การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากเลือด การปลูกถ่ายไขกระดูกในโรคมะเร็ง (Peripheral blood stem cell and bone marrow transplantation in cancer)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากเลือด (Peripheral blood stem cell transplantation) หรือเรียกย่อว่า พีบีเอสซีที (PBSCT) และการปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone marrow transplantation) หรือเรียกย่อว่า บีเอ็มที (BMT) เป็นการนำสเต็มเซลล์ชนิดเป็นเซลล์ในระบบโลหิตวิทยา (ระบบโรคเลือด) มาใช้รักษาโรคซึ่งได้แก่ สเต็มเซลล์จากเม็ดเลือดในหลอดเลือดดำ (การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากเลือด), และสเต็มเซลล์จากไขกระดูก (การปลูกถ่ายไขกระดูก) ทั้งนี้การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์โดยใช้เซลล์ทางระบบโลหิตวิทยา (จากเลือดและจากไขกระดูก) รวมเรียกว่า “Hematopoietic stem cell transplantation” หรือเรียกย่อว่า เอชเอสซีที (HSCT)


ก. สเต็มเซลล์ หรือ เซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell) คือเซลล์ตัวอ่อนที่เป็นเซลล์จุดตั้งต้นของการเจริญเติบโตไปเป็นเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ เซลล์ต้นกำเนิดเหล่านี้จะมีอยู่ในเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆ เกือบทุกชนิดในร่างกาย และเป็นเซลล์ซึ่งเมื่อเกิดการเสียหายหรือการตายของเซลล์ตัวแก่ เซลล์ตัวอ่อนเหล่านี้จะแบ่งตัวเจริญเติบโตขึ้นมาซ่อมแซมชดเชย

สเต็มเซลล์แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ สเต็มเซลล์จากเซลล์ของตัวอ่อนเอ็มบริโอ (Embryo) เรียกว่า ‘Embryonic stem cell’, และสเต็มเซลล์จากเซลล์ร่างกายเรียกว่า ‘Adult หรือ Somatic stem cell’

  • สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนเอ็มบริโอ Embryonic stem cell (ได้จากการผสมของไข่กับอสุจิในห้องปฏิบัติการ) จะเปลี่ยนแปลงเจริญเติบโตเป็นเซลล์ได้หลากหลายชนิดขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมของเซลล์ในขณะนั้น เช่น เปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจ ปอด ผิวหนัง ไข่ หรือของอสุจิ
  • ในขณะที่สเต็มเซลล์จากร่างกาย Adult หรือ Somatic stem cell จะเจริญเติบโตซ่อมแซม และชดเชยเซลล์ที่ตายแล้วตามเนื้อเยื่อ/อวัยวะที่สเต็มเซลล์ร่างกายอยู่ แต่ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงในการศึกษาวิจัยพบว่าสามารถเปลี่ยนแปลงสเต็มเซลล์จากร่างกายให้เป็นเซลล์หลากหลายชนิดได้ซึ่งเป็นความหวังในการนำมารักษาโรคต่างๆที่รักษายาก เช่นบางโรคของ โรคสมอง และโรคกล้ามเนื้อ ทั้งนี้เพราะสเต็มเซลล์ร่างกายจะมีต้นกำเนิดที่หาได้ง่ายกว่าจากสเต็มเซลล์ตัวอ่อนเอ็มบริโอ เช่น จากไขกระดูก, เม็ดเลือด, เยื่อบุช่องปาก, หรือเนื้อเยื่อฟัน


ข. ไขกระดูก (Bone marrow)เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ในโพรงกระดูกทุกชิ้นของร่างกายประกอบด้วย สเต็มเซลล์ 2 กลุ่มใหญ่คือ กลุ่มสร้างเม็ดเลือด (Red marrow), และกลุ่มสร้างเซลล์ที่ไม่ใช่เม็ดเลือด(Yellow marrow), ซึ่งเซลล์ของไขกระดูกทั้ง2กลุ่มเป็นสเต็มเซลล์ร่างกายที่สามารถนำมาปลูกถ่ายให้เป็นไขกระดูกปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทางการแพทย์จึงนำเซลล์ไขกระดูกปกติ มาปลูกถ่ายในผู้ป่วยเพื่อการรักษาโรคของไขกระดูก เช่น ในภาวะไขกระดูกทำงานต่ำ เช่นโรค โลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ (Aplastic anemia), หรือในบางระยะของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด หรือบางระยะของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิด

