การดูแลตนเองเมื่อฉายรังสีรักษาบริเวณช่องท้อง และ/หรืออุ้งเชิงกราน
- โดย แพทย์หญิง ชลศณีย์ คล้ายทอง
- 26 กันยายน 2554
- Tweet
- ทั่วไป
- ผลข้างเคียงระหว่างฉายรังสีรักษาบริเวณช่องท้องและ/หรืออุ้งเชิงกราน มีอะไรบ้าง? ดูแลอย่างไร?
- ผลข้างเคียงหลังครบฉายรังสีรักษาบริเวณช่องท้องและ/หรืออุ้งเชิงกรานมีอะไรบ้าง? ดูแลอย่างไร
- ควรรีบพบรังสีรักษาแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
ทั่วไป
การฉายรังสี/ฉายแสง (รังสีรักษา) ในช่องท้อง เป็นการรักษาของโรคในระบบทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ของกระเพาะอาหาร หรือของลำไส้
ส่วนการฉายรังสีบริเวณอุ้งเชิงกราน (ช่องท้องน้อย) นั้นก็เป็นการรักษาในโรคของมะเร็งระบบนรีเวช (อวัยวะสืบพันธุ์หญิง) เช่น มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเยื่อบุมดลูก (มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก) นอกจากนั้นยังรวมไปถึงการฉายรังสีในโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (ลำไส้ตรง) มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งต่อมลูกหมาก
การฉายรังสีในบริเวณทั้งสองนี้ จะฉายรังสีครอบคลุม ก้อนมะเร็ง อวัยวะที่เป็นมะเร็ง และต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกรานตามความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละคน และตามแต่ลักษณะการลุกลามของแต่ละโรค
ผลข้างเคียงระหว่างฉายรังสีรักษาบริเวณช่องท้องและ/หรืออุ้งเชิงกรานมีอะไรบ้าง? ดูแลอย่างไร?
ผลข้างเคียงแทรกซ้อน ที่พบได้ในระหว่างฉายรังสีบริเวณช่องท้องและอุ้งเชิงกราน ได้แก่
- ผลข้างเคียงต่อผิวหนังบริเวณฉายรังสี (การดูแลผิวหนัง และผลข้างเคียงต่อผิวหนังบริเวณฉายรังสีรักษา) ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรเลือกใส่เสื้อผ้าที่ไม่รัดแน่น และควรทำความสะอาดหลังการขับถ่ายอย่างระมัดระวัง
- ขนบริเวณหัวหน่าวร่วงได้หากฉายรังสีบริเวณอุ้งเชิงกราน
- อาจคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหารได้ ซึ่งแพทย์รังสีรักษาจะ พิจารณาให้ยาช่วย เพื่อบรรเทาอาการ
- ท้องเสีย ถ่ายอุจจาระมีมูกเลือด หรือ ปวดท้องเหมือนจะถ่าย เนื่องจากฉายรังสีถูกลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ไปด้วย ดังนั้นในระหว่างที่ฉายรังสีบริเวณนี้ ผู้ป่วยจึงควรรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสจัด อาหารเสาะท้อง และควรงดการกินอาหารหมักดอง นมเปรี้ยว และโยเกิร์ต เพราะมีจุลินทรีย์มีชีวิต จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการท้องเสียได้มากขึ้น หากผู้ป่วยมีอาการเหล่านี้ แพทย์รังสีรักษาจะพิจารณาให้ยาเพื่อบรรเทาอาการ
