกันให้ชัดเจนว่า ทั่วไปการจะวินิจฉัยว่า “ความดันตาสูง” ควรประกอบด้วย
- มีค่าความดันตามากกว่า 21 มม.ปรอท ในการวัดอย่างน้อย ตั้งแต่ 2 ครั้ง หรือมากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป
- มีมุมตา (มุมที่เกิดจากม่านตาพบกับกระจกตา) เปิดกว้าง (Open angle)
- มีลานสายตาปกติ
- การตรวจขั้วประสาทตา พบรอยหวำ/บุ๋มที่ขั้วประสาทตาอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ บุ๋มน้อยกว่า 0.5 DD/Disc diameter (Cupping น้อยกว่า 0.5 DD) โดยเฉพาะในแนวดิ่ง (Vertical cup) และหากสามารถตรวจนับจำนวนเส้นประสาทตา(Nerve fibre layer) ด้วยเครื่องตรวจที่เรียกว่า OCT(Optical coherence tomography) พบว่า มีค่าปกติ
- ตรวจไม่พบสาเหตุของการเพิ่มความดันตาที่ชัดเจน เช่น ไม่มีการอักเสบภายในลูกตา (Anterior uveitis), ไม่มีประวัติอุบัติเหตุที่ลูกตา, ตลอดจนไม่มีหลอดเลือดเกิดใหม่ที่บริเวณม่านตา (Iris neovascularization), เป็นต้น
ส่วนเรื่องโรคต้อหินที่รวมถึง สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา ฯลฯ อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com ในบทความ 3 เรื่อง คือ ต้อหิน, ต้อหินเฉียบพลัน, และ ต้อหินเรื้อรัง
ความดันตาสูงมีอาการอย่างไร?
ความดันตาที่สูงจากปกติ มักจะสูงไม่มาก ถ้าสูงมาก มักจะเป็นลักษณะของโรคต้อหินมุมเปิดที่มีการสูญเสียเส้นประสาทตา (มีจำนวน Nerve fibre layer ลดลงชัดเจน) มีความผิดปกติของลานสายตาชัดเจน
ผู้ป่วยความดันตาสูงมักจะไม่มีอาการผิดปกติอะไร เป็นการตรวจพบโดยบังเอิญส่วนมากเป็นการตรวจพบจากการตรวจคัดกรอง (Screening) หาภาวะต้อหินในคนวัยกลางคนที่มารับการตรวจสุขภาพตาประจำปี
แต่มีบางรายเป็นส่วนน้อย อาจมีอาการปวดเมื่อยตาเป็นครั้งคราว และโดยทั่วไป สายตาผู้ป่วยมักจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ความดันตาสูงพบบ่อยแค่ไหน? มีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
มีผู้ศึกษาในประชากรที่อายุ 40 ปีขึ้นไป พบเป็นต้อหินมุมเปิดชนิดมีความดันตาสูงได้ประมาณ 1 %, เป็นต้อหินมุมเปิดที่มีความดันตาปกติประมาณ 1%, และประมาณ 4% - 10 % พบเป็นภาวะความดันตาสูง, หรือนัยหนึ่งผู้ที่มีความดันตาสูงเฉยๆ พบได้เป็น 8 เท่าของผู้ป่วยต้อหินมุมเปิด
การพยากรณ์โรคของภาวะความดันตาสูง:
มีการศึกษาพบว่าในจำนวนผู้มีความดันตาสูงเพียงอาการแสดงอย่างเดียว หากติดตามผู้ป่วยไปเรื่อยๆ จะพบกลายเป็นต้อหิน คือ มีขั้วประสาทตา และมีลานสายตาผิดปกติได้ในอัตรา 0.5 – 1 % ต่อปี