1. สเต็มเซลล์ไขกระดูกกลุ่มสร้างเม็ดเลือด(Red marrow): ประกอบด้วย สเต็มเซลล์ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดของ เม็ดเลือดแดง, เม็ดเลือดขาว, และเกล็ดเลือด

  • เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่นำออกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย และนำคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการทำงานของเซลล์ในร่างกายกลับสู่ปอดเพื่อกำจัดออกจากร่างกาย และแลกเปลี่ยนกลับเป็นออกซิเจน หมุนเวียนเป็นวงจรปกติ ดังนั้นในภาวะขาดเม็ดเลือดแดงหรือมีเม็ดเลือดแดงต่ำ ร่างกายจะขาดออกซิเจนเกิดภาวะซีด
  • เม็ดเลือดขาว มีหน้าที่ให้ภูมิคุ้มกันต้านทานโรค ป้องกันการติดเชื้อต่างๆ เมื่อขาดเม็ดเลือดขาวหรือในภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ร่างกายจะติดเชื้อได้ง่ายและมักเป็นการติดเชื้อรุนแรง
  • เกล็ดเลือด มีหน้าที่ช่วยหยุดเลือดออก ดังนั้นเมื่อขาดเกล็ดเลือดหรือภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เลือดจะออกง่ายและเมื่อออกแล้วก็จะหยุดยาก

2. สเต็มเซลล์ไขกระดูกกลุ่มสร้างเซลล์ที่ไม่ใช่เม็ดเลือด (Yellow marrow): เช่น สเต็มเซลล์ไขมันของไขกระดูกและสเต็มเซลล์ของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันต่างๆ ซึ่งเซลล์ต้นกำเนิดเหล่านี้มีหน้าที่สร้างสารต่างๆที่สนับสนุนการสร้างเม็ดเลือด เช่น สารที่เรียกย่อว่า ซีเอสเอฟ (CSF, Colony stimulating factors)

อนึ่ง การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์โดยใช้เซลล์ทางระบบโลหิตวิทยา/ระบบโรคเลือดนี้ได้นำมารักษาโรคทางโลหิตวิทยาหลากหลายโรค เช่น ในโรคธาลัสซีเมีย, โรคของไขกระดูกบางชนิด และโรคมะเร็งใน ระบบโลหิตวิทยาในบางระยะโรคเกือบทุกชนิด แต่ที่ให้ผลการรักษาที่ดี มีอัตรารอดที่ห้าปีประมาณ 75 - 80% และใช้เป็นการรักษาที่เป็นมาตรฐานวิธีหนึ่งคือ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเอแอลแอล, มะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอน-ฮอดจ์กิน, และมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน

ในบทนี้จะกล่าวถึงการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ทางโลหิตวิทยาเฉพาะที่ใช้รักษาโรคมะเร็งโดยเฉพาะชนิดที่การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ฯได้รับการยอมรับเป็นการรักษาที่เป็นมาตรฐานวิธีการหนึ่ง ซึ่งได้แก่ ในโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิดและในโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิด

สเต็มเซลล์จากเลือดและจากไขกระดูกได้มาจากไหน?

การปลูกถ่ายสเต็มเซลล-ไขกระดูกในโรคมะเร็ง

สเต็มเซลล์จากเลือดและจากไขกระดูกที่จะนำมาปลูกถ่ายได้ มาจากสเต็มเซลล์จากเลือดหรือจากไขกระดูกของผู้ป่วยเอง, ของผู้อื่น, หรือของฝาแฝดที่เกิดมาจากไข่ใบเดียวกัน (Monozygotic twins หรือ Identical twins) โดยทางแพทย์จะเรียกผู้ป่วย/ผู้ได้รับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ว่า ‘โฮสต์ (Host)’ และเรียกผู้ให้หรือผู้บริจาคสเต็มเซลล์ว่า ‘โดเนอร์ (Doner)’


ก. เมื่อเป็นการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากเลือด, จากเลือดจากรก(Cord blood), หรือจากไขกระดูก, ที่ได้จากตนเอง (จากตัวผู้ป่วยเอง) เรียกว่า “Autologous transplantation” โดยแพทย์จะค่อยๆทยอยเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำและกรองเอาแต่สเต็มเซลล์เก็บสะสมไว้ เม็ดเลือดตัวแก่ก็นำกลับมาให้ร่างกายใช้ใหม่ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า ‘Leukocytopheresis’ หรือทยอยเจาะเก็บไขกระดูกผู้ป่วยโดยการเจาะดูดไขกระดูกจากบริเวณกระดูกเชิงกราน

