คลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol)
- โดย เภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร
- 25 กุมภาพันธ์ 2563
- Tweet
- บทนำ
- คลอแรมเฟนิคอลมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) อย่างไร?
- คลอแรมเฟนิคอลมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
- คลอแรมเฟนิคอลมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
- คลอแรมเฟนิคอลมีขนาดรับประทานอย่างไร?
- เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
- หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
- คลอแรมเฟนิคอลมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
- มีข้อควรระวังการใช้คลอแรมเฟนิคอลอย่างไร?
- คลอแรมเฟนิคอลมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
- ควรเก็บรักษาคลอแรมเฟนิคอลอย่างไร?
- คลอแรมเฟนิคอลมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
- บรรณานุกรม
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- แบคทีเรีย: โรคจากแบคทีเรีย (Bacterial infection)
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)
- ฝีสมอง ฝีในสมอง (Brain abscess)
- โรคไทฟอยด์ ไข้ไทฟอยด์ (Typhoid fever)
- โรคติดเชื้อ (Infectious disease)
บทนำ
คลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol) เป็นยาปฏิชีวนะที่ถูกนำมาใช้ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้มากมายหลายชนิด หลายประเทศรู้จักยาคลอแรมเฟนิคอลในชื่อ Chlornitromycin
ยาคลอแรมเฟนิคอลถูกนำมาใช้แพร่หลายในปี ค.ศ. 1949 (พ.ศ. 2492) หลายประเทศที่พัฒนาแล้วมักไม่ค่อยจะใช้ยาตัวนี้ ด้วยผลข้างเคียงที่รุนแรงอย่างเช่น กดการเจริญเติบโตของไขกระดูก ก่อให้เกิดโรคโลหิตจางชนิด Aplastic anemia เป็นต้น แต่สำหรับประเทศที่ยังไม่พัฒนา คลอแรมเฟนิคอลยังเป็นที่ยอมรับ ด้วยมีราคาถูกและออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด มีรายงานการฉีดคลอแรมเฟนิคอลเข้าทางหลอดเลือดดำของเด็กทารกแรกคลอดเพื่อรักษาโรคติดเชื้อ ตัวยาก่อให้เกิดอาการข้างเคียงที่เรียกว่า Gray baby syndrome (ผิวหนังออกสีเทา ร่วมกับอาการผิดปกติอื่นๆ เช่น อาเจียน ความดันโลหิตต่ำ ช็อก) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ร่างกายไม่สามารถทำลายยาคลอแรมเฟนิคอลได้ การใช้ยานี้อาจพบผลข้างเคียงที่มีความรุนแรงน้อยลงมาได้อีก เช่น มีอาการไข้ ผื่นคัน ปวดศีรษะ และรู้สึกสับสน
จากการศึกษาการกระจายตัวของยาคลอแรมเฟนิคอลพบว่า เมื่อยาเข้าสู่กระแสเลือดจะมีการรวมตัวกับพลาสมาโปรตีน 60% ก่อนที่จะถูกส่งไปเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีที่ตับ ร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 1.6 - 3.3 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำในการกำจัดยาคลอแรมเฟนิคอลออกจากร่างกายโดยผ่านไปกับปัสสาวะและไปกับอุจจาระ
ประเทศไทยเรายังพบเห็นการใช้ยาคลอแรมเฟนิคลในรูปแบบของ ยาหยอดตา ยาหยอดหู ยาป้ายตา ยาครีม และอยู่ในหมวดยาใช้ภายนอก บางสูตรตำรับจัดเป็นยาภายนอกชนิดยาอันตราย สำหรับยารับประทาน จะได้รับความนิยมน้อย ด้วยมีทางเลือกของยาปฏิชีวนะตัวอื่นที่ดีกว่า อย่างไรก็ตามการใช้ยาคลอแรมเฟนิคอลในรูปแบบใดๆ ควรต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น ประชาชนไม่สมควรไปซื้อยามาใช้ด้วยตนเอง
คลอแรมเฟนิคอลมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) อย่างไร?
ยาคลอแรมเฟนิคอลมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ เช่น
- รักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial meningitis)
- รักษาฝีในสมอง (Brain abscess)
- รักษาโรคเนื้อเยื่อเน่าตายจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ Clostridium perfringens
- รักษาโรคแอนแทรก (Anthrax: โรคจากติดเชื้อแบคทีเรียจากสัตว์กินหญ้า)
- รักษาโรคลำไส้อักเสบ อันมีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย (Gastroenteritis)
- รักษาไข้ไทฟอยด์ (Typhoid fever)
- รักษาการติดเชื้อที่ตาและ/หรือที่หู
คลอแรมเฟนิคอลมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
ยาคลอแรมเฟนิคอลมีกลไกการออกฤทธิ์ โดยตัวยาจะยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีนที่เป็นตัวตั้งต้นของสารพันธุกรรมที่เรียกว่า ไรโบโซม (Ribosome) นอกจากนี้ยังป้องกันการเชื่อมโยงโปรตีนที่มีการสังเคราะห์ไว้แล้ว ทำให้แบคทีเรียไม่สามารถเจริญเติบโตและตายลงในที่สุด
คลอแรมเฟนิคอลมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
ยาคลอแรมเฟนิคอลมีรูปแบบการจัดจำหน่าย เช่น
- รูปแบบยาแคปซูล ขนาดความแรง 250 และ 500 มิลลิกรัม/แคปซูล
- รูปแบบยาหยอดตา ขนาดความแรง 0.5%
- รูปแบบยาขี้ผึ้งป้ายตา ขนาดความแรง 1%
- รูปแบบยาหยอดหู ขนาดความแรง 1%
- รูปแบบยาขี้ผึ้งทาผิว ขนาดความแรง 1%
- รูปแบบยาครีม ขนาดความแรง 1% โดยผสมร่วมกับยาอื่น
- รูปแบบยาฉีด ขนาดความแรง 1 กรัม
คลอแรมเฟนิคอลมีขนาดรับประทานอย่างไร?
ยาคลอแรมเฟนิคอลมีขนาดรับประทาน เช่น
ก. สำหรับติดเชื้อแบคทีเรีย: เช่น
- ผู้ใหญ่และวัยรุ่น รับประทานครั้งละ 12.5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุกๆ 6 ชั่วโมง
- เด็กทารกอายุต่ำกว่า 2 สัปดาห์ รับประทานครั้งละ 6.25 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุกๆ 6 ชั่วโมง
- เด็กทารกอายุตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป รับประทานครั้งละ 12.5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุกๆ 6 ชั่วโมง หรือรับประทานครั้งละ 25 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุกๆ 12 ชั่วโมง
*หมายเหตุ: ควรรับประทานยาคลอแรมเฟนิคอลก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงหรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง
ข. สำหรับการติดเชื้อที่ตา: เช่น
- ผู้ใหญ่ หยอดตาครั้งละ 1 - 2 หยด (ขนาดความแรง 0.5%) ทุกๆ 2 - 6 ชั่วโมง เป็นเวลา 2 - 3 วัน หากอาการมีความรุนแรงมาก อาจเพิ่มความถี่ของการหยอดเป็นทุกๆ 15 - 20 นาที เมื่อมีอาการดีขึ้นให้ลดความถี่ของการหยอดตามคำแนะนำของแพทย์
- เด็ก การใช้ยานี้ในเด็ก ขึ้นอายุของเด็ก และดุลพินิจของแพทย์
ค. สำหรับหยอดหูที่ติดเชื้อ: เช่น
- ผู้ใหญ่ หยอดหูครั้งละ 2 - 3 หยด วันละ 2 - 3 ครั้ง
- เด็ก การใช้ยานี้ในเด็ก ขึ้นอายุของเด็ก และดุลพินิจของแพทย์
*****หมายเหตุ: ขนาดยา และระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ผู้รักษาได้ การใช้ยาที่เหมาะสม ควรต้องปรึกษา แพทย์ หรือเภสัชกร ก่อนเสมอ
เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดที่รวมถึงยาคลอแรมเฟนิคอล ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกร เช่น
- ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือแน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก
- มีโรคประจำตัวต่างๆ รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยา หรืออาหารเสริมอะไรอยู่ เพราะยาคลอแรมเฟนิคอล อาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆ และ/หรือกับอาหารเสริม ที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
- หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ /มีครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรก และเข้าสู่ทารก จนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
หากลืมรับประทานยาคลอแรมเฟนิคอล สามารถรับประทานเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
คลอแรมเฟนิคอลมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
ยาคลอแรมเฟนิคอลสามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (ผลข้างเคียง /อาการข้างเคียง) เช่น
- กดการทำงานของไขกระดูก ก่อให้เกิด ภาวะโลหิตจางชนิด Aplastic anemia
- สามารถพบอาการของ Gray baby syndrome เมื่อใช้เป็นยากินในเด็กเล็ก (แต่พบได้น้อย, คือ เด็กมีอาการเขียวคล้ำ และความดันโลหิตต่ำ)
- เกิดเลือดออกในกระเพาะหรือลำไส้ (ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร)
- เส้นประสาทในตาอักเสบส่งผลให้การมองเห็นไม่ชัดเจน
- รู้สึกสับสน
- ซึมเศร้า
- ปวดหัว
- สำหรับผู้ป่วยด้วยโรค G6PD (ภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี) อาจพบทำให้เม็ดเลือดแดงแตกได้
- กรณียาหยอดตา : อาจพบอาการข้างเคียงประเภท ผื่นคัน ผื่นบวม เป็นไข้
- สำหรับยาหยอดหู: อาจทำให้มีอาการหูเป็นพิษ (Ototoxicity: เช่น บวม ขึ้นผื่น แสบระคายเคือง )
มีข้อควรระวังการใช้คลอแรมเฟนิคอลอย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้ยาคลอแรมเฟนิคอล เช่น
- ห้ามใช้ยานี้กับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาคลอแรมเฟนิคอล
- ห้ามใช้ยานี้กับหญิงตั้งครรภ์ และหญิงที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร
- ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยด้วยโรคไขกระดูกทำงานผิดปกติ หรือผู้ที่มีความผิดปกติของเม็ดเลือด
- ระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยด้วยโรคไตและโรคตับ
- ระวังการใช้ยานี้ในเด็กที่คลอดก่อนกำหนดหรือทารกแรกคลอด โดยต้องคอยตรวจสอบไม่ให้ความเป็นพิษ (ผลข้างเคียง) ของยาเกิดกับทารกกลุ่มดังกล่าว
- ห้ามใช้ยาหมดอายุ
- ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
- ห้ามเก็บยาหมดอายุ
***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาคลอแรมเฟนิคอลด้วย) ยาแผนโบราณ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้ง ควรต้องปฏิบัติตาม ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
คลอแรมเฟนิคอลมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
ยาคลอแรมเฟนิคอลมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น
- การใช้คลอแรมเฟนิคอลร่วมกับธาตุเหล็กและวิตามินบี 12 ยาคลอแรมเฟนิคอลจะทำให้ประสิทธิผลของวิตามินบี 12 และธาตุเหล็กด้อยลงไป จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกัน
- การใช้คลอแรมเฟนิคอลร่วมกับยาเม็ดคุมกำเนิด พบว่าคลอแรมเฟนิคอลจะไปลดประสิทธิ ภาพของยาเม็ดคุมกำเนิด อาจส่งผลให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน
- การใช้คลอแรมเฟนิคอลร่วมกับยารักษาโรคลมชัก เช่น Phenobarbital หรือยาต้านเชื้อแบคทีเรีย (ยาปฏิชีวนะ) เช่น Rifampin พบว่ายาทั้ง 2 ตัวจะลดประสิทธิภาพของคลอแรมเฟนิคอลลงไป
ควรเก็บรักษาคลอแรมเฟนิคอลอย่างไร?
