โรคเหงือก หรือ โรคของเหงือก (Gum disease)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?

โรคเหงือก หรือ โรคของเหงือก(Gum disease หรือ Gingival disease)คือ โรค/ภาวะผิดปกติต่างๆที่เกิดกับเหงือกซึ่งส่งผลให้เหงือกอักเสบ อาการพบบ่อยคือ เหงือกจะ เจ็บ บวม แดง เลือดออกง่าย และมีกลิ่นปาก

โรคเหงือกเมื่อเกิดเรื้อรังจะลุกลามจนเกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อทุกชนิดที่อยู่ล้อมรอบฟันที่เรียกว่า เนื้อเยื่อปริทันต์ ได้แก่ เหงือก, เนื้อเยื่อที่ยึดฟันให้ติดกับเบ้าฟัน, สารเคลือบรากฟัน, และกระดูกกรามที่รองรับฟัน ซึ่งการอักเสบของเนื้อเยื่อกลุ่มนี้เรียกว่า ‘โรคปริทันต์’

ทั้งนี้ยังไม่มีรายงานสถิติเกิดโรคเหงือกในภาพรวมทุกสาเหตุ แต่จะรายงานโรคเหงือกรวมอยู่ในโรคปริทันต์ ซึ่งโรคปริทันต์เป็นโรคพบบ่อยทั่วโลก เป็นอันดับ 2 ของ โรคช่องปากและฟัน โดยพบบ่อยรองจากฟันผุ ในสหรัฐอเมริกามีรายงานพบโรคเหงือกประมาณ 30-50% ของประชากรทั้งหมด พบทุกอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ แต่มักพบในวัยผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ เพศหญิงและเพศชายมีโอกาสเกิดใกล้เคียงกัน

อะไรเป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคเหงือก?

โรคเหงือกหรือโรคของเหงือก

สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคเหงือก ได้แก่

ก. สาเหตุพบบ่อยที่สุด คือ ดูแลรักษาช่องปากได้ไม่ดี ที่สำคัญ คือ แปรงฟันไม่ถูกวิธี, ไม่รู้จักใช้ไหมขัดฟัน, กินจุบกินจิบ, ติดอาหารหวาน, ไม่พบทันตแพทย์, ส่งผลให้เกิดคราบหินปูนที่ทำให้เหงือกบาดเจ็บอักเสบติดเชื้อแบคทีเรีย ส่งผลต่อเนื่องให้เหงือกอักเสบ จนเกิดเหงือกอักเสบเรื้อรัง และ’โรคปริทันต์ในที่สุด’ ซึ่งสาเหตุนี้เป็นสาเหตุพบบ่อยที่สุด เกือบทั้งหมดของโรคเหงือก

ข. สาเหตุอื่นที่พบได้ประปราย: ที่ทำให้เหงือกบาดเจ็บ เกิดแผล อักเสบ และ/หรือผิดรูปร่าง ได้แก่

  • เหงือกบาดเจ็บเป็นแผล/แผลอักเสบจากอุบัติเหตุ: เช่น
    • จากแปรงฟันรุนแรง หรือขนแปรงแข็งเกินไป
    • ใช้ไหมขัดฟันรุนแรง หรือไหมขัดฟันแข็งกระด้างเกินไป
    • จากไม้จิ้มฟัน
    • กัด เคี้ยว อาหารแข็ง
    • อุบัติกระแทกที่ช่องปาก/เหงือก
    • หัตถการทางการแพทย์ที่เหงือก เช่น ถอนฟัน
  • เหงือกอักเสบจากโรคเชื้อรา ซึ่งพบน้อย มักพบในคนมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น โรคเอดส์
  • โรคบางชนิดของร่างกายที่ทำให้มีการอักเสบของเนื้อเยื่อทุกชนิดของร่างกายรวมถึงเหงือก เช่น
    • โรคต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวาน
    • โรคออโตอิมมูน เช่น โรคลูปัส-โรคเอสแอลอี
    • โรคที่ส่งผลให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น เอชไอวี, โรคเอดส์,
    • ภาวะร่างกายมีฮอร์โมนเพศผิดปกติ เช่น การตั้งครรภ์
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น
    • ยาต้านชักยากันชัก Phenytoin
    • ยากดภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่นยา Cyclosporin, ยาเคมีบำบัด
    • ยาจิตเวชบางชนิด เช่นยา Valproate
    • ยาลดความดันโลหิตสูง(ยาลดความดันยาลดความดันเลือดสูง)บางชนิด เช่นยา Amlodepine, Nifedipine, Diltiazam
  • ภาวะขาดสารอาหาร เช่น ภาวะขาดวิตามินซี / โรคลักปิดลักเปิด
  • โรคภูมิแพ้
  • แพ้สารเคมีต่างๆ เช่น แพ้ยาสีฟัน แพ้น้ำยาบ้วนปาก
  • โรคมะเร็งที่แพร่กระจายมาเหงือก เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • โรคมะเร็งของเหงือกเอง เช่น มะเร็งเหงือก
  • โรคเลือด
  • มีสิ่งแปลกปลอมติด/บาดเหงือก เช่น จากเศษข้าวโพดขั้ว
  • สูบบุหรี่
  • ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • พันธุกรรมผิดปกติ ที่ทำให้เกิดเหงือกอักเสบผิดรูปตั้งแต่แรกเกิด
  • ความพิการแต่กำเนิด เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่

ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคเหงือก?

ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคเหงือก ได้แก่

  • มีสุขภาพช่องปากไม่ดี ไม่รู้จักรักษาสุขภาพช่องปาก
  • โรคเบาหวาน
  • โรคออโตอิมมูน
  • หญิงตั้งครรภ์
  • สูบบุหรี่: สารพิษ/ควันพิษจากบุหรี่จะก่อการอักเสบของเนื้อเยื่อทุกชนิดของช่องปากรวมถึงเหงือกและหลอดเลือด และยังส่งผลให้เซลล์เหงือกซ่อมแซมตัวเองได้แย่ลง นอกจากนั้น ยังกระตุ้นแบคทีเรียก่อการอักเสบของเหงือกให้เจริญแพร่พันธ์ได้ดี โรคเหงือกจึงเกิดง่าย เรื้อรัง รุนแรง รักษาให้หายยาก
  • ดื่มแอลกอฮอล์ เพราะผู้ดื่มแอลกอฮอล์จะมีสุขภาพช่องปากแย่ลง จึงเกิดโรคเหงือกได้ง่าย เรื้อรัง และรักษาให้หายได้ช้า

โรคเหงือกมีอาการอย่างไร?

อาการของโรคเหงือก ได้แก่

  • เหงือก บวม แดง
  • เจ็บเหงือก โดยเฉพาะเมื่อมีการเคี้ยว และ/หรือแปรงฟัน
  • เหงือกเลือดออกง่าย
  • เสียวฟันต่อเนื่อง
  • เหงือกร่นเห็นโคนฟัน
  • ฟันโยกคลอน
  • ถ้าอาการรุนแรง
    • อาการต่างๆดังกล่าวจะรุนแรงมากขึ้น อาจมีหนอง และ
    • มีกลิ่นปาก

ควรพบแพทย์เมื่อไร?

เมื่อมีอาการผิดปกติต่างๆของ เหงือก ฟัน และ/หรือ ของช่องปาก ที่เมื่อดูแลตนเองแล้วอาการไม่ดีขึ้นในประมาณ 1 สัปดาห์ หรือ อาการเลวลง ควรต้องรีบพบแพทย์/ทันตแพทย์/มาโรงพยาบาลเสมอ

แพทย์วินิจฉัยโรคเหงือกได้อย่างไร?

