โรคโครห์น (Crohn’s disease)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

โรคโครห์น (Crohn’s disease ย่อว่า โรคซีดี/CD) หรือโรคทางเดินอาหารอักเสบโครห์น เป็นโรคทางเดินอาหารอักเสบเรื้อรังที่อยู่ในกลุ่ม “โรคลำไส้อักเสบเรื้อรังที่เรียกว่า โรค Inflammatory bowel disease (ย่อว่า โรคไอบีดี/IBD)” ซึ่งโรคนี้ได้ชื่อตาม นพ. Burrill B. Crohn แพทย์ระบบทาง เดินอาหารชาวสหรัฐอเมริกา ซึ่งท่านและคณะได้รายงานโรคนี้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475)

การอักเสบในระบบทางเดินอาหารที่เกิดจากโรคโครห์น เกิดได้ในทุกอวัยวะของช่องทางเดินอาหารตั้งแต่ช่องปากลงไปจนถึงทวารหนัก

  • แต่โดยทั่วไปมักเกิดที่ลำไส้เล็กส่วนปลายที่เรียกว่า Ileum ร่วมกับการอักเสบของลำไส้ใหญ่ พบได้ประมาณ 35% ของผู้ป่วย
  • รองลงไปคือมีการอักเสบที่ลำไส้ใหญ่เพียงอวัยวะเดียว พบได้ประมาณ 30%
  • การอักเสบที่ลำไส้เล็กอวัยวะเดียว พบได้ประมาณ 25 - 30%
  • การอักเสบที่ส่วนปลายของกระเพาะอาหารร่วมกับการอักเสบของลำไส้เล็กตอนต้นที่ต่อมาจากกระเพาะอาหาร พบได้ประมาณ 5%
  • ที่เหลือเป็นการอักเสบในส่วนอื่นๆเช่น ช่องปากและทวารหนัก

การอักเสบของทางเดินอาหารจากโรคโครห์น เป็นการอักเสบที่ระยะแรกไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อโรค แต่หลังจากที่มีแผลเกิดขึ้น แผลเหล่านี้จึงอาจติดเชื้อจากในลำไส้ตามมาในภายหลัง ทั้งนี้การอักเสบจะเริ่มที่เยื่อเมือกชั้นแรกสุดที่บุในทางเดินอาหาร ต่อไปเมื่อโรคเรื้อรังมากขึ้น การอักเสบ/แผลจะลุกลามลึกลงไปในเนื้อเยื่อทุกชั้นของผนังลำไส้ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดลำไส้ทะลุ (Perforation) เข้าช่องท้องและ/หรือเกิดเป็นทางทะลุ (Fistula) กับอวัยวะอื่นๆในช่องท้องที่อยู่ติดกับลำไส้ส่วนที่อักเสบเช่น ลาไส้ด้วยกันเอง กระเพาะปัสสาวะ และ/หรือมด ลูก (ในผู้หญิง)

ทั้งนี้การอักเสบและแผลจากโรคโครห์นนี้ จะเกิดกระจายเป็นช่วงๆของลำไส้ ทำให้บางส่วนยังมีลำไส้ปกติเหลืออยู่ ซึ่งการเกิดอักเสบและแผลเรื้อรังนี้จะเป็นสาเหตุให้เกิดอาการ

  • ปวดท้องและท้องเสียเรื้อรัง
  • และทำให้อุจจาระเหลวเป็นมูกมักมีเลือดปน (จึงเป็นสาเหตุให้เสียเลือดเรื้อรัง เกิดภาวะโลหิตจางขึ้นได้)
  • อุจจาระจะมีกลิ่นคาว แต่ถ้ามีการติดเชื้อซ้อนอุจจาระจะมีกลิ่นเหม็น

ซึ่งเมื่อมีการอักเสบเป็นแผล ลำไส้จะซ่อมแซมตนเองเกิดเป็นพังผืด จึงทำให้ช่องในลำไส้แคบลงส่งผลให้เกิดลำไส้อุดตันได้

นอกจากนั้นการซ่อมแซมลำไส้ที่อักเสบฯนี้ ยังทำให้เกิดเนื้อเยื่อลักษณะคล้ายก้อนเนื้อที่เรียกว่า Granuloma (แกรนูโลมา) ดังนั้น ภายในลำไส้ นอกจากมีการอักเสบ (ปวด/เจ็บ บวม แดง) มีพังผืดแล้ว ยังจะมีแกรนูโลมาเป็นตะปุ่มตะป่ำทั่วไป ซึ่งเป็นอีกปัจจัยให้เกิดลำไส้อุดตัน