และมีผู้ศึกษา โดยแบ่งผู้ป่วยความดันตาสูงออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้ยาลดความดันตา, อีกกลุ่มไม่รักษา, ติดตามผู้ป่วยทั้ง 2กลุ่มนี้ไปเป็นเวลานาน 5 ปี พบว่า
- ผู้ป่วยกลุ่มแรกที่ได้รับการรักษา กลายเป็นต้อหินชัดเจน มีการสูญเสียลานสายตาแบบต้อหินประมาณ 4.4 % อีกประมาณ 95 % ตายังปกติดี
- ส่วนผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษา กลายเป็นต้อหินประมาณ 9.5 % หรือผู้ได้รับการรักษา กลายเป็นต้อหินน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง
ซึ่งจากการศึกษานี้ จึงนำมาซึ่งการถกเถียงกันว่า แล้วเราควรจะรักษาผู้ที่มีความดันตาสูงทุกรายหรือไม่, มีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องรักษา, เพราะมีผู้ป่วยความดันตาสูงหลายเปอร์เซ็นต์ที่ไม่กลายเป็นต้อหิน และการให้ยารักษาทันที เป็นการเพิ่มภาระของผู้ป่วย อีกทั้งเสี่ยงต่อผลแทรกซ้อน (ผลข้างเคียง) จากการใช้ยา, แต่ถ้าไม่รักษา รอให้มีลานสายตาผิดปกติก่อน ย่อมจะทำให้ผู้ป่วยมีการสูญเสียลานสายตาไปบางส่วน ซึ่งจะคุ้มกันหรือไม่
ควรให้การรักษาความดันตาสูงทันทีในผู้ป่วยกลุ่มใด?
จากการศึกษาจากหลายๆ สถาบันทางการแพทย์ด้านโรคตา (Multi eye center study) ถึงปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดต้อหินในผู้ป่วยที่มีความดันตาสูง ซึ่งเป็นรายงานและข้อแนะนำจาก “Asia Pacific glaucoma guidelines” พบว่าผู้ป่วยความดันตาสูงที่มีโอกาสเกิดต้อหินและสมควรให้การรักษาทันที ได้แก่
- มีความดันตาสูงมากกว่า 26 มม.ปรอท ขึ้นไป
- อายุมาก ตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
- มีกระจกตาบาง (บางกว่า 550 micron)
- หลุมที่ขั้วประสาทตาในแนวตั้งกว้างมาก (Large vertical cupping)
- ตรวจ ลานสายตา พบค่าของ Pattern standard deviation สูง
- มีเลือดออกซ้ำในขั้วประสาทตา (Recurrent optic disc haemorrage)
- มีปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเป็นต้อหิน เช่น มีประวัติต้อหินในครอบครัว ควรนำมาพิจารณาด้วย
- ปัจจัยอื่นๆ: เช่น เป็น โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจและหลอดเลือด, และโรคหลอดเลือด, ซึ่งปัจจัยในข้อนี้ แพทย์บางท่าน นำเข้ามาช่วยตัดสินใจในการให้การรักษาด้วย แม้มีบางรายงาน ไม่พบว่าโรคเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดต้อหินก็ตาม
รักษาความดันตาสูงอย่างไร?
