การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ (Heart transplantation)
- โดย รองศาสตราจารย์นายแพทย์ สมภพ พระธานี
- 26 พฤศจิกายน 2565
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คืออะไร?
- เมื่อไหร่จะผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ?
- ข้อห้ามในการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจคืออะไร?
- การเตรียมการก่อนผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเป็นอย่างไร?
- หัวใจบริจาคที่ดีควรเป็นอย่างไร?
- การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจทำอย่างไร?
- ผลสำเร็จการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเป็นอย่างไร?
- แพทย์ดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจอย่างไร?
- ภาวะแทรกซ้อนจากผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมีอะไรบ้าง?
- อาการจากร่างกายปฏิเสธหัวใจใหม่มีอะไรบ้าง? สามารถป้องกันได้หรือไม่? อย่างไร?
- ควรดูแลตัวเองอย่างไรหลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ?
- มีข้อห้ามอะไรบ้างหลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ?
- ควรกินหรือไม่ควรกินอะไรบ้างหลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ?
- หลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่?
- หลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมีบุตรได้หรือไม่?
- หลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจจะกลับมาเป็นโรคหัวใจอีกหรือไม่?
- เมื่อไหร่ควรมาพบแพทย์ก่อนวันนัด?
- สรุป
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- หัวใจ: กายวิภาคหัวใจ (Heart anatomy) / สรีรวิทยาของหัวใจ (Heart physiology)
- ปฏิกิริยาร่างกายต่อต้านอวัยวะใหม่ (Transplant rejection)
- ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะหัวใจวาย (Heart failure)
- โรคหัวใจ: โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease)
- โรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด (Heart disease หรือ Cardiovascular disease)
- เจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาการปวดเค้นหัวใจ (Angina Pectoris)
- ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressants or Immunosuppressive agents)
- สมองตาย (Brain death)
บทนำ: คืออะไร?
การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ หรือการปลูกถ่ายหัวใจ (Heart transplantation) คือ การผ่าตัดเอาหัวใจเก่าออก ใส่หัวใจใหม่ หรือการใส่หัวใจใหม่เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งหัวใจ โดยไม่ต้องตัดหัวใจเก่าออก
การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจครั้งแรกในโลกทำเมื่อปี คศ. 1967 (พ.ศ.2510) โดย นายแพทย์คริสเตียน เบอร์นาด (Christiaan Barnard) ณ เมืองเคปทาวน์ ประเทศ แอฟริกาใต้ ในปี คศ.2007 (พ.ศ.2550) มีการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจในโลกทั้งหมด 3,500 ราย ในขณะที่มีหัวใจวายระ ยะสุดท้ายรอการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจจำนวน 800,000 ราย จึงมีความพยายาม พัฒนาการใช้หัว ใจเทียม หรือหัวใจจากสัตว์มาใช้แทน แต่ก็ยังช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ในระยะสั้น
เมื่อไหร่จะผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ?
แพทย์จะพิจารณาการรักษาผู้ป่วยด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ: เช่น
- ป่วยด้วยภาวะหัวใจวาย (ภาวะหัวใจล้มเหลว) ระยะสุดท้าย กล่าวคือความ สามารถในการบีบตัวของหัวใจลดเหลือน้อยกว่า 25% ของภาวะปกติ ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้คิดเป็นประมาณ 54% ของผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจทั้งหมด
- ผู้ป่วยโรคหัวใจ/โรคหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรง ซึ่งคิดเป็นประมาณ 45% ของผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจทั้งหมด
- ผู้ป่วยหัวใจพิการแต่กำเนิดที่มีลักษณะโรคที่ยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1% ของผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจทั้งหมด
ข้อห้ามในการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจคืออะไร?
ผู้ป่วยที่มีข้อห้ามไม่สามารถให้การรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจได้: เช่น
- ผู้ป่วยมีปัญหา โรคไต โรคปอด หรือ โรคตับ ร่วมด้วย
- เป็นโรคเบาหวานชนิดต้องรับการรักษาด้วยอินซูลิน ร่วมกับโรคของอวัยวะอื่นที่เกิดเนื่องจากโรคเบาหวาน เช่น โรคไตเรื้อรัง
- มีโรคเจ็บป่วยอื่นๆที่รุนแรง และเป็นสาเหตุถึงตายได้ เช่น โรคมะเร็ง
- มีโรคหลอดเลือดตีบตันของลำคอและขา
- มีความดันสูงในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงปอด
- มีการติดเชื้อรุนแรงในร่างกาย เช่น ติดเชื้อเอชไอวี
- มีก้อนเลือดอุดตันในหลอดเลือดต่างๆชนิดเฉียบพลัน
- อายุมากกว่า 65 ปี
- มีปัญหาทางจิตใจ ไม่สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ พยาบาล หรือติด ตามการรักษาต่อเนื่องได้
การเตรียมการก่อนผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเป็นอย่างไร?