หลังจากการได้สเต็มเซลล์ในแต่ละครั้ง แพทย์จะเก็บรักษาไว้ในตู้เก็บที่มีอุณหภูมิประมาณ -150 องศาเซลเซียส/Celsius (Cryopreservation) เพื่อรักษาเซลล์ให้อยู่ในสภาพใกล้เคียงปกติมากที่สุด และพร้อมที่จะนำมาปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยต่อไปตามตารางการรักษาที่แพทย์ได้กำหนดไว้

ข้อดี: ข้อดีของการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์แบบนี้ คือ ลดโอกาสที่ร่างกายจะต่อต้านหรือสลัดสเต็มเซลล์ (Graft rejection) ดังนั้นการปลูกถ่ายจึงมีโอกาสได้ผลสูง, และยังลดการใช้ยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายเพื่อป้องกันร่างกายสลัดสเต็มเซลล์ ดังนั้นโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากการรักษาจึงน้อยลง, โอกาสติดเชื้อก็ลดลงด้วย,

ข้อเสีย: แต่ข้อเสียคือมีการศึกษาพบว่า วิธีการนี้อาจเพิ่มโอกาสเกิดโรคมะเร็งย้อนกลับมาได้สูงกว่าการปลูกถ่ายโดยการใช้สเต็มเซลล์ของผู้อื่น และข้อจำกัดของวิธีนี้คือ บางครั้งไม่สามารถเก็บสเต็มเซลล์ของผู้ป่วยได้เพียงพอจากการที่ไขกระดูกของผู้ป่วยฝ่อหรือถูกทำลายไปมากแล้วจากยาเคมีบำบัด (การจะปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ได้ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาโรคมะเร็งด้วยยาเคมีบำบัด อาจร่วมกับการฉายรังสีรักษาเฉพาะจุดจนโรคอยู่ในภาวะสงบก่อน) จึงสร้างสเต็มเซลล์ออกมาได้น้อยทั้งในไขกระดูกและในเลือด

อนึ่ง ถ้าการปลูกถ่าย ‘Autologous transplant’ ทำติดต่อกัน 2 ครั้งโดยทั่วไปมักภายใน 6 เดือนจะเรียกว่า “Tandem transplant หรือ Double autologous transplant”


ข. เมื่อเป็นการปลูกถ่ายไขกระดูกจากผู้อื่นหรือจากเลือดจากรกของผู้อื่น(Cord blood) จะเรียกว่าเป็น “Allogeneic transplantation” ทั้งนี้วิธีในการได้สเต็มเซลล์มาและการเก็บสเต็มเซลล์จะเช่นเดียวกับในการปลูกถ่ายจากสเต็มเซลล์ของตนเอง เพียงแต่แหล่งที่มาของสเต็มเซลล์เป็นเซลล์จากผู้อื่นซึ่งมีประเภทหรือชนิดเลือดเข้าได้กับเลือดของผู้ป่วย เพื่อลดโอกาสร่างกายต้านสเต็มเซลล์ใหม่ โดยผู้บริจาคสเต็มเซลล์อาจเป็นบุคคลในครอบครัว เพื่อน หรือบุคคลอื่นๆ ซึ่งได้บริจาคเลือดหรือไขกระดูกไว้กับธนาคารไขกระดูกหรือธนาคารเลือด แต่ด้วยเทคนิคการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ในปัจจุบัน การใช้สเต็มเซลล์จากผู้ที่มีเลือดเข้ากันไม่ได้กับผู้ป่วยก็สามารถนำมาปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าในอดีต

ข้อดี: ข้อดีของการใช้สเต็มเซลล์จากผู้อื่นคือ พบว่าเมื่อใช้รักษาในโรคมะเร็ง อาจช่วยลดโอกาสย้อนกลับเป็นซ้ำของโรคลงจากได้ภูมิคุ้มกันต้านทานจากสเต็มเซลล์ของผู้บริจาค

