เด็ก: โรคเด็ก (Childhood: Childhood diseases)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

นิยามคำว่าเด็ก

เด็ก (Child หรือ Childhood) ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 นิยามว่า

  • เด็ก คือ คนที่มีอายุยังน้อย ยังเล็ก
  • ทารก หมายถึง เด็กที่ ยังอยู่ในครรภ์, เด็กแบเบาะ, เด็กเล็กๆ, เด็กที่ยังไม่เดียงสา
  • เด็กหญิง คือ คำนำหน้าชื่อเด็กหญิงที่มีอายุตั้งแค่ 15 ปีลงมา และ
  • เด็กชาย คือ คำนำหน้าชื่อเด็กชายที่มีอายุตั้งแต่15ปีลงมา

 

พจนานุกรมนิยามคำว่า Child หมายถึง ผู้อ่อนวัย หรือ ผู้มีอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยรุ่น ส่วนคำว่า Pediatrics หมายถึง การแพทย์สาขาที่ให้การรักษาดูแลผู้ป่วยเด็ก บางโรงพยาบาลอาจครอบคