ไฟโบรมัยอัลเจีย:กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อ เอ็น และเนื้อเยื่ออ่อน (Fibromyalgia)
- โดย ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า
- 20 กันยายน 2562
- Tweet
- บทนำ
- โรคไฟโบรมัยอัลเจียคืออะไร?
- โรคไฟโบรมัยอัลเจียมีสาเหตุเกิดได้อย่างไร?
- อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไฟโบรมัยอัลเจีย?
- โรคไฟโบรมัยอัลเจียมีอาการอย่างไร? อะไรกระตุ้นให้อาการรุนแรงขึ้น?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
- แพทย์วินิจฉัยโรคไฟโบรมัยอัลเจียได้อย่างไร?
- โรคไฟโบรมัยอัลเจียต่างจากลุ่มอาการความล้าเรื้อรังอย่างไร?
- รักษาโรคไฟโบรมัยอัลเจียอย่างไร?
- โรคไฟโบรมัยอัลเจียมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- ควรดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
- ป้องกันโรคไฟโบรมัยอัลเจียได้อย่างไร?
- โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder หรือ MDD)
- ความเครียด ภาวะซึมเศร้า และโรคซึมเศร้า (Stress, Depression and Depressive disorder)
- ยานอนหลับ (Sleeping pill)
- ยาต้านเศร้า(Antidepressants)
- ยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle relaxants drugs)
- ยาคลายเครียด ยากล่อมประสาท (Tranquilizer Drugs)
- โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder)
- มะเร็ง (Cancer)
บทนำ
“ปวดทั่วสรรพางค์กาย” ผมได้ยินผู้ป่วยพูดคำนี้ตกใจครับ ว่ามีโรคอะไรที่ทำให้ผู้ป่วยปวดทั่วร่างกาย ตรงไหนๆก็เจ็บปวดไปหมด ผมเริ่มค้นคว้าโรคนี้แล้วพบว่า “โรค Fibromyalgia” ที่ไม่มีชื่อภาษาไทย (ผมขอแปลว่า “โรค/กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อ เอ็นและเนื้อเยื่ออ่อน”) น่าจะเป็นโรคที่ผู้ป่วยรายนี้บอกว่า “ปวดทั่วสรรพางค์กาย” ลองติดตามดูว่า คือโรคอะไร มีอาการอย่างไร และจะรักษาหายหรือไม่
โรคไฟโบรมัยอัลเจียคืออะไร?
โรคไฟโบรมัยอัลเจีย คือ โรค/กลุ่มอาการที่มีการเจ็บปวดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเนื้อ เยื่ออ่อน (Soft fibrous tissue) ทั่วสรรพางค์กาย/ทั่วร่างกาย (Widespread musculoskeletal pain) โดยอาการเจ็บปวดนั้นจะมีลักษณะสำคัญ คือ
- เจ็บปวดรุนแรงมากกว่าปกติเมื่อถูกกระตุ้น (เช่น จากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิสิ่งแวดล้อม) ซึ่งในภาวะปกติจะไม่มีอาการเจ็บปวดเกิดขึ้น (เรียกอาการนี้ว่า Allodynia)
- และมีอาการเจ็บปวดที่มากเกินภาวะปกติที่ควรปวดเมื่อถูกทำให้ปวด (เรียกอาการนี้ว่า Hyperalgesia)
อนึ่ง โรคนี้พบบ่อย พบประมาณ 4% ของประชากรทั้งหมด โดยพบในผู้หญิงมากกว่าในผู้ชาย และพบบ่อยในวัยกลางคนและในผู้สูงอายุ
โรคไฟโบรมัยอัลเจียมีสาเหตุเกิดได้อย่างไร?
สาเหตุเกิดโรคไฟโบรมัยอัลเจีย ยังไม่ทราบแน่นอน สันนิษฐานว่า อาจเกิดจากปัจจัยทางจิตใจ ร่างกาย และสิ่งแวดล้อมร่วมกัน เพราะผู้ป่วยบางรายจะมีอาการหลังจากมีเหตุการณ์กระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น
- ติดเชื้อไวรัส หรือ แบคทีเรีย
- หรือหลังการเจ็บป่วยจากเหตุอื่นๆ เช่น โรคมะเร็ง
- ร่วมกับ(ผู้ป่วยส่วนหนึ่ง) จะพบ
- มีภาวะทางจิตใจผิดปกติ เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า
- มีความผิดปกติของการนอน (นอนไม่หลับ)
- และมีการรับรู้ความเจ็บปวดที่ผิดไป คือ ตอบสนองต่อการเจ็บปวดไวกว่าปกติ
อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไฟโบรมัยอัลเจีย?
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ คือ
- เพศหญิง
- ผู้ที่มีปัญหาในการนอนหลับ และ
- ผู้มีความเครียดสูง
โรคไฟโบรมัยอัลเจียมีอาการอย่างไร? อะไรกระตุ้นให้อาการรุนแรงขึ้น?