ผู้ป่วยที่ถูกผ่าตัดหัวใจ ส่วนใหญ่จะเหนื่อยมากแม้ขณะนอนนิ่งๆอยู่บนเตียง บางรายจึงต้องช่วยการทำงานของหัวใจด้วยเครื่องมือช่วยการทำงานหัวใจชนิดต่างๆ เช่น เครื่องคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ (Pacemaker) หรือให้ยาช่วยการบีบตัวของหัวใจ
ทั้งนี้ ผู้ป่วยและญาติจะได้รับการชี้แจงถึงขั้นตอนการรักษาโดยละเอียด ตรวจการทำงานของอวัยวะสำคัญอื่นๆ เช่น ไต ปอด ตับ
ทีมเจ้าหน้าที่ เช่น แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่เทคนิค และอื่นๆ จะช่วยกันเตรียมหัวใจจากผู้บริจาค ในประเทศไทยจะมีหน่วยรับบริจาคอวัยวะของสภากาชาดไทย สร้างเครือข่ายโรง พยาบาลทั่วประเทศ เพื่อจัดหาหัวใจ จากผู้ป่วยที่สมองตายและญาติยินดีบริจาคหัวใจ หากมีการขนย้ายหัวใจจากโรงพยาบาลที่บริจาคไกลๆ จำเป็นจะต้องใช้เวลาเดินทางให้สั้นที่สุด เพื่อ ให้ได้หัวใจที่ยังมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มอัตรารอดของผู้ป่วยในการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ซึ่งหัวใจที่ได้รับบริจาค ควรได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนภายในระยะเวลาไม่ควรเกิน 4 ชั่วโมงนับจากผู้บริจาคหัวใจเสียชีวิต
หัวใจบริจาคที่ดีควรเป็นอย่างไร?
หัวใจที่ดี เมื่อได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอัตรารอดได้สูงขึ้น ซึ่งจะมีคุณสมบัติ เช่น
- ผู้บริจาคมีอายุน้อยกว่า 65 ปี
- หัวใจบริจาคต้องทำงานปกติ ไม่มีการชอกช้ำ
- ไม่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- ผู้บริจาคมีเลือดกรุ๊ปเดียวกับผู้รับบริจาค
- ขนาดหัวใจของผู้ให้กับผู้รับ ใกล้เคียงกัน
การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจทำอย่างไร?
วิธีผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจที่นิยม คือ ตัดหัวใจของผู้ป่วยออกโดยเหลือเพียงบางส่วนของหัว ใจห้องบนซ้าย (หัวใจ:กายวิภาคและสรีรวิทยา) แล้วใส่หัวใจของผู้บริจาคเข้าไปแทนที่ แล้วมีการเย็บต่อห้องหัวใจและหลอดเลือดหัวใจบริจาคเข้ากับหลอดเลือดผู้ป่วย
การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ อีกวิธี ซึ่งไม่เป็นที่นิยม คือ เพิ่มหัวใจของผู้บริจาคเข้าไปในผู้รับบริจาคอีกดวงหนึ่งโดยไม่ต้องตัดหัวใจเดิมออก
ผลสำเร็จการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเป็นอย่างไร?
อัตรารอดชีวิตในการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจที่ 1 ปี ประมาณ 81.8% ที่ 5 ปีประมาณ 69.8%
- หากผู้ป่วยมี โรคเบาหวาน โรคความดันเลือดสูง โรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน อัตราอยู่รอดก็จะต่ำลง
- หากผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจในศูนย์การแพทย์ที่มีการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเกินปีละ 15 รายขึ้นไป อัตรารอดจะดีกว่า
แพทย์ดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจอย่างไร?
