ซิฟิลิส (Syphilis)
- โดย นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์
- 24 ตุลาคม 2563
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ
- โรคซิฟิลิสมีสาเหตุจากอะไร?
- โรคซิฟิลิสมีอาการอย่างไร?
- โรคซิฟิลิสติดต่ออย่างไร?
- โรคซิฟิลิสในสตรีตั้งครรภ์รุนแรงไหม?
- รักษาโรคซิฟิลิสอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร? ป้องกันโรคซิฟิลิสอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ซิฟิลิสระบบประสาท (Neurosyphilis)
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์(STD: Sexually transmitted disease)
- แบคทีเรีย(Bacterial infection)
- โรคผิวหนัง(Skin disorder)
- โรคสมอง(Brain disease)
- เอชไอวี(HIV: HIV infection)
- เอดส์(AIDS)
- หนองใน(Gonorrhea)
- ถุงยางอนามัยชาย(Male Condom)
บทนำ
โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคหนึ่งซึ่งสามารถรักษาให้หายขาด ได้ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ในระยะยาวอาจแสดงอาการในหลายระบบของร่างกายเช่น ทาง ระบบประสาท ผิวหนัง ตา กระดูก ระบบหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น นอกจากนี้ ถ้าสตรีเป็นโรคนี้ในขณะตั้ง ครรภ์มีโอกาสถ่ายทอดเชื้อไปสู่ทารกในครรภ์ได้ด้วยส่งผลให้ทารกมีภาวะซิฟิลิสแต่กำเนิดได้
โรคซิฟิลิสมีสาเหตุจากอะไร?
โรคซิฟิลิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ ทริปโปนีมา พัลลิดุม (Treponema pallidum) มีลักษณะคล้ายเกลียวสว่าน (Spirochete bacteria) เชื้อชอบอยู่ในที่มีความชื้นและตายได้ง่ายในที่มีความแห้ง ถูกทำลายได้ง่ายด้วยสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ เชื้อมีระยะฟักตัวประมาณ 2 - 4 สัปดาห์หรืออาจนานถึง 3 เดือน
โรคซิฟิลิสมีอาการอย่างไร?
อาการของโรคซิฟิลิสแบ่งออกเป็น 3 ระยะดังนี้
ระยะที่ 1: เมื่อได้รับเชื้อ บริเวณที่ได้รับเชื้อ เช่น ที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง กายวิภาคและสรีรวิทยาอวัยวะเพศภายนอกสตรี) ริมฝีปาก ลิ้น ต่อมทอนซิล หัวนม
- จะเริ่มมีตุ่มเล็กๆขนาดประมาณ 2 - 4 มิลลิเมตร
- จากนั้น ตุ่มจะเริ่มขยายออกมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และจะแตกออกกลายเป็นแผลที่กว้างขึ้น เป็นรูปไข่หรือวงรี ขอบมีลักษณะเรียบและแข็ง แผลมีลักษณะสะอาด บริเวณก้นแผลแข็งมีลักษณะคล้ายกระดุม ไม่มีอาการเจ็บ ปวด
- ต่อจากนั้น เชื้อจะเข้าไปอยู่ที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ ส่งผลให้มีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต
- เมื่อทิ้งไว้แผลที่เกิดขึ้น สามารถหายไปได้เองโดยไม่ต้องรักษา ระยะนี้เป็นระยะที่ยังไม่แสดงอาการ
ระยะที่ 2: จะพบหลังการเป็นโรคระยะแรก 2 - 3 สัปดาห์ เชื้อซิฟิลิสจะเข้าไปอยู่ตามต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย เช่น บริเวณหลังหู หลังขาหนีบ และขาพับ และเข้าไปสู่กระแสเลือด รวมทั้งกระจายไปตามอวัยวะต่างๆของร่างกาย จะทำให้
- เกิดผื่นขึ้นตามร่างกาย หรือเรียกว่า “ระยะออกดอก” ผื่นที่พบมีความแตกต่างจากผื่นลมพิษทั่วไป เพราะผู้ป่วยจะมีผื่นขึ้นที่บริเวณฝ่ามือด้วย และจะไม่มีอาการคัน ผื่นมีลักษณะเป็นตุ่มนูน และอาจพบมีเนื้อตายจากผื่นเป็นหย่อมๆ และพบเนื้อเน่าหลุดออกมา มีน้ำเหลือง และในน้ำเหลืองจะมีเชื้อซิฟิลิส
- ระยะนี้เป็นระยะที่ติดต่อได้โดยง่าย
- ผู้ป่วยบางรายอาจจะไม่มีผื่นขึ้นเลย แต่อาจจะมีอาการ มีไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามข้อ ผมร่วงทั่วศีรษะหรือร่วงเป็นหย่อมๆ
- เมื่อทำการตรวจเลือดในระยะนี้ จะพบว่ามีผลบวกของเลือดสูงมาก ถ้าผู้ป่วยยังไม่ได้รับการรักษา โรคจะอยู่ใน “ระยะสงบ” โดยเชื้อจะไปหลบซ่อนตามอวัยวะต่างๆในร่างกายและจะไม่แสดงอาการได้นานหลายปี เพียงแต่ตรวจเลือดให้ผลบวกเท่านั้น
ระยะที่ 3: เป็นระยะสุดท้ายของโรค หรือ ‘ระยะแฝง’ เมื่อไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ผู้ป่วยจะเข้าสู่ระยะที่ 3 ประมาณ 3 - 10 ปีหลังจากระยะที่ 1 โดยมีอาการตามระบบต่างๆของร่างกายเช่น ตาบอด เนื้อจมูกถูกทำลายจนเป็นรอยโหว่ หูหนวก ใบหน้าผิดรูป กระดูกผุบาง อาจมีสติปัญญาเสื่อม บางรายอาจมีการแสดงออกที่ผิดปกติคล้ายคนเสียสติ ถ้าเชื้อไปอยู่ที่หัวใจก็จะทำให้หัวใจมีความผิดปกติ ลิ้นหัวใจรั่ว หลอดเลือดแดงใหญ่ที่ออกจากหัวใจมีลักษณะโป่งพองทำให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายได้ ถ้าเชื้อเข้าไปอยู่ที่ไขสันหลังก็จะทำให้เป็นอัมพาตและมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้
โรคซิฟิลิสติดต่ออย่างไร?
