ไกลโฟเสท (Glyphosate)
- โดย เภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร
- 7 พฤศจิกายน 2561
- Tweet
- บทนำ
- ประโยชน์ของไกลโฟเสทมีอะไรบ้าง?
- ผลเสียของไกลโฟเสทต่อมนุษย์มีอะไรบ้าง?
- ใช้ยากำจัดวัชพืชอย่างไรจึงปลอดภัย?
- ควรเก็บรักษายากำจัดวัชพืชอย่างไร?
- มีขั้นตอนปฐมพยาบาลอย่างไรเมื่อได้รับพิษจากยากำจัดวัชพืช?
- บรรณานุกรม
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- ยากำจัดวัชพืช (Herbicide)
- น้ำท่วมปอด
- เยื่อตาอักเสบ (Conjunctivitis)
- ผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema)
- ภาวะช็อก อาการช็อก (Shock)
- ไตวาย ไตล้มเหลว (Renal failure)
บทนำ
สารไกลโฟเสท (Glyphosate)มีชื่อทางเคมีอีกอย่างหนึ่งว่า N-(phosphonomethyl)glycine (C3H8NO5P) เป็นสารประกอบสังเคราะห์ที่ใช้เป็นยากำจัดวัชพืช แต่ก็สามารถทำลายพืชผลทางการเกษตรได้เช่นเดียวกัน ไกลโฟเสทเป็นสารอินทรีย์ที่มีฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบและมีจัดการจัดเรียงโครงสร้างโมเลกุลที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า ฟอสโฟเนท (Phosphonate) สารประกอบนี้สามารถเข้ายับยั้งการทำงานเอนไซม์ในพืชที่มีชื่อว่า 5-enolpyruvylshikimate-3-phosphate synthase ทำให้ปฏิกิริยาเคมีที่ช่วยในการเจริญเติบโตของพืชเสียไป
ไกลโฟเสทถูกคิดค้นเมื่อปี ค.ศ.1970 (พ.ศ.2513) โดยบริษัทมอนซานโต(Monsanto) สหรัฐอเมริกา และวางจำหน่ายภายใต้ชื่อการค้าว่า Roundup
มีการใช้ไกลโฟเสท เป็นเวลาหลายสิบปีจนกระทั่งปี ค.ศ.2015 (พ.ศ.2558) องค์การอนามัยโลก(WHO)ได้ออกประกาศว่า สารประกอบไกลโฟเสทมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นการเกิดมะเร็งในมนุษย์ ภายใน 1 ปีต่อมา นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการพิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าสารประกอบชนิดนี้ไม่ได้กระตุ้นให้เกิดมะเร็ง แต่จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่ ‘ตา’อย่างรุนแรง และก่อให้เกิดพิษต่อสัตว์น้ำ
นอกจากนี้ ไกลโฟเสท ยังทำให้แบคทีเรียบางชนิดในดินลดจำนวนลงจนเกิดการเสียสมดุลและส่งผลให้แบคทีเรียบางประเภทเพิ่มปริมาณมากขึ้น
ไกลโฟเสทสามารถส่งผลกระทบต่อสัตว์ที่จัดว่าเป็นเกษตรกรตามธรรมชาติ อย่างเช่น ไส้เดือน รวมถึงแมลงที่ช่วยผสมเกสรดอกไม้อย่างเช่น ผึ้ง
ปัจจุบันภาคเกษตรอินทรีย์เข้ามามีบทบาทและเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยต่อสุขภาพทั้งตัวเกษตรกรและผู้บริโภค การไถ่กลบวัชพืชเพื่อหมุนเวียนให้กลับมาเป็นปุ๋ยอินทรีย์แทนการใช้สารเคมีเป็นวิธีลดการปนเปื้อนและได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งเรามักจะคุ้นเคยกับคำพูดที่ว่า ‘ผักปลอดสาร/ ผักปลอดสารพิษ’นั่นเอง
ประโยชน์ของไกลโฟเสทมีอะไรบ้าง?
ไกลโฟเสท ใช้เป็นยากำจัดวัชพืชจำพวกหญ้าชนิดต่างๆ โดยมากให้ใช้ในพื้นที่ที่ไม่ได้ทำการเกษตร เช่น พื้นดินในบริเวณโรงงานอุตสาหกรรม การนำไปใช้กับแปลงเกษตรโดยไม่มีการศึกษาประโยชน์และโทษอย่างชัดเจน สามารถส่งผลกระทบต่อพืชที่เพาะปลูกตลอดจนเกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมในดินและแหล่งน้ำตามมา
ผลเสียของไกลโฟเสทต่อมนุษย์มีอะไรบ้าง?
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการตัดต่อพันธุกรรมพืชหลายชนิดซึ่งทำให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ๆที่ทนต่อไกลโฟเสท เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด คาโนลา อัลฟาลฟา บีท ฝ้าย สำหรับข้าวสาลียังอยู่ในช่วงพัฒนาสายพันธุ์
กรณีที่ใช้ ไกลโฟเสท ในฟาร์มเกษตรของถั่วเหลือง ข้าวโพด คาโนลา ที่เป็นพืชตัดแต่งพันธุกรรม และมนุษย์หรือสัตว์นำมาใช้บริโภคก็มีโอกาสที่จะได้รับไกลโฟเสทเข้าสู่ร่างกายจนก่อให้เกิดอาการพิษดังนี้
- การสัมผัสโดยตรงที่ผิวหนังจะทำให้รู้สึกระคายเคือง แสบร้อน
- กรณีเข้าช่องปาก จะทำให้เกิดอาการแสบคัน ระคายเคือง
- หากไกลโฟเสทเข้าตาจะเกิดการระคายเคืองและเยื่อตาอักเสบตามมา
- กรณีสูดดมสามารถทำให้เกิด ภาวะน้ำท่วมปอด
- กรณีร่างกายดูดซึมไกลโฟเสทเป็นปริมาณมากๆจะทำให้เกิดอาการช็อก หัวใจเต้นผิดจังหวะ ไตวาย มีระดับเกลือโปแตสเซียมในเลือดสูง เกิดภาวะเลือดเป็นกรด และเสียชีวิตในที่สุด
*****ดังนั้น หากพบอาการข้างต้นหลังการใช้ไกลโฟเสท ต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว หรือทันที ขึ้นกับความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น
ใช้ยากำจัดวัชพืชอย่างไรจึงปลอดภัย?
วิธีใช้ยากำจัดวัชพืชที่รวมถึง ไกลโฟเสท ให้ปลอดภัย ได้แก่
1. อ่านคู่มือการใช้งานโดยละเอียดและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
2. ผสมสัดส่วนหรือเตรียมยากำจัดวัชพืชอย่างเหมาะสมเพื่อเกิดประสิทธิภาพ ทำลายวัชพืชและก่อพิษต่อผู้ใช้งานน้อยที่สุด
3. สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลขณะเตรียมผสมและขณะใช้งาน เช่น
- ใส่ถุงมือป้องกันสารเคมี
- สวมแว่นป้องกันละอองเคมีเข้าตา
- ใส่เสื้อผ้าหรือชุดคลุมสำหรับฉีดพ่นสารเคมีเพื่อป้องกันการซึมผ่านเสื้อผ้า และเข้าสัมผัสกับผิวหนัง
- ใส่หน้ากากกรองสารเคมีเพื่อป้องกันการสูดดมยากำจัดวัชพืชขณะทำงาน
- สวมหมวกคลุมผม
4. ขณะฉีดพ่นยากำจัดวัชพืชควรอยู่เหนือทิศทางลม
5. อาบน้ำ สระผม ฟอกสบู่ ชำระร่างกายให้ทั่ว เพื่อชำระ ยากำจัดวัชพืชที่ติดค้างตามร่างกาย
6. ซักเสื้อผ้าชุดทำงานที่สวมใส่ขณะทำงานกับยากำจัดวัชพืช ห้ามซักล้างในคูคลอง ตามธรรมชาติโดยตรง
ควรเก็บรักษายากำจัดวัชพืชอย่างไร?
ควรเก็บยากำจัดวัชพืชที่รวมถึง ไกลโฟเสท ดังนี้ เช่น
- เก็บในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสงแดด และความร้อน
- สามารถเก็บภายใต้อุณหภูมิห้องที่เย็นและควรต้องอยู่ในสถานที่ที่ระบายอากาศได้ดี
- เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
- ห้ามเก็บปะปนกับอาหารของมนุษย์หรืออาหารสัตว์
- ห้ามทิ้งยากำจัดวัชพืชลงแม่น้ำหรือคูคลองตามธรรมชาติ หรือทิ้งลงพื้นดินโดยตรง
มีขั้นตอนปฐมพยาบาลอย่างไรเมื่อได้รับพิษจากยากำจัดวัชพืช?
มีขั้นตอนปฐมพยาบาลเมื่อได้รับพิษจากยากำจัดวัชพืชที่รวมถึง ไกลโฟเสท ดังนี้ เช่น
ก. กรณีรับประทาน:
- หากผู้ป่วยยังมีสติ อาจให้รับประทาน ยาถ่านกัมมันต์ นม หรือทำให้อาเจียน ตามคำแนะนำของยากำจัดวัชพืชแต่ละชนิด แล้วรีบนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที หากทำได้ ให้โทรแจ้งโรงพยาบาลล่วงหน้าว่า กำลังพาผู้ป่วยมาส่งหรืออยู่ในระหว่างการเดินทาง
ข. กรณีเข้าตา:
- ให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดต่อเนื่องนาน 15 นาที แล้วรีบพาผู้ป่วยมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันทีหลังจากนั้น เพื่อประเมินอาการของตา
ค. กรณีสัมผัสผิวหนัง:
- ถอดเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนยากำจัดวัชพืชออกโดยเร็ว ล้างผิวหนังด้วยน้ำสะอาดเป็นปริมาณมากๆ การใช้สบู่ฟอกทำความสะอาดผิวหนังจะทำให้ปราศจากยากำจัดวัชพืชได้มากยิ่งขึ้น
ง.กรณีสูดดม:
- รีบนำผู้ป่วยออกจากพื้นที่ที่มียากำจัดวัชพืชฟุ้งกระจายปนเปื้อนเพื่อให้ได้รับอากาศบริสุทธิ์โดยเร็ว สังเกตอาการผู้ป่วย ถ้าดูแล้วไม่ดีขึ้น ต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
*****ทั้งนี้ การให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย ต้องกระทำโดยเร็ว ไม่ปล่อยทิ้งเป็นเวลานานจนกระทั่งเกินเยียวยา
บรรณานุกรม
- http://www.pan-uk.org/glyphosate/ [2018,Oct20]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Glyphosate#Uses [2018,Oct20]
- https://www.westernfarmpress.com/grapes/herbicide-drift-how-avoid-it [2018,Oct20]