จากพยาธิสภาพของลำไส้ดังกล่าวจะส่งผลให้ลำไส้ย่อยและดูดซึมอาหารไม่ได้ จึงเป็นอีกปัจจัยให้เกิดท้องเสียเรื้อรังที่ส่งผลให้ร่างกายเกิด ภาวะขาดสารอาหาร/ทุโภชนา (Malnutri tion) จึงส่งผลให้

  • น้ำหนักตัวลด
  • อ่อนเพลีย
  • ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ (ติดเชื้อได้ง่าย)

อนึ่ง โรคโครห์นเป็นโรคพบทั่วโลก เช่น

  • ในสหรัฐอเมริกา(รายงานในปีค.ศ. 2003-2004)พบได้สูง ประมาณ 201 รายต่อประชากรผู้ใหญ่ 1 แสนคน พบในเด็กประมาณ 43 รายต่อประชากรเด็ก1แสนคน
  • พบประมาณ 5.6 รายต่อประชากร 1 แสนคน ในยุโรป
  • พบได้น้อยในคนเอเชียที่รวมถึงในประเทศไทย ประมาณ 0.5 - 4.2 รายต่อประชากร 1 แสนคน
  • แอฟริกา ประมาณ 0.3 - 2.6 รายต่อประชากร 1 แสนคน
  • และพบได้น้อยที่สุดในชาวละตินอเมริกา ประมาณ 0 - 0.03 รายต่อประชากร 1 แสนคน

ทั้งนี้ พบโรคโครห์นได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็ก (มักเป็นในเด็กโต) ไปจนถึงผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่พบโรคเกิดก่อนอายุ 30 ปี ซึ่งช่วงอายุที่พบได้สูงคือ 15 - 30 ปี ทั้งนี้ประมาณ 20 - 30% ของผู้ป่วยจะพบได้ก่อนอายุ 20 ปี และพบโรคในผู้หญิงและในผู้ชายได้ใกล้เคียงกัน

โรคโครห์นมีสาเหตุจากอะไร?

โรคโครห์น

สาเหตุที่แน่นอนของโรคโครห์นยังไม่ทราบ แต่พบมีปัจจัยเสี่ยง ดังนี้ เช่น

  • เชื้อชาติ: โดยพบได้สูงในคนผิวขาว แต่พบได้น้อยในคนเอเชีย และลาตินอเมริกา ดังได้กล่าวในหัวข้อ บทนำ
  • อาจจากมีพันธุกรรมบางอย่างผิดปกติ เพราะพบโรคได้สูงขึ้นในคนที่ครอบครัวมีประวัติเป็นโรคนี้
  • จากร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคที่ผิดปกติและมาแสดงออกที่อวัยวะในระบบทางเดินอาหารเช่น ในโรคออโตอิมมูน หรือที่เกิดหลังจากการติดเชื้อที่ลำไส้เช่น จากเชื้อแบคที เรียหรือเชื้อไวรัส
  • จากร่างกายตอบสนองผิดปกติต่อเชื้อโรคต่างๆที่อาศัยเป็นอยู่ในลำไส้เช่น พวกแบคที เรียประจำถิ่น เป็นต้น
  • ส่วนปัจจัยเสี่ยงจากการใช้ยาที่ใช้เรื้อรัง ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเช่น จากยาเม็ดคุมกำ เนิด ยาปฏิชีวนะ หรือยาต้านการอักเสบเอ็นเสด (NSAID)

โรคโครห์นมีอาการอย่างไร?

อาการที่พบได้จากโรคโครห์นที่พบบ่อย คือ อาการจากลำไส้อักเสบที่มีอาการรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก เช่น

  • ปวดท้อง (มักมีลักษณะปวดบีบ/ปวดเกร็ง)
  • ร่วมกับท้องเสียเรื้อรัง โดยอุจจาระมีลักษณะดังนี้
    • อุจจาระมักเหลว
    • เป็นน้ำในบางครั้ง
    • มักมีมูกและมีเลือดปน
    • มีกลิ่นคาว (เหม็นผิดปกติถ้ามีการติดเชื้อในลำไส้ร่วมด้วย)
  • มักร่วมกับอาการทั่วไป เช่น
    • น้ำหนักตัวลด/ผอมลง
    • และภาวะทุโภชนา
  • ส่วนอาการอื่นๆที่พบร่วมได้เช่น
    • ซีด
    • อ่อนเพลีย
    • คลื่นไส้ เบื่ออาหาร
    • อาจมีไข้ต่ำๆ
    • ปวดข้อ
    • ผื่นผิวหนังอักเสบ
    • ตาพร่า
    • ซึมเศร้า วิตกกังวล
    • มีกระดูกพรุนได้ง่าย
    • และอาจเกิดแผลร้อนในได้บ่อยผิดปกติ

อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้โรคโครห์นรุนแรง?

ปัจจัยกระตุ้นให้อาการโรคโครห์นกำเริบและ/หรือรุนแรงในแต่ละคนแตกต่างกันได้ ดังนั้นแต่ละคนต้องสังเกตถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆกับอาการที่เกิดขึ้น เพื่อระมัดระวังหลีก เลี่ยงเช่น ประเภทและปริมาณอาหาร เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่มักมีผลกระตุ้นให้เกิดอาการและ/หรือให้เกิดอาการรุนแรง เช่น

  • อาหารประเภทนมและผลิตภัณฑ์จากนม
  • อาหารที่มีใยอาหารสูง
  • อาหารรสจัด
  • อาหารไขมันสูง
  • อาหารแปรรูป
  • อาหาร เครื่องดื่มกลุ่มมีกาเฟอีน
  • การสูบบบุหรี่
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • การบริโภคยาต้านการอักเสบกลุ่มเอ็นเสด
  • บางคนอาจขึ้นกับภาวะสภาพอากาศที่เปี่ยนแปลง
  • ภาวะทางอารมณ์จิตใจเช่น ความเครียด ความกังวล

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?

เมื่อมีอาการต่างๆดังกล่าวใน ‘หัวข้อ อาการฯ’ ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอ เพื่อ แพทย์ตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการ เพื่อการรักษาที่เหมาะสมแต่เนิ่นๆที่จะช่วยให้ควบคุมและรักษาโรคได้ผลดีกว่า

แพทย์วินิจฉัยโรคโครห์นได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยโรคโครห์นได้จาก

  • การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญเช่น ประวัติอาการ อายุ ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว
  • การตรวจร่างกาย
  • การตรวจอุจจาระ (ทั้งการตรวจวิธีทั่วไปและการตรวจวิธีเฉพาะเพื่อช่วยวินิจฉัยโรค)
  • การตรวจเลือดต่างๆ เช่น
    • ซีบีซี/CBC (ดูภาวะซีด)
    • ดูสารภูมิต้านทานต่างๆ (เพื่อการวินิจฉัยโรคออโตอิมูน)
    • ดูสารอาหารต่างๆ (เพื่อวินิจฉัยภาวะขาดสาร อาหาร/ทุโภชนา)
  • การตรวจภาพช่องท้องด้วยอัลตราซาวด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และ/หรือ เอมอาร์ไอ
  • การตรวจภาพกระเพาะอาหารและลำไส้ด้วยเอกซเรย์กลืนแป้ง
  • การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหารและลำไส้
  • การใช้กล้องตรวจด้วยวิธีกลืนกล้องที่เป็นแคปซูล (Capsule endoscopy)
  • การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่
  • และรวมไปถึงการตัดชิ้นเนื้อทั้งจากกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ เพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยาที่ช่วยให้การวินิจฉัยโรคแม่นยำขึ้น

รักษาโรคโครห์นอย่างไร?

แนวทางการรักษาโรคโครห์นคือ การใช้ยาเพื่อต้าน/ลดการอักเสบของลำไส้, การพักการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ (Bowel rest), การผ่าตัด, และการรักษาประคับประคองตามอาการ

ก. การรักษาด้วยยาเพื่อควบคุมการอักเสบของลำไส้: เช่น

  • การรักษาเพื่อลดการอักเสบของลำไส้: เช่น ยาในกลุ่ม Aminosalicylates และยา Corticosteroid
  • การลดการอักเสบของลำไส้ด้วยยากดระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค/ ยากดภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่นยา Methotrexate, Azathioprine, Cyclosporin
  • การลดการอักเสบของลำไส้กรณีมีการติดเชื้อ ได้แก่ ยาปฏิชีวนะต่างๆ เช่นยา Metronidazole, Ciprofloxacin