- มีปัสสาวะบ่อย แสบขัด หรือมีเลือดปน เมื่อฉายรังสีบริเวณอุ้งเชิงกราน เนื่องจากการฉายรังสีถูกกระเพาะปัสสาวะไปด้วย หากผู้ป่วยมีอาการ แพทย์อาจพิจารณาตรวจปัสสาวะเพิ่มเติม และอาจให้ยาปฏิชีวนะหรือ ยาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกัน และ/หรือรักษาการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ
- มีการอักเสบเกิดแผลของอวัยวะเพศได้ (เมื่อฉายรังสีบริเวณอุ้งเชิงกราน) ซึ่งในผู้หญิงอาจมีตกขาวร่วมด้วย แพทย์รังสีรักษาจะพิจารณาให้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ดังนั้นในระหว่างฉายรังสี ผู้ป่วยควรงดมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดการอักเสบติดเชื้อของอวัยวะเพศ
- มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำจากเคมีบำบัด และ /หรือรังสีรักษา)ได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัดร่วมรักษากับรังสี ซึ่งหากมีเม็ดเลือดขาวต่ำแพทย์รังสีรักษาอาจพิจารณาให้ยาช่วยเพื่อบรรเทาอาการหรืออาจต้องให้ผู้ป่วยพักการฉายรังสีจนกระทั่งเม็ดเลือดขาว กลับเป็นปกติจึงจะทำการฉายรังสีต่อไป
- หากผู้ป่วยมีผลข้างเคียงต่างๆดังกล่าวมาก แพทย์รังสีรักษาอาจต้องทำการพักฉายรังสีไว้ก่อนเพื่อดูแล บรรเทาอาการจากผลข้างเคียงจนอาการดีขึ้นก่อน จึงจะฉายรังสีต่อไป
- ถ้าผู้ป่วยมีผลข้างเคียงต่างๆดังกล่าวแล้วมาก เช่น ท้องเสียมาก ปวดท้องมาก คลื่นไส้ อาเจียนมาก อุจจาระหรือปัสสาวะเป็นเลือด มีไข้สูง ให้ผู้ป่วยรีบพบรังสีรักษาแพทย์ก่อนนัด หรือถ้าเป็นในช่วงที่ไม่สามารถพบแพทย์รังสีรักษาได้ ให้รีบพบแพทย์โรงพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้นก่อน
ผลข้างเคียงหลังครบ ฉายรังสีรักษาบริเวณช่องท้องและ/หรืออุ้งเชิงกราน มีอะไรบ้าง? ดูแลอย่างไร?
ผลข้างเคียง ผลแทรกซ้อน หลังครบรังสีรักษา ซึ่งเรียกว่าผลข้างเคียงระยะยาวจากการฉายรังสีบริเวณช่องท้อง และ/หรือ อุ้งเชิงกราน ได้แก่
- ผลข้างเคียงต่อผิวหนังบริเวณฉายรังสี (การดูแลผิวหนัง และผลข้างเคียงต่อผิวหนังบริเวณฉายรังสีรักษา)
- ขนบริเวณหัวหน่าวอาจไม่ขึ้น หรือขึ้นแต่ผิดไปจากเดิม คือ ขนบาง มีสีอ่อนลง หรืออาจเป็นสีหงอกขาว
- ท้องเสีย และปวดท้องเรื้อรัง พบได้ประมาณ 5-10% แพทย์รังสีรักษาจะแนะนำเรื่องการกินอาหาร และให้ยาช่วยเพื่อบรรเทาอาการ
- ลำไส้อุดตัน (ปวดท้องมาก อาจร่วมกับอาเจียน และไม่ผายลม) ได้เป็นครั้งคราว พบประมาณ 5-10% อาจมีโอกาสเป็นได้มากขึ้นหากผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดในช่องท้องร่วมด้วย หากมีอาการมักจะทำการรักษาด้วยการประคับประคองและบรรเทาอาการก่อน เมื่ออาการไม่ดีขึ้น อาจต้องพิจารณาผ่าตัด
- ปัสสาวะ และ/หรืออุจจาระเป็นเลือด พบได้ประมาณ 5-10% แพทย์รังสีรักษามักให้ยาเพื่อบรรเทาอาการก่อน หากเลือดออกมากจนเกิดภาวะซีด อาจพิจารณาให้เลือด หรือให้ยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงเพื่อบรรเทาอาการ แต่หากรักษาแล้วไม่ดีขึ้น อาจพิจารณาส่งให้แพทย์เฉพาะทางจี้ด้วยแสงเลเซอร์หยุดเลือดในกระเพาะปัสสาวะ หรือลำไส้ใหญ่ต่อไป หากอาการยังไม่ดีขึ้นอีก ยังมีเลือดออกมากอาจต้องทำการผ่าตัดให้ปัสสาวะหรืออุจจาระออกมาทางหน้าท้อง (กระเพาะปัสสาวะเทียม หรือ ทวารเทียม)
- กระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ใหญ่ อาจทะลุได้ คือการที่มีปัสสาวะหรืออุจจาระออกมาทางช่องคลอดในผู้หญิง พบประมาณ 5-10% อาจมีโอกาสเป็นได้มากขึ้นหากผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดในช่องท้องร่วมด้วย ซึ่งหากมีอาการนี้ แพทย์รังสีรักษาจะส่งผู้ป่วยปรึกษาศัลยแพทย์ เพื่อพิจารณาผ่าตัดให้ปัสสาวะหรืออุจจาระออกมาทางหน้าท้อง
- ช่องคลอดตีบ สั้นและแคบลงกว่าเดิมในผู้ป่วยหญิง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดในอุ้งเชิงกรานและได้รับการฉายรังสี และใส่แร่ร่วมด้วย ซึ่งป้องกัน และแก้ไขได้โดยแนะนำการมีเพศสัมพันธ์ตามปกติ หรือ ขยายช่องคลอดด้วยตนเองตามที่แพทย์ และพยาบาลแนะนำ
- ผู้ป่วยสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติหลังจากที่แพทย์รังสีรักษาตรวจติดตามและพบว่าไม่มีการอักเสบของอวัยวะเพศแล้ว เพื่อช่วยขยายช่องคลอดด้วยวิธีตามธรรมชาติ
- เป็นหมันได้ หากผู้ป่วยฉายรังสีบริเวณอุ้งเชิงกราน เพราะจะมีผลต่อการทำงานของรังไข่ในผู้ป่วยหญิง และการทำงานของอัณฑะในผู้ป่วยชาย หากผู้ป่วยมีความประสงค์ ต้องการจะมีบุตร จีงควรปรึกษาแพทย์รังสีรักษาก่อนเริ่มฉายรังสี
- ประจำเดือนหมด หากผู้ป่วยหญิงในวัยเจริญพันธ์ได้รับการฉายรังสีบริเวณอุ้งเชิงกราน (รังไข่จะได้รับรังสีไปด้วย) อาจส่งผลให้ผู้ป่วย มีอาการของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนหรือวัยทองก่อนถึงวัยอันควร ซึ่งแพทย์รังสีรักษาจะพิจารณาให้ฮอร์โมนชดเชยให้ผู้ป่วยอย่างเหมาะสมต่อไป
- มีโอกาสเป็นมะเร็งชนิดที่สอง (มะเร็งชนิดใหม่อีกชนิดหนึ่ง) ได้ประมาณ 10-15% ในบริเวณที่ฉายรังสีรักษา หากผู้ป่วยอยู่ได้นาน (ส่วนใหญ่มักนานกว่า 10 ปีขึ้นไป)
- หากเป็นผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ ผู้ป่วยควรคุมกำเนิดทั้งในระหว่างฉายรังสีจนกระทั่งฉายรังสีครบ รวมไปถึงจนกว่าสุขภาพร่างกายของผู้ป่วยแข็งแรง สมบูรณ์และไม่มีโรคมะเร็งย้อนคืนกลับมาแล้ว ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรปรึกษารังสีรักษาแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์ เพราะหากต้องทำการรักษาในระหว่างตั้งครรภ์อาจทำให้ทารกพิการหรือเสียชีวิตได้
ควรรีบพบรังสีรักษาแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้องมาก คลื่นไส้อาเจียนมาก ปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นเลือด ปัสสาวะหรืออุจจาระออกทางช่องคลอด หรือ มีไข้สูง ให้ผู้ป่วยรีบไปพบรังสีรักษาแพทย์ก่อนนัด หรือถ้าเป็นในช่วงที่ไม่สามารถพบรังสีรักษาแพทย์ได้ ให้รีบพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านเพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้นก่อน