ลักษณะอาการสำคัญของไฟโบรมัยอัลเจีย คือ
- มีการปวดทั่วร่างกาย
- และ เป็นการปวดลักษณะที่รุนแรงกว่าปกติอย่างมาก ผู้ป่วยจะบ่นว่าปวดเหมือนกล้ามเนื้อถูกดึงหรือตึง เหมือนใช้งานมาอย่างหนัก ปวดเหมือนถูกเหยียบระบมทั้งตัว บางครั้งปวดจนเหมือนคนหมดแรง
- และบาง ครั้งมีกล้ามเนื้อกระตุก
นอกจากนั้น อาการอื่นที่พบร่วมด้วยบ่อย และมักเป็นอาการเรื้อรัง คือ
- ปัญหาการนอนไม่หลับ
- อ่อนเพลีย
- มีอาการฝืดตึงตามร่างกายและข้อ โดยเฉพาะหลังตื่นนอน
- ตื่นขึ้นมาไม่สดชื่น เหมือนพักผ่อนไม่เพียง
- พอตื่นขึ้นมาแล้วอ่อนเพลีย ง่วงนอนตอนกลางวัน
- บางครั้งมีความรู้สึก ข้อมือ ข้อเท้าบวม
- มีอาการไวต่อสิ่งเร้า เช่น แสง เสียง รสชาติ อุณหภูมิ การสัมผัส
- ปวดศีรษะช่วงเช้า
- ปัสสาวะบ่อย
- ปวดท้องเรื้อรัง
- ท้องเสียง่าย
*ทั้งนี้ ปัจจัย/ตัวกระตุ้นที่ทำให้อาการรุนแรงขึ้นที่พบบ่อย เช่น
- การมีปัญหาทางอารมณ์ เช่น อารมณ์ไม่ดี ความเครียด
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ
- และอากาศที่เปลี่ยนแปลง
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
ถ้าผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวใน ‘หัวข้อ อาการฯ’ ที่รุนแรง ควรต้องไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอ เพื่อแพทย์ให้การวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
อาการที่รุนแรง เช่น
- ปวดมากไปทั้งตัว
- ปวดจนส่งผลต่อการนอนหลับ
- ปวดจนส่งผลต่อต่อการทำงาน
- และปวดจนส่งผลต่อการดำรงชีวิต
แพทย์วินิจฉัยโรคไฟโบรมัยอัลเจียได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยโรคนี้ โดยจะพิจารณาจากอาการที่ผู้ป่วยบอกเล่า ซึ่งมักมีอาการนานมาก กว่า 3 เดือน ร่วมกับการตรวจร่างกาย พบจุดกดเจ็บ 11 จาก 18 จุด
- ด้านหน้า 8 จุด คือ ด้านซ้ายและด้านขวาของ ลำคอ หน้าอกส่วนบน เหนือข้อพับแขน และเหนือหัวเข่า
- ด้านหลัง 10 จุด คือ ด้านซ้ายและด้านขวาของ คอ เหนือสะบัก (หลังส่วนบน) ข้างละ 2 จุด ด้านหลังตอนล่าง และโคนขา
โดยอาการปวดนั้น เกิดเมื่อแรงกดด้วยนิ้ว ความแรงเพียงแค่ที่ทำให้เล็บส่วนปลายซีดขาวเท่า นั้น และจะต้องมีจุดกดเจ็บทั้ง 4 บริเวณ คือ ซ้าย ขวา เหนือและต่ำกว่าเอว นอกจากนั้น ยังต้องมีอาการเจ็บกล้ามเนื้อกลางลำตัวคือ คอ หน้าอก หลังส่วนบน และหลังส่วนล่างร่วมด้วย และถ้าพบร่วมกับอาการผิดปกติต่างๆดังกล่าวข้างต้นใน ‘หัวข้อ อาการฯ’ ร่วมด้วย จะทำให้การวินิจฉัย แม่นยำขึ้น
อนึ่ง โดยทั่วไป โรคนี้จะตรวจเลือดหรือเอกซเรย์ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ แต่บางครั้งแพทย์ต้องส่งตรวจเลือด และ/หรือการตรวจทางเอกซเรย์เพิ่มเติม เพราะอาการผู้ป่วยอาจใกล้ เคียงกับโรคอื่นๆ ดังนั้น ถ้าแพทย์มั่นใจในการวินิจฉัยเนื่องจากอาการชัดเจน ก็จะไม่มีความจำ เป็นต้องส่งตรวจอื่นๆเพิ่มเติม จากประวัติทางการแพทย์และการตรวจร่างกาย
โรคไฟโบรมัยอัลเจียต่างจากลุ่มอาการความล้าเรื้อรังอย่างไร?