ข. การพักการทำงานของลำไส้:

ในกรณีที่โรคมีอาการมาก ผู้ป่วยท้องเสียมากจนส่งผลถึงการควบคุมสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย แพทย์จะพักการทำงานของลำไส้ด้วยการงดการกิน/ดื่มทางปากชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนกว่าอาการท้องเสียจะควบคุมได้ โดยให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำแทน

ค. การผ่าตัด:

จะทำในกรณีเพื่อรักษาผลข้างเคียงจากโรค เช่น

  • ลำไส้ทะลุเข้าช่องท้อง
  • ภาวะมีหนองในช่องท้อง
  • ลำไส้ทะลุเข้าอวัยวะอื่นๆ (เช่น เข้ากระเพาะปัสสาวะ)
  • ลำไส้อุดตัน

ง. การรักษาประคับประคองตามอาการ: เช่น

การรักษาตามอาการต่างๆ เช่น การใช้ยาต่างๆตามอาการ ซึ่งอาจเป็นยากิน หรือบางชนิดอาจอยู่ในรูปแบบยาฉีด

  • การให้กินธาตุเหล็กกรณีมีภาวะซีด
  • การกินยาแก้ปวด
  • ยาแก้ท้องเสีย
  • ยาลดการบีบตัวของลำไส้
  • ยาคลายเครียด
  • วิตามินเกลือแร่เสริมอาหาร

โรคโครห์นก่อผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

ผลข้างเคียงที่พบได้จากโรคโครห์น เช่น

  • ภาวะลำไส้ทะลุเข้าช่องท้อง
  • ภาวะลำไส้ทะลุเข้าอวัยวะต่างๆ
  • ภาวะมีหนองในช่องท้อง
  • ภาวะลำไส้อุดตัน
  • ภาวะซีด
  • ภาวะทุโภชนา
  • โรคนิ่วในไต
  • โรคนิ่วในถุงน้ำดี
  • และภาวะทางจิตใจอารมณ์ เช่น เครียด ซึมเศร้า วิตกกังวล

โรคโครห์นมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?

การพยากรณ์โรคของโรคโครห์นคือ เป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย โรคจะเป็นๆหายๆตลอดไป โดยเฉพาะจะกำเริบเมื่อได้รับปัจจัยเสี่ยง

นอกจากนี้คือ

  • จะมีโอกาสติดเชื้อต่างๆได้ง่ายจากภาวะทุโภชนาการ
  • รวมไปถึงโอกาสที่จะได้รับการผ่าตัด ที่จะผ่าตัดกรณีของการมีผลข้างเคียงของลำไส้ ดังได้กล่าวแล้วใน ‘หัวข้อ ผลข้างเคียงฯ’ ซึ่งในชีวิตของผู้ป่วยแต่ละคนมักได้รับการผ่าตัดแก้ไขผลข้างเคียงอย่างน้อยตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่วินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่เนิ่นๆและรักษาดูแลควบคุมตนเองได้ดี สามารถใช้ชีวิตได้ดีเช่นเดียวกับคนปกติทั่วไปที่รวมถึงอัตราเสียชีวิตด้วย

*อนึ่ง จากที่มีการอักเสบเรื้อรังของลำไส้ เซลล์อักเสบจึงมีโอกาสเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ มะเร็งได้ ดังนั้นจึงพบ ‘มะเร็งลำไส้เล็ก’ หรือ ‘มะเร็งลำไส้ใหญ่’ ในผู้ป่วยโรคโครห์นได้สูงกว่าคนทั่วไป ซึ่งแพทย์จะดูแลโดยการส่องกล้องตรวจลำไส้เป็นระยะๆอาจทุก 1 - 3 ปี โดยเริ่มหลังเป็นโรคนี้ได้นาน 5 - 10 ปี หรือตามดุลพินิจของแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยโรคมะเร็งฯได้แต่เนิ่นๆ

ดูแลตนเองอย่างไร?

การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคโครห์น ได้แก่

  • ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
  • กินยาต่างๆตามแพทย์สั่งให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา ไม่หยุดยาเอง
  • สังเกตทุกอย่างในการดำเนินชีวิตว่า อะไรมีผลกระตุ้นให้เกิดอาการหรือทำให้อาการรุน แรง เพื่อการหลีกเลี่ยงเช่น ประเภทอาหาร ปริมาณอาหาร อุณหภูมิ สิ่งแวดล้อม
  • หลีกเลี่ยงอาหารประเภทนมและผลิตภัณฑ์ของนม อาหารรสจัด เครื่องดื่มกาเฟอีน แอลกอฮอล์
  • กินอาหารไขมันต่ำและอาหารที่มีใยอาหารต่ำ
  • สังเกตอาการกับการกินผักผลไม้ชนิดต่างๆแล้วปรับตัวตามนั้น ซึ่งผักผลไม้ควรเป็นชนิดย่อยง่ายเช่น ผลไม้สุกงอม
  • กินอาหารอ่อน (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com ในเรื่อง ประเภทอาหารทางการ แพทย์) อาหารย่อยง่าย รสจืด กินครั้งละน้อยๆ แต่กินให้บ่อยขึ้น
  • ดื่มน้ำสะอาดให้ได้เพียงพอกับน้ำที่เสียไปจากท้องเสียเช่น อย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้ว เมื่อไม่มีโรคที่แพทย์ให้จำกัดน้ำดื่ม
  • ไม่สูบบุหรี่ เลิกสูบถ้าสูบบุหรี่
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ เพื่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิต
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายตามควรกับสุขภาพทุกวัน
  • รักษาสุขภาพจิต
  • พบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์ก่อนนัด?

เมื่อเป็นโรคโครห์นควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเสมอ เมื่อ

  • อาการต่างๆเลวลง เช่น อุจจาระเหม็นมากขึ้น หรือเป็นมูกเลือดมากขึ้น
  • มีอาการใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น ปวดท้องมากกว่าปกติต่อเนื่อง ไม่ผายลม
  • อาการต่างๆที่เคยควบคุมได้แต่กลับมากำเริบอีก
  • มีผลข้างเคียงมากหรือแพ้ยาจากยาที่แพทย์สั่ง เช่น ผื่นขึ้น หรือเวียนศีรษะมาก
  • เมื่อกังวลในอาการ

ป้องกันโรคโครห์นอย่างไร?

การป้องกันโรคโครห์นเป็นไปได้อยาก เพราะยังไม่ทราบสาเหตุ แต่สามารถควบคุมรัก ษาโรคได้ดีขึ้น ลดความรุนแรงของอาการ และลดโอกาสเกิดอาการกำเริบคือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆดังกล่าวในหัวข้อปัจจัยเสี่ยง

ซึ่งทั่วไป การดูแลตนเองเพื่อลดโอกาสโรคฯกำเริบที่สำคัญได้แก่

  • สังเกตทุกอย่างในการดำเนินชีวิตว่าอะไรมีผลกระตุ้นให้เกิดอาการหรือทำให้อาการรุนแรงเพื่อการหลีกเลี่ยงเช่น ประเภทอาหาร ปริมาณอาหาร อุณหภูมิ สิ่งแวดล้อม
  • หลีกเลี่ยงอาหารประเภทนมและผลิตภัณฑ์ของนม อาหารรสจัด เครื่องดื่มกาเฟอีน แอลกอฮอล์
  • กินอาหารไขมันต่ำ อาหารใยอาหารต่ำ
  • กินอาหารอ่อน อาหารย่อยง่าย รสจืด กินครั้งละน้อยๆ แต่กินให้บ่อยขึ้น
  • ไม่ซื้อยากินเองพร่ำเพรื่อ
  • ไม่สูบบุหรี่ เลิกสูบถ้าสูบบุหรี่
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ เพื่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิต
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายตามควรกับสุขภาพทุกวัน
  • รักษาสุขภาพจิต

บรรณานุกรม

  1. Wilkins, T. et al. (2011). Am Fam Physician. 84, 1365-1375
  2. https://www.niddk.nih.gov/health-information/digestive-diseases/crohns-disease [2019,Jan26]
  3. https://emedicine.medscape.com/article/172940-overview#showall [2019,Jan26]
  4. http://www.crohnscolitisfoundation.org/what-are-crohns-and-colitis/what-is-crohns-disease/ [2019,Jan26]
  5. https://en.wikipedia.org/wiki/Crohn%27s_disease [2019,Jan26]