โดยทั่วไป ทันตแพทย์/แพทย์วินิจฉัยโรคเหงือกได้จาก การตรวจทางคลินิกจาก สอบถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย คือ อาการ โรคประจำตัว การใช้ยาต่างๆ ร่วมกับการตรวจดูช่องปาก ฟัน และเหงือก ซึ่งสามารถให้การวินิจฉัยและรักษาได้เลย

แต่ถ้าอาการรุนแรง อาจมีการตรวจเพื่อการสืบค้นเพิ่มเติมตามอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์ เช่น

  • การตรวจเลือด ซีบีซี
  • ตรวจเลือดดูค่าน้ำตาล หรือ สารภูมิคุ้มกัน หรือ สารภูมิต้านทานโรค
  • การตรวจเชื้อ หรือ การตรวจเพาะเชื้อ จากแผล หรือจากหนอง/สารคัดหลั่งที่แผล
  • เอกซเรย์ภาพฟัน หรือ ภาพกระดูกกราม
  • อาจมีการตัดชิ้นเนื้อเพื่อการวินิจฉัยทางพยาธิวิทยากรณีมีก้อนเนื้อที่เหงือก

โรคเหงือกรุนแรงไหม?

ความรุนแรง/การพยากรณ์โรคของโรคเหงือก โดยเฉพาะเหงือกอักเสบ คือ เป็นโรคที่รักษาให้หายได้เสมอเมื่อพบทันตแพทย์/แพทย์ตั้งแต่เริ่มมีอาการ แต่ถ้าปล่อยให้อาการอักเสบเรื้อรังจนฟันโยกคลอน อาจต้องสูญเสียฟันนั้นๆ/ฟันหลุดก่อนเวลาอันควร หรือถ้าการอักเสบลุกลามเข้ากระดูกกรามการรักษาจะซับซ้อน รักษายาก อาจต้องมีการผ่าตัดกระดูกกราม

นอกจากนั้น โรคเหงือกที่อักเสบเรื้อรัง ยังมีผลให้แบคทีเรียจากเหงือกที่อักเสบแพร่เข้ากระแสเลือดไปก่อให้เกิดการติดเชื้อที่อวัยวะต่างๆได้ทั่วร่างกาย พบบ่อยที่หัวใจ และยังเป็นปัจจัยให้อาการของโรคต่างๆรุนแรงขึ้น รักษายากขึ้น เช่น โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน

อีกประการ หลังการรักษาหายแล้ว เหงือกอักเสบสามารถย้อนกลับเป็นซ้ำได้เสมอถ้าไม่รักษาสุขอนามัยของช่องปาก

มีแนวทางรักษาโรคเหงือกอย่างไร?

แนวทางการรักษาโรคเหงือก ได้แก่ การรักษาสุขภาพ/สุขอนามัยช่องปากและฟัน ร่วมกับการดูแลรักษาสาเหตุและอาการ

ก. การรักษาสุขภาพช่องปากและฟัน: เป็นการดูแลรักษาที่สำคัญที่สุด นอกจากเป็นการรักษาแล้ว ยังป้องกันความรุนแรงของโรคฯ, ป้องกันโรคเหงือกย้อนกลับเป็นซ้ำ, และในกรณีที่ยังไม่เคยเป็นโรคเหงือก การดูแลรักษาสุขภาพช่องปากฯยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิผลที่สุดในการป้องกันการเกิดโรคเหงือก/โรคปริทันต์,