ข้อเสีย: แต่ข้อเสียคือ โอกาสเกิดการต้านสเต็มเซลล์ใหม่จากร่างกายจะสูงขึ้น ผลสำเร็จในการปลูกถ่ายฯจึงมีโอกาสลดลง และมีผลข้างเคียงจากการต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งแพทย์จะเลือกวิธีการนี้กรณีไม่สามารถเก็บเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้ป่วยได้อย่างเพียงพอ


ค. เมื่อเป็นการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ที่ได้จากฝาแฝดจากไข่ใบเดียวกันเรียกว่า “Syngeneic transplantation” ซึ่งเป็นแหล่งสเต็มเซลล์ที่มีโอกาสนำมาใช้ได้น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับอีกทั้ง 2 วิธีที่ได้กล่าวแล้ว โดยเทคนิคในการเก็บสเต็มเซลล์จะเช่นเดียวกับในการใช้สเต็มเซลล์จากผู้อื่น


ง. สเต็มเซลล์ที่อยู่ในเลือดของสายสะดือและของรก ซึ่งปัจจุบันการปลูกถ่าย สเต็มเซลล์ทางโลหิตวิทยา นอกจากแหล่งสเต็มเซลล์จะมาจากเลือด และจากไขกระดูกแล้ว ยังสามารถใช้ได้ (Cord blood) โดยการเก็บหลังการคลอดทารกแล้วและนำเลือดนั้นมาเก็บด้วยวิธีการเดียวกับในการเก็บสเต็มเซลล์จากไขกระดูกและจากเลือด ซึ่งเลือดจากสายสะดือและจากรกจะมีปริมาณสเต็มเซลล์ที่สูงกว่าในเลือดทั่วไปรวมทั้งยังจัดเป็นสเต็มเซลล์ชนิดที่มีคุณภาพดี เพิ่มประสิทธิภาพในการปลูกถ่ายฯให้ได้รับผลดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ในการจะเลือกว่าผู้ป่วยคนใดควรเป็นการปลูกถ่ายจากสเต็มเซลล์ของตนเองหรือจากของผู้อื่นจะขึ้นกับชนิดของโรคมะเร็งและของเซลล์มะเร็ง, อายุและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย, ความรุนแรงของโรค, การจะได้สเต็มเซลล์ในปริมาณที่พอเพียงต่อการปลูกถ่ายหรือไม่, และดุลพินิจของแพทย์

การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากเลือดหรือจากไขกระดูกใช้รักษาโรคอะไรได้บ้าง?

โรคที่รักษาด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากเลือดหรือจากไขกระดูก:

ก. การปลูกถ่ายโดยใช้สเต็มเซลล์ของตนเองทางโลหิตวิทยาจะใช้รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน, มะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอน-ฮอดจ์กิน, และมะเร็งเม็ดเลือดขาวเอเอ็มแอล, ซึ่งการรักษาให้ผลดีและยอมรับเป็นการรักษาที่เป็นมาตรฐาน

ส่วนในโรคมะเร็งอื่นๆที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาคือ มะเร็งของประสาทซิมพาทีติกในเด็ก (นิวโรบลาสโตมา: Neuroblastoma), เนื้องอกสมองในเด็ก (มะเร็งสมองในเด็ก ชนิด Medulloblastoma), มะเร็งอัณฑะ, หรือ มะเร็งรังไข่ชนิด Germ cell tumor และมะเร็งโรคเลือดชนิดเกิดกับไขกระดูกที่เรียกว่า ‘มัลติเพิลมัยอีโลมา (Multiple myeloma) หรือเรียกย่อว่า เอ็มเอ็ม/MM’

ข. การปลูกถ่ายโดยใช้สเต็มเซลล์ทางโลหิตวิทยาจากผู้อื่นที่เป็นการรักษาที่เป็นมาตรฐานคือ ในโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเอแอลแอล, มะเร็งเลือดขาวเอเอ็มแอล, มะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอน-ฮอดจ์กิน, มะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน, ส่วนโรคมะเร็งอื่นๆที่ยังอยู่ในการศึกษาคือ มะเร็งเม็ดเลือดขาวซีเอ็มแอล, และมะเร็งโรคเลือดชนิด มัลติเพิลมัยอีโลมา