การดูแลผู้ป่วยหลังการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ เช่นเดียวกับการผ่าตัดหัวใจชนิดอื่นๆ: เช่น
- ผู้ป่วยได้รับการรักษาดูแลในห้องไอซียู (ICU, Intensive care unit คือ ห้องดูแลผู้ป่วยวิกฤติ) ประมาณ 1-7 วัน
- จัดห้องพักฟื้นผู้ป่วยแยกเฉพาะในห้องปราศจากเชื้อ
- ให้ยากดภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันร่างกายผู้ป่วยปฏิเสธหัวใจใหม่ตั้งแต่หลังผ่าตัด และตลอดไป
- เมื่อผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาลจนปลอดภัยแล้ว แพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้าน ซึ่งแพทย์จะนัดผู้ป่วย ผู้ป่วยจำเป็นต้องมาตามนัด เพื่อ ตรวจร่างกาย ตรวจปฏิกิริยาปฏิเสธหัวใจใหม่ ตรวจการติดเชื้อต่างๆ เช่น เชื้อไวรัสบางชนิด และการติดเชื้อวัณโรค ซึ่งในระยะติดตามผลการผ่าตัดนี้ บางครั้งจำเป็นต้องใส่สายสวนเข้าในหัวใจ เพื่อตัดกล้ามเนื้อหัวใจมาตรวจหาการปฏิเสธหัวใจใหม่ของร่างกายดังกล่าวแล้ว
- โดยการนัดมาตรวจ ในระยะแรก อาจทุกสัปดาห์ จากนั้นค่อยๆห่างออกเรื่อยๆ ขึ้นกับสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย
- ในการตรวจติดตามผลผ่าตัดนี้ แพทย์จะนัดตรวจผู้ป่วยตลอดชีวิตของผู้ป่วย และจะมีการสวนหัวใจศึกษาหลอดเลือดหัวใจใหม่ประมาณ ปีละ1 ครั้ง
อนึ่ง: ในการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ โดยทั่วไปผู้ป่วยจะอยู่โรงพยาบาลประมาณ 2-3 สัปดาห์ขึ้นไป และจะกลับไปใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติภายในประมาณ 3-6 เดือน แต่ทั้งนี้ขึ้นกับ สุขภาพดั้งเดิมก่อนผ่าตัดของผู้ป่วย และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการผ่าตัด
ภาวะแทรกซ้อนจากผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมีอะไรได้บ้าง?
ภาวะแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงจากผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจที่อาจพบได้: เช่น
- ปัญหาพบบ่อย คือ เลือดออกหลังผ่าตัดตามรอยเย็บแผล
- ปัญหารีบด่วนถัดมา คือ ร่างกายผู้ป่วยปฏิเสธการรับหัวใจใหม่/ปฏิกิริยาร่างกายต่อต้านอวัยวะใหม่ (Graft rejection)
- การติดเชื้อรุนแรง เนื่องจากผู้ป่วยต้องได้ยากดภูมิคุ้มกันต้านทานเพื่อไม่ให้ร่าง กายปฏิเสธหัวใจใหม่
- การเกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ปัญหานี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จำเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจใหม่ อีกครั้ง
อาการจากร่างกายปฏิเสธหัวใจใหม่มีอะไรบ้าง? สามารถป้องกันได้หรือไม่? อย่างไร?
อาการจากร่างกายปฏิเสธหัวใจใหม่ เช่น หายใจตื้น ถี่ มีไข้ อ่อนเพลีย น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่สัมพันธ์กับอาหารที่กิน และปัสสาวะออกน้อย
การลดโอกาสเกิดภาวะร่างกายปฏิเสธหัวใจใหม่ โดยการเลือกหัวใจที่เข้ากับผู้ป่วยได้ดี ทั้งกรุ๊ปเลือด และเนื้อเยื่อ
นอกจากนั้น คือ หลังผ่าตัดแล้ว ผู้ป่วยต้องกินยากดภูมิคุ้มกันอย่างเคร่งครัด, ห้ามลืม กินยา, กินยาตรงเวลา, และมาพบแพทย์ตามนัดโดยเฉพาะ 6 เดือนแรกหลังผ่าตัด
ซึ่งหากแพทย์สงสัยว่า อาจมีการปฏิเสธหัวใจใหม่ จะมีการสวนหัวใจเพื่อตัดชิ้นเนื้อจากหัวใจเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา, หากพบว่าเริ่มมีปฏิกิริยาร่างกายปฏิเสธหัวใจใหม่ แพทย์สามารถปรับการให้ยากดภูมิคุ้มกันใหม่ เพื่อการรักษาอาการนี้แต่เนิ่นๆได้
ควรดูแลตัวเองอย่างไรหลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ?
การดูแลตนเองหลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ที่สำคัญ เช่น
- ปรับวิถีชีวิตให้เหมาะสม: เช่น
- การรับประทานอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบถ้วนทุกวัน
- มีการออกกำลังกายสม่ำเสมอตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
- รู้จักบริหารความเครียด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์,และ/หรืออยู่สถานที่แออัด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- รับประทานยากดภูมิคุ้มกันให้ตรงเวลา สม่ำเสมอ ไม่ขาดยา มียาติดตัวตลอดเวลา
- มีเพศสัมพันธ์ได้ แต่ในสตรีไม่ควรตั้งครรภ์
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เป็นพิเศษ เพราะจะติดเชื้อง่าย เช่น กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ รักษาระยะห่าง และรู้จักใช้หน้ากากอนามัย
- ควรต้องตรวจสุขภาพฟันและช่องปากกับทันตแพทย์ทุก 3 เดือน เพราะช่องปากและฟันเป็นแหล่งเชื้อโรคสำคัญ
- หากมีอาการติดเชื้อในร่างกาย เช่น ไข้ ไอ หายใจหอบเหนื่อย/หายใจลำบาก มีแผลมีหนอง ต้องรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลโดยด่วน/ทันที/ฉุกเฉิน
มีข้อห้ามอะไรบ้างหลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ?