วิธีดูแลรักษาสุขภาพช่องปากฯที่สำคัญได้แก่

  • ปฏิบัติตาม ทันตแพทย์ แพทย์ พยาบาล แนะนำ กรณีพบแพทย์แล้ว
  • และการดูแลตนเอง/การรักษาสุขภาพช่องปาก ทั่วไปที่สำคัญคือ
    • แปรงฟันให้ถูกวิธีอย่างน้อยวันละ2ครั้ง ก่อนเข้านอน และเมื่อตื่นนอนเช้า
    • ใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ1ครั้งก่อนแปรงฟันเข้านอน
    • เลือกแปรงสีฟัน/ขนแปรงสีฟันให้เหมาะสม ไม่แข็ง หรือนุ่มจนเกินไป
    • เลือกยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของฟัน ไม่ใช้ยาสีฟันที่ก่อการระคายต่อเหงือก/ช่องปาก
    • บ้วนปากด้วยน้ำสะอาดทุกครั้งหลังกินอาหารมื้อหลักถ้าแปรงฟันไม่ได้
    • เลิกบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่
    • เลิกสุรา ไม่ดื่มสุรา
    • กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบถ้วนทุกวัน
    • พบทันตแพทย์ทุก6เดือน-1ปีกรณีไม่มีอาการ ต่อจากนั้นพบทันตแพทย์ตามนัดเสมอ
    • เมื่อมีอาการผิดปกติที่เหงือก/ช่องปากฯและอาการไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเองในประมาณ1สัปดาห์ หรืออาการรุนแรงตั้งแต่มีอาการ เช่น เหงือกเป็นหนอง ควรรีบด่วนพบทันตแพทย์/มาโรงพยาบาล

ข.การรักษาอาการและ/สาเหตุ: ซึ่งจะต่างกันตามแต่ละสาเหตุ เช่น

    • การผ่าตัดกรณี ปากแหว่ง เพดานโหว่, กระดูกรามอักเสบรุนแรง,
    • การรักษา โรคออโตอิมมูน, โรคลักปิดลักเปิด(ภาวะขาดวิตามินซี) เมื่อสาเหตุมาจากโรคเหล่านั้น
    • การถอนฟันกรณีฟันโยกคลอนมากจนเก็บรักษาไว้ไม่ได้
    • การใช้ยาปฏิชีวนะกรณีเหงือกอักเสบติดเชื้อ
    • การใช้ยาแก้ปวด กรณีมีอาการปวดร่วมด้วย

(แนะนำอ่านรายละเอียดเรื่องโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุรวมถึงวิธีรักษาได้จากเว็บ haamor.com)

ดูแลตนเองอย่างไร? พบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?

การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคเหงือกที่สำคัญ คือ

  • ปฏิบัติตาม ทันตแพทย์ แพทย์ พยาบาล แนะนำ
  • กินยา/ใช้ยาที่ทันตแพทย์/แพทย์สั่งให้ถูกต้อง ไม่หยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน
  • รักษาสุขภาพช่องปากที่สำคัญเช่นเดียวกับดังได้กล่าวใน ’ข้อก. การรักษาโรคเหงือกฯ’

มีการตรวจคัดกรองโรคเหงือกไหม?

การตรวจคัดกรองโรคเหงือกที่มีประสิทธิผล คือ พบทันตแพทย์สม่ำเสมอถึงแม้ไม่มีอาการอย่างน้อยทุก 6 เดือน - 1 ปี และต่อจากนั้นพบทันตแพทย์ตามนัดเสมอ

ป้องกันโรคเหงือกได้อย่างไร?

การป้องกันโรคเหงือกที่สำคัญ ได้แก่

  • รักษาสุขภาพช่องปากดังได้กล่าวใน ‘ข้อ ก. หัวข้อ การรักษาฯ’
  • ไม่สูบบุหรี่ เลิกสูบถ้าสูบบุหรี่
  • ไม่ดื่นเครื่องดื่มสุรา เลิกสุราถ้าดื่มสุรา
  • พบทันตแพทย์สม่ำเสมอทุก 6เดือน-1ปี หรือบ่อยตามทันตแพทย์นัด ถึงแม้ไม่มีอาการผิดปกติ

บรรณานุกรม

  1. https://en.wikipedia.org/wiki/Periodontal_disease [2020,Jan18]
  2. https://en.wikipedia.org/wiki/Gums [2020,Jan18]
  3. https://www.dentalcare.com/en-us/professional-education/student-resources/gingivitis-review/classification-of-gingival-diseases [2020,Jan18]