อนึ่ง ในโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเอแอลแอล และในโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองซึ่งการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ทางโลหิตวิทยาเป็นการรักษาที่เป็นมาตรฐานวิธีการหนึ่งโดยให้อัตรารอดที่ห้าปีประมาณ 70 - 75% นั้น แพทย์จะใช้เป็นวิธีรักษาในกรณีเป็นโรคชนิดดื้อยา, เป็นโรคในกลุ่มที่มีโอกาสเกิดการย้อนกลับเป็นซ้ำสูง, และเป็นโรคในระยะที่ย้อนกลับเป็นซ้ำหลังครบการรักษาครั้งแรกไปแล้ว

ส่วนการรักษาโรคอื่นๆที่ไม่ใช่โรคมะเร็งโดยใช้สเต็มเซลล์ทางโลหิตวิทยาที่ยังอยู่ในการศึกษามีหลายโรค เช่น โรคภูมิต้านตนเอง/ โรคออโตอิมมูน บางโรค (เช่น โรคลูปัส-โรคเอสแอลอี), โรคการมีโปรตีนบางชนิดมากผิดปกติจนไปจับเกาะตามเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆ (โรคแอมีลอยโดสิส: Amyloidosis), โรคโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ (Aplastic anemia), โรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง

มีขั้นตอนอย่างไรในการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากเลือดหรือจากไขกระดูก?

แพทย์ผู้ให้การรักษาผู้ป่วยจะเป็นผู้ประเมินว่า ผู้ป่วยคนใดจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ทางโลหิตวิทยาโดยประเมินจาก ชนิดของโรค, ระยะโรค, การตอบสนองต่อการรักษา, สุขภาพและโรคร่วมต่างๆของผู้ป่วยที่รวมถึงอายุ

การรักษาด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ทางโลหิตวิทยานี้มีค่าจ่ายสูงมากเกินกว่าผู้ป่วยทุกคนจะเข้าถึงการรักษาได้ ยกเว้นในโรคที่ยอมรับแล้วว่าวิธีนี้เป็นการรักษาที่เป็นมาตรฐานซึ่งผู้ป่วยจะมีกองทุนการกุศลต่างๆร่วมกับคณะกรรมการด้านการรักษาโรคซับซ้อนของกระทรวงสาธารณสุขร่วมสนับสนุนค่าใช้จ่ายในผู้ป่วยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่ในกรณีโรคอื่นๆผู้ป่วยจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรักษาเอง

ผู้ป่วยจะต้องเป็นผู้ที่มีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่แข็งแรง เพราะในการรักษาผู้ป่วยจะต้องอยู่แยกตัวในห้องปลอดเชื้อรวมทั้งในเรื่องของอาหารและน้ำดื่มอย่างน้อยประมาณ 2 - 3 สัปดาห์จนกว่าร่างกายจะยอมรับสเต็มเซลล์ใหม่ มิฉะนั้นแล้วผู้ป่วยจะมีผลข้างเคียงจากการติดเชื้อที่สูงมากจนเกิดอันตรายต่อชีวิตเฉียบพลันได้

ครอบครัวจะต้องสนับสนุนและให้การดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มที่ ในผู้ป่วยเด็กผู้ปกครองจำเป็นต้องอยู่กับเด็กตลอดเวลาเพราะเด็กไม่สามารถจะอยู่ลำพังคนเดียวในห้องแยกได้

เมื่อแพทย์แนะนำและผู้ป่วยและครอบครัวยอมรับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ฯ ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจสุขภาพ, ตรวจประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะทุกระบบ เช่น ไขกระดูก ปอด หัวใจ ไต ตับ ช่องปาก และฟัน, และได้รับการประเมินสุขภาพจิต, ซึ่งทุกอวัยวะต้องทำงานได้อย่างมีประ สิทธิภาพ ไม่มีโรคเรื้อรัง ถ้าเป็นโรคเฉียบพลันต้องเป็นชนิดรักษาได้หาย เช่น การติดเชื้อในปอด เป็นต้น, และเป็นผู้มีสุขภาพจิตปกติ, ผู้ป่วยจะมีตารางการปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และในช่วงก่อนการเก็บสเต็มเซลล์อาจจำเป็นต้องมีการฉีดยากระตุ้นการทำงานของไขกระดูก

การที่ไขกระดูกจะยอมรับเซลล์ใหม่และจะรักษาโรคมะเร็งได้หาย ต้องมีการทำลายเซลล์ไขกระดูกเดิมและเซลล์มะเร็งให้หมดไปก่อนด้วยการให้ยาเคมีบำบัดอย่างเข้มข้น อาจร่วมกับการฉายรังสีรักษาทั้งตัวหรือที่เรียกย่อว่า ‘ทีบีไอ (TBI, Total body irradiation หรือ Whole body irradiation)’ ซึ่งในสภาพที่ไม่มีไขกระดูกก่อนที่สเต็มเซลล์จะติดและเจริญเป็นไขกระดูกใหม่ (ประมาณ 2 - 3 สัปดาห์) ผู้ป่วยจะอ่อนเพลียจากภาวะซีดจากขาดเม็ดเลือดแดง, ติดเชื้อได้ง่ายและรุนแรงเพราะขาดเม็ดเลือดขาว, และเลือดออกชนิดหยุดยากจากอวัยวะต่างๆเพราะขาดเกล็ดเลือด, ซึ่งภาวะติดเชื้อและภาวะเลือดออกเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตในระยะเฉียบพลันหลังการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ฯ ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องอยู่ในโรงพยาบาลและในห้องแยกปลอดเชื้อ

การรักษาในช่วงนี้คือ การป้องกันการติดเชื้อและการป้องกันภาวะเลือดออกด้วยการให้เลือด, ให้เม็ดเลือดขาว, ให้เกล็ดเลือด, และการให้ยาปฏิชีวนะตามความเหมาะสม

ในผู้ป่วยบางคนหรือในบางระยะของโรค แพทย์อาจลดการให้ยาเคมีบำบัดเข้มข้นลงเพื่อลดผลข้างเคียงจากการรักษา เพื่อให้เหมาะสมกับสุขภาพผู้ป่วยแต่ละคน ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสโรคย้อนกลับเป็นซ้ำให้สูงขึ้นได้ แต่ก็สามารถลดโอกาสเสียชีวิตจากผลข้างเคียงโดยเฉพาะการติดเชื้อลงได้เรียกว่า เป็นการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ทางระบบโลหิตวิทยาแบบ “Mini Transplant” หรือ “Non-myeloablative transplant”

ภายหลังสเต็มเซลล์/ไขกระดูกติดดีแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้แต่ยังต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ยังไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติเพราะจะยังเสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อและภาวะเลือดออก ซึ่งจนกว่าแพทย์จะอนุญาตให้ใช้ชีวิตได้ตามปกติ

โดยทั่วไป การที่ผู้ป่วยจะฟื้นตัวได้เต็มที่อาจใช้เวลาเป็นเดือนหรือหลายเดือน ขึ้นกับสุขภาพดั่งเดิมและอายุของผู้ป่วย ผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำจนกว่า ไขกระดูกจะกลับมาทำงานตามปกติ (ผลตรวจเลือด ซีบีซี/CBC และการตรวจไขกระดูกกลับมาปกติ) ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลานานเป็นปี บางคนอาจจนตลอดชีวิตของผู้ป่วย

การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากเลือดหรือจากไขกระดูกมีผลข้างเคียงอย่างไร?

ผลข้างเคียงจากการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ทางโลหิตวิทยาจะแบ่งใหญ่ๆเป็นผลข้างเคียงเฉียบพลัน (Acute complication), ผลข้างเคียงกึ่งเฉียบพลัน (Subacute complication), และผลข้างเคียงเรื้อรัง/ผลข้างเคียงระยะยาว (Chronic หรือ Delayed complication)

ก. ผลข้างเคียงเฉียบพลัน (Acute complication): คือผลข้างเคียงที่เกิดในช่วงรักษาจนถึงประมาณ 3 เดือนหลังรักษา ทั่วไปได้แก่ คลื่นไส้-อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย อ่อนเพลีย ภาวะซีด ภาวะติดเชื้อต่างๆ เช่น ปอดบวมและภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด(ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ) ภาวะเลือดออกง่าย ผมร่วง และร่างกายปฏิเสธ สเต็มเซลล์/ ปฏิกิริยาร่างกายต่อต้านอวัยวะใหม่ (Graft rejection หรือ Transplant rejection)

ข. ผลข้างเคียงกึ่งเฉียบพลัน (Subacute complication): คือผลข้างเคียงที่เกิดในช่วง 3 เดือนถึง 6 เดือนหลังการรักษา เช่น ภาวะตับอักเสบจากหลอดเลือดดำ/ โพรงเลือดดำตับอุดตัน (Veno occlusive disease, VOD), ภาวะสเต็มเซลล์ใหม่ต้านร่างกาย (Graft versus host disease, GVHD หรือ Sinusoidal obstruction syndrome ย่อว่า SOS)

ค. ผลข้างเคียงเรื้อรัง/ผลข้างเคียงระยะยาว (Chronic หรือ Delayed complication): คือผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นนานเกินกว่า 6 เดือนขึ้นไปหลังการรักษาไปจนตลอดชีวิตของผู้ป่วย เช่น มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ (พบได้ประมาณ 50 - 100%), ต้อกระจก, เป็นหมัน, ปัสสาวะเป็นเลือดเรื้อรัง (Hemorrhagic cystitis), ภาวะสเต็มเซลล์ใหม่ต้านร่างกาย (Graft versus host disease ย่อว่า GVHD), และมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งชนิดอื่นๆได้อีกซึ่งโอกาสจะสูงกว่าคนทั่วไปกล่าวคือประมาณ 10 - 15% ของผู้ป่วยที่อยู่ได้นานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป, นอกจากนั้นคือ ผลข้างเคียงทางด้านจิตใจที่จะเกิดเป็นระยะๆตลอดชีวิตของผู้ป่วยคือ อาการกังวล, กลัว, และซึมเศร้า

ดูแลตนเองอย่างไรหลังปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากเลือดหรือจากไขกระดูก?

การดูแลตนเองภายหลังการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ฯ ที่สำคัญ คือ

  • ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำอย่างถูกต้องเคร่งครัด
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อความแข็งแรงทั้งสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิต เข้าใจโรคทั้งธรรมชาติของโรคมะเร็ง
  • ป้องกัน ดูแลรักษา ควบคุม ผลข้างเคียงต่างๆตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ ซึ่งต้องดูแลตนเองเคร่งครัดตลอดชีวิต
  • พบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ
  • ควรต้องรีบพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อ
    • มีอาการผิดปกติไปจากเดิม เช่น มีไข้ มีปัญหาด้านอารมณ์ /จิตใจ
    • มีความกังวลในอาการ

อนึ่ง: เรื่องอื่นๆ

  • ในด้านสติปัญญา: จะอยู่ในเกณฑ์ปกติตามธรรมชาติของคนๆนั้น แต่จากการต้องดูแลตนเองที่แตกต่างจากผู้อื่น ในการเรียน และในการงานผู้ป่วย จึงควรเลือกการเรียน/สาขาวิชาที่เรียน การงาน ให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตเพื่อช่วยลดความเครียดของชีวิตลง
  • ในด้านเพศสัมพันธ์: ผู้ป่วยยังมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ
  • การมีบุตร: ผู้ป่วยจะมีบุตรยากอาจถึงขั้นเป็นหมัน (ทั้งในผู้หญิงและในผู้ชาย) ในผู้หญิงมีโอกาสแท้งและเด็กคลอดก่อนกำหนดสูงกว่าคนทั่วไป แต่เมื่อเด็กรอดแล้วยังไม่พบว่าบุตรของผู้ป่วย (ทั้งผู้ป่วยหญิงและชาย) มีความผิดปกติทางด้านร่างกาย สติปัญญา หรือมีโอกาสเกิดโรคมะเร็ง แตกต่างจากเด็กทั่วไป

บรรณานุกรม

  1. DeVita, V., Hellman, S., and Rosenberg, S. (2005). Cancer: principles& practice of oncology (7th edition). New York: Lippincott Williams & Wilkins.
  2. https://en.wikipedia.org/wiki/Bone_marrow [2020,July25]
  3. https://emedicine.medscape.com/article/989518-overview#showall [2020,July25]
  4. https://www.cancer.gov/about-cancer/treatment/types/stem-cell-transplant/stem-cell-fact-sheet [2020,July25]
  5. https://www.lls.org/treatment/types-of-treatment/stem-cell-transplantation [2020,July25]
  6. https://en.wikipedia.org/wiki/Hematopoietic_stem_cell [2020,July25]
  7. https://stemcells.nih.gov/info/basics/1.htm [2020,July25]
  8. https://en.wikipedia.org/wiki/Stem_cell [2020,July25]
  9. https://www.cancer.org/treatment/treatments-and-side-effects/treatment-types/stem-cell-transplant/types-of-transplants.html [2020,July25]
  10. https://www.nhlbi.nih.gov/health-topics/blood-and-bone-marrow-transplant [2020,July25]