ข้อห้ามหลังการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ: เช่น
- ห้ามลืมกินยาต่างๆที่แพทย์แนะนำ
- ห้ามสัมผัสสัตว์เพราะมีโอกาสติดเชื้อง่าย
- ห้ามเข้าไปในชุมชนแออัด เพราะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
- ห้ามใช้สารเสพติด
ควรกินหรือไม่ควรกินอะไรบ้างหลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ?
ในเรื่องเกี่ยวกับอาหาร และการบริโภค ที่สำคัญ เช่น
- ไม่ควรกินอาหารไขมันสูง เพราะเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ:โรคหลอดเลือดหัวใจ
- ไม่ควรกินอาหารรสเค็ม เพราะเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง
- กินอาหารบำรุงกระดูก เช่น นม ปลาตัวเล็ก
- ไม่ควรกินอาหารหวาน เพราะเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน
- เลิกสูบบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ เพราะเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจ
- ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมีผลต่อยากดภูมิคุ้มกันฯ
- ไม่ดื่มเครื่องดื่มมีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ โคล่า เพราะคาเฟอีนมีผลต่อการเต้นของหัวใจ
หลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่?
หลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดอย่างใกล้ชิด
การฟื้นตัวระยะแรก ผู้ป่วยแต่ละรายจะไม่เหมือนกัน ถ้าฟื้นตัวเร็ว หลังผ่าตัดได้ 3 เดือน ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้
หลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมีบุตรได้หรือไม่?
หลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจสำหรับผู้ชายสามารถมีบุตรได้, แต่สำหรับผู้หญิง ไม่สมควร เนื่องจากมีความเสี่ยงทั้งแม่และลูก กล่าวคือ แม่มีโอกาสหัวใจทำงานไม่ปกติ, หากคลอดบุตรแม่จะเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว, และลูกมีโอกาสหัวใจพิการแต่กำเนิดกว่าประมาณ 10%
หลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจจะกลับมาเป็นโรคหัวใจอีกหรือไม่?
หลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ มีโอกาสกลับมาเป็นโรคหัวใจอีกครั้งได้ เนื่องจากหัวใจใหม่มัก จะมีโรคหัวใจ/โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตามมา, ซึ่งถ้าเป็นมาก จำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจใหม่อีกครั้ง
เมื่อไหร่ควรมาพบแพทย์ก่อนวันนัด?
ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัด หรือรีบด่วนฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการ เมื่อ
- สงสัยเกิดผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อน เช่น ร่างกายปฏิเสธหัวใจใหม่ โดยมีอาการดัง กล่าวไปแล้วใน’หัวข้อ อาการจากร่างกายปฏิเสธหัวใจใหม่’ หรือมีการติดเชื้อในร่างกาย เช่น โรคหวัด มีแผล เป็นหนอง
- มีก้อนผิดปกติตามผิวหนัง และ/หรือตามร่างกาย เนื่องจากยากดภูมิคุ้มกันอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งช่องปาก หรือ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้
- มีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้ เช่น เหนื่อยง่ายมากขึ้น มีไข้ อ่อนเพลีย หายใจหอบ/หายใจลำบาก ไอมีเสมหะ
สรุป
การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ เป็นวิธีรักษาโรคหัวใจระยะสุดท้ายวิธีหนึ่ง การผ่าตัดไม่ยุ่งยาก ปัญหาหลักคือ หาหัวใจบริจาคได้ไม่พอกับความต้องการ
หลังผ่าตัด ผู้ป่วยต้องติดตามการรักษากับแพทย์โดยใกล้ชิด เพราะต้องให้ยากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต เพื่อไม่ให้ร่างกายปฏิเสธหัวใจใหม่, ซึ่งยากดภูมิคุ้มกันเป็นยาที่มีผลข้างเคียงมาก (เช่น ปัญหาต่อไต ต่อตับ และต่อความดันโลหิต) จำเป็นที่แพทย์ต้องตรวจติดตามโดยใกล้ชิดสม่ำเสมอ
การวิจัยเพื่อหาแนวทางรักษาโดยใช้ หัวใจเทียม หรือหัวใจจากสัตว์บางชนิด เป็นอนาคตที่ผู้เชี่ยวชาญกำลังดำเนินการพัฒนาอยู่
บรรณานุกรม
- Frank W. Sellke, Pedro J. del Nido , Scott J. Swanson. Sabiston & Spencer . Surgery of the chest. 8th edition 2010. P 1533-54
- https://en.wikipedia.org/wiki/Heart_transplantation [2022,Nov26]
- https://medlineplus.gov/ency/article/003003.htm [2022,Nov26]