การเก็บยาคลอแรมเฟนิคอล:
ก. สำหรับยาหยอดตาและยาหยอดหู:
- ให้เก็บภายในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิ 2 - 8 องศาเซลเซียส (Celsius) ห้ามเก็บยาไว้ในช่องแช่แข็ง
ข.สำหรับยาชนิดรับประทาน: ให้เก็บภายใต้อุณหภูมิ 15 - 25 องศาเซลเซียส(Celsius)
ค. เก็บยาทุกรูปแบบ: เช่น
- เก็บยาให้พ้นแสง/แสงแดด และความชื้น
- เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
- และไม่ควรเก็บยาในห้องน้ำ
คลอแรมเฟนิคอลมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
ยาคลอแรมเฟนิคอล มียาชื่อการค้า และบริษัทผู้ผลิต เช่น
ชื่อการค้า | บริษัทผู้ผลิต |
---|---|
Antibi-Otic (แอนทีบี-โอติก) | Seng Thai |
Archifen Ear (อาร์ชิเฟน เอีย) | Archifar |
Archifen Eye (อาร์ชิเฟน อาย) | Archifar |
CD-Oph (ซีดี-ออฟ) | Seng Thai |
Chloracil (คลอราซิล) | Siam Bheasach |
Chloram-P (คลอแรม-พี) | P P Lab |
Chloroph (คลอรอพ) | Seng Thai |
Chlor-Pyrad (คลอ-ไพราด) | The United Drug (1996) |
Cogetine (โคเจทีน) | General Drugs House |
Dermasol (เดอร์มาซอล) | Olan-Kemed |
Doqua (โดคัว) | Sriprasit Pharma |
Fenicol (เฟนิคอล) | Pharmasant Lab |
Levoptin Simplex (เลวอพทิน ซิมเพล็กซ์) | Archifar |
Med-Chloramp (เมด-คลอแรมพี) | P P Lab |
Pharmacetin Otic (ฟาร์มาเซทิน โอติก) | Olan-Kemed |
Pisalin (พิซาลิน) | 2M (Med-Maker) |
Silmycetin Ear Drops (ซิลมายเซติน เอีย ดร็อปส) | Silom Medical |
Silmycetin Eye Drops (ซิลมายเซติน อาย ดร็อปส) | Silom Medical |
Synchlolim-SC (ซินคลอลิม-เอสซี) | Atlantic Lab |
Unison Ointment (ยูนิซัน ออยเมนท์) | Unison |
Uto Chloramphenicol (ยูโท คลอแรมเฟนิคอล) | Utopian |
Vagicin (วาจิซิน) | Charoen Bhaesaj Lab |
Vanafen Ophthalmic (เวนาเฟน ออฟทาลมิก) | Atlantic Lab |
Vanafen Otologic (เวนาเฟน โอโทโลจิก) | Atlantic Lab |
Vanafen S (เวนาเฟน เอส) | Atlantic Lab |
บรรณานุกรม
1. http://en.wikipedia.org/wiki/Chloramphenicol [2020,Feb22]
2. http://www.mims.com/USA/drug/info/chloramphenicol/ [2020,Feb22]
3. http://www.mims.com/Thailand/drug/info/Thiamcin/?type=brief [2020,Feb22]
4. http://www.mims.com/Thailand/drug/info/Uto%20Chloramphenicol/ [2014,SAug9]
5. http://www.drugs.com/cons/chloramphenicol-oral-intravenous-injection.html [2020,Feb22]
6. http://www.mydr.com.au/medicines/cmis/minims-chloramphenicol-0-5-eye-drops [2020,Feb22]
7. http://www.mayoclinic.org/drugs-supplements/chloramphenicol-otic-route/proper-use/drg-20062712 [2020,Feb22]