โรคซิฟิลิส สามารถติดต่อได้จาก
- การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคนี้ในระยะที่ 1 และ
- ถ้าสัมผัสกับน้ำเหลืองที่ผิวหนังของผู้ที่เป็นโรคนี้ในระยะที่ 2 (ระยะออกดอก) ก็มีโอกาสที่จะรับเชื้อได้เช่นกัน
- นอกจากนี้ ในทารกที่ได้รับเชื้อผ่านมาจากมารดาโดยตรงโดยผ่านจากทางรก ก็จะมีอาการแสดงแต่กำเนิด ดังจะกล่าวในหัวข้อต่อไป
- ส่วนโรคในระยะที่ 3 มักเป็นระยะที่ไม่มีการติดต่อ
โรคซิฟิลิสในสตรีตั้งครรภ์รุนแรงไหม?
เชื้อซิฟิลิส สามารถผ่านรกไปสู่ทารกในครรภ์ ทำให้เกิดอันตรายต่อทารกแรกคลอด โดยทารกจะมีภาวะซิฟิลิสแต่กำเนิด ซึ่งพบความพิการผิดปกติ เช่น
- ภาวะปากแหว่งเพดานโหว่
- ตาบอด
- สมองเล็ก
- ตัวบวมน้ำ
- กระดูก ฟัน และจมูกยุบ
- นอกจากนี้ทารกจะมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในช่วงแรกคลอดจากภาวะหัวใจล้มเหลวได้
รักษาโรคซิฟิลิสอย่างไร?
เมื่อเกิดแผลบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์โดยเฉพาะหลังการมีเพศสัมพันธ์ ควรพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเสมอ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของแผลที่เกิดขึ้น และเมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคซิฟิลิส แม้ว่าจะไม่มีอาการหรืออยู่ในระยะโรคสงบ ก็ควรไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา เพราะเชื้อซิฟิลิสยังอยู่ในกระแสเลือดและพร้อมที่จะลุกลามจนเกิดอาการที่รุนแรงได้ต่อไป
ทั้งนี้แพทย์จะรักษาซิฟิลิสด้วย ยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนิซิลลิน ในขนาดยาสูง และจะต้องไปฉีดยาตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง การขาดยาจะเป็นสาเหตุสำคัญให้โรคไม่หาย และเกิดเป็นโรคในระยะที่ 3 ได้
ดูแลตนเองอย่างไร? ป้องกันโรคซิฟิลิสอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การดูแลตนเอง การป้องกัน และการพบแพทย์ในโรคซิฟิลิส คือ
1. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับหญิง/ชายที่เป็นโรคนี้
2. ไม่สำส่อนทางเพศ
3. หลีกเลี่ยงการเที่ยวหญิง/ชายบริการ
4. ป้องกันการติดเชื้อโดยสวมถุงยางอนามัยชายทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
5. ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศและร่างกายอยู่เสมอ
6. หลีกเลี่ยงการดื่มสุราเพราะจะทำให้ขาดสติ
7. รัฐควรมีการควบคุมโรคในกลุ่มหญิง/ชายที่ขายบริการทางเพศ
8. รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เสมอเพื่อร่างกายแข็งแรงและเพื่อลดโอกาสติดเชื้อ
9. พบแพทย์เสมอเมื่อมีอาการดังกล่าว อย่ารักษาตัวเอง
10. พบแพทย์เสมอเมื่อกังวลในอาการหรือสงสัยตนเองอาจติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์) ซึ่งรวมถึงซิฟิลิส
บรรณานุกรม
- Sparling PF. Natural history of syphilis. In: Holmes KK. Sparling Pf, Mardh PA, Lemon SM, Stamm WE, Pilot P. Wassercheit JN, Eds. Sexually transmitted diseases. 3rd. McGraw-Hill, 1999, p 475.
- Centers for Disease Control and Prevention, Workowski KA, Berman SM. Sexually transmitted diseases treatment guidelines, 2006. MMWR Recomm Rep 2006; 55:1
- Kaplan JE, Benson C, Holmes KH, et al. Guidelines for prevention and treatment of opportunistic infections in HIV-infected adults and adolescents: recommendations from CDC, the National Institutes of Health, and the HIV Medicine Association of the Infectious Diseases Society of America. MMWR Recomm Rep 2009; 58:1.
- Mitka M. US effort to eliminate syphilis moving forward. JAMA 2000; 283:1555.