ผู้ที่มีความดันตาสูง แพทย์อาจให้การดูแลรักษาแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละรายตามปัจจัยเสี่ยงการเกิดต้อหิน ทั้งนี้อยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้ดูแลรักษา ซึ่งแนวทางการดูแลรักษาโดยทั่วไป ได้แก่
- ติดตามดูอาการ ยังไม่ต้องให้ยาลดความดันตา โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงเกิดต้อหิน แต่ผู้ป่วยต้องมารับการตรวจตาเป็นระยะๆจากจักษุแพทย์ หากพบความผิดปกติ จักษุแพทย์จึงจะให้ยารักษาทันที หากเลือกวิธีนี้ ผู้ป่วยอาจต้องมีการสูญเสียลานสายตาบางส่วน ซึ่งอาจมีการสูญเสียไปมาก ในผู้ป่วยที่ไม่มาตรวจตาตามจักษุแพทย์นัดหมาย
- ลดความดันตาลง โดยให้ยาหยอดตาลดความดันตาเหมือนผู้ป่วยโรคต้อหินมุมเปิดทั่วไป โดยเฉพาะผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดต้อหิน หรือผู้ป่วยที่ต้องการรักษาแม้ยังไม่มีปัจจัยเสี่ยงข้างต้น ด้วยเหตุที่มีการศึกษาหลายการศึกษาที่ว่า ในผู้ป่วยกลุ่ม ที่มีลานสายตาเสียให้เห็นชัดจากการตรวจตานั้น แสดงว่าประสาทตามักจะเสียไปมากพอสมควรแล้ว ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ คงต้องมีค่าใช้จ่ายในการซื้อยา ค่าตรวจตา และต้องยอมรับผลข้างเคียงของยาหยอดตาที่ใช้รักษา ซึ่งมักเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย เช่น อาการแสบตา ตาแดง ตาแห้ง หลังหยอดยา, อีกทั้งมีผลทางด้านจิตใจ, หากเป็นผู้สูงอายุอาจต้องเป็นภาระญาติในการพามาตรวจ, หรือผู้ป่วยบางรายต้องมีผู้ดูแลคอยหยอดยาให้
สาเหตุที่เลือกลดความดันตาด้วยการใช้ยา
สาเหตุที่เลือกลดความดันตาด้วยการใช้ยาหยอดตา เช่น
- สะดวกสำหรับผู้ป่วย หาซื้อยาฯง่าย และโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงจากยาฯน้อยกว่า การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ หรือวิธีผ่าตัด
- ยาฯที่ใช้ มักจะลดความดันตาได้ดีในผู้ป่วยส่วนมาก
- เนื่องจากความดันตาที่แพทย์ต้องการลด สูงไม่มากนัก (เพราะความดันตามักจะไม่สูงมาก) ยาฯเกือบทุกตัวให้ผลลดความดันตาลงประมาณ 20 % ตรงกับความดันตาเป้าหมายในการรักษา (Target IOP/Target intraocular pressure) ที่แพทย์ต้องการในผู้ป่วยที่เป็นเพียงความดันตาสูง หรือ ต้อหินมุมเปิดที่ยังไม่รุนแรง
ยาหยอดตาที่ใช้ลดความดันตา
ยาหยอดตาลดความดันตา ทั่วไปแบ่งเป็น
- ยาลดความดันตาโดยการเพิ่มการไหลออกจากจอตาของสารน้ำในตา/Aqueous ที่เรียกว่า การเพิ่ม Outflow: ยาในกลุ่มนี้ เช่น ยา Prostaglandin, 2 Adrenergic agonist (Alphagan), Cholinergic (Pilocarpine)
- ยาลดการสร้าง Aqueous: เช่น ยา Beta – adrenergic antagonist (Timolol), ยา Carbonic anhydrase inhibitor (Azopt) เป็นต้น
มีวิธีเลือกใช้ยาหยอดตาอย่างไร?
วิธีเลือกใช้ยาหยอดตาเพื่อบำบัดรักษาภาวะความดันตาสูง โดยดูเป็นปัจจัยต่างๆ เช่น
- ราคายาฯ
- จำนวนครั้งที่ต้องหยอดยาต่อวัน เนื่องจากฤทธิ์ของยาฯอยู่นานต่างกัน ถ้าหยอดหลายครั้งอาจไม่สะดวก
- ผลการลดความดันตา ลดได้มากน้อย อย่างไร
- มีผลข้างเคียงของยาฯน้อย หยอดตาแล้วสบายตากว่า, และต้องคำนึงถึงผลข้างเคียงในด้านร่างกายทั่วไปด้วย เช่น ผู้ป่วยมี โรคหืด หรือโรคหัวใจรุนแรง จะห้ามใช้ยาในกลุ่ม Beta – adrenergic antagonist (Timolol) เพราะยาหยอดตาอาจกระตุ้นให้เกิดอาการหอบเหนื่อยรุนแรงขึ้น เป็นต้น