ไฟโบรมัยอัลเจีย และ กลุ่มอาการความล้าเรื้อรัง:โรคซีเอฟเอส (Chronic-fatigue syn drome:CFS) มีอาการคล้ายกันมาก การวินิจฉัยต้องใช้เกณฑ์การวินิจฉัยของแต่ละโรค ซึ่งกลุ่มอาการความล้าเรื้อรัง มีเกณฑ์การวินิจฉัย ดังนี้
- มีอาการอ่อนเพลียนานกว่า 6 เดือนขึ้นไป อ่อนเพลียจนส่งผลต่อการทำงาน เรียนหนัง สือ หรือการทำกิจวัตรประจำวัน
- มีอาการดังต่อไปนี้ 4 ข้อขึ้นไป นานมากกว่า 6 เดือน
- เจ็บคอ
- กดเจ็บ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ รักแร้
- ปวดกล้ามเนื้อ
- ปวดข้อต่อหลายข้อ
- ปวดศีรษะ
- ไม่สดชื่นหลังตื่นนอน
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย
- ความจำลดลง
*อนึ่ง นอกจากกลุ่มอาการความล้าเรื้อรังแล้ว ยังมีโรคอื่นๆที่มีอาการคล้ายกับโรคไฟโบรมัยอัลเจียได้ เช่น
- โรค เอสแอลอี (Systemic lupus erythematosus: SLE)
- ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน
- ผลข้างเคียงจากยา/ อาการไม่พึงประสงค์จากยา บางชนิด (เช่น ยาลดไขมันในเลือด ยาต้านไวรัส) โรคไวรัสตับอักเสบชนิดเรื้อรัง โรค Polymyalgia rheumatica ภาวะพึ่งสเตียรอยด์/ภาวะขาดยาสเตีย รอยด์ไม่ได้ (Steroid dependent) และโรคมะเร็ง
รักษาโรคไฟโบรมัยอัลเจียอย่างไร?
การรักษาโรคไฟโบรมัยอัลเจีย ต้องแก้ไขที่สาเหตุ/ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นใน ‘หัวข้อ สา เหตุฯ’ คือ
- การดูแล ด้านจิตใจ ร่างกาย และสิ่งแวดล้อม คือ ต้องเข้าใจสภาวะจิตใจของผู้ป่วย และถนอมน้ำใจผู้ป่วย
- ต้องให้เวลากับผู้ป่วย และสร้างบรรยากาศ (จัดสิ่งแวดล้อม) ที่ทำให้ผู้ ป่วยผ่อนคลาย สบายที่สุด
- หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ร้อน หนาวอย่างรวดเร็ว
- ไม่มีเสียงดัง แดดจ้า หรือแสงการสะท้อนต่างๆ
- มีการออกกำลังกายที่เหมาะสม
- มีการทำกายภาพบำบัด
- และการใช้ยาต่างๆตามอาการ เช่น
- ยาแก้ปวดเพื่อลดอาการปวด
- ยารักษาปัญหาการนอนไม่หลับ/ ยานอนหลับ
- ยาดูแลรักษาในเรื่องอารมณ์ (ยาที่ใช้ เช่น ยาต้านเศร้า)
- และยาคลายกล้ามเนื้อ
- แต่ยาในกลุ่ม สเตียรอยด์จะไม่ได้ผลในการรักษา
โรคไฟโบรมัยอัลเจียมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
การพยากรณ์โรค หรือผลการรักษาโรคไฟโบรมัยอัลเจีย แตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน ขึ้นกับปัจจัยส่วนบุคคลนั้นๆ เช่น
- การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
- การควบคุมอารมณ์ ความเครียด
- การพักผ่อนที่พอเหมาะ
- การปรับสภาพแวดล้อม
- และความเข้าอกเข้าใจของผู้ที่อยู่รอบข้าง
อย่างไรก็ตามโรคนี้จะไม่มีการทำลายอวัยวะต่างๆ ยกเว้นการเป็นเรื้อรังก็จะส่งผลต่อคุณ ภาพชีวิต โดยเฉพาะเรื่องของสุขภาพจิต ซึ่งการรักษาที่สำคัญ คือ
- *ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยต้องเข้าใจผู้ป่วยและมีความปรารถนาดีที่จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น
ควรดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
เมื่อเป็นโรคไฟโบรมัยอัลเจีย การดูแลตนเองที่สำคัญ คือ
- ควรต้องแก้ไขสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม
- ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- รักษาสุขภาพจิต อย่าเครียด
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามควรกับสุขภาพ
- และพบแพทย์/มาโรงพยาบาลสม่ำเสมอตามแพทย์นัด
*ซึ่งกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการทรุดลง ก็ควรต้องพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนแพทย์นัดเสมอ เช่น
- อาการปวดที่รุนแรงขึ้น
- นอนไม่หลับเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน
- เกิดภาวะซึมเศร้า
- หรือมีผลข้างเคียง/ผลแทรกซ้อนจากยาที่ใช้รักษา (เช่น ขึ้นผื่น คลื่นไส้)
- หรือ กังวลในอาการ
- ทั้งนี้ โรคนี้ ไม่มีอาหารต้องห้าม/อาหารแสลง แต่ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหักโหม
ป้องกันโรคไฟโบรมัยอัลเจียได้อย่างไร?
จริงๆแล้ว โรคนี้ไม่ทราบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด การป้องกันโรคเต็มร้อยจึงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเราสามารถปรับสภาพแวดล้อมให้ดี มีอารมณ์แจ่มใส สดชื่น พักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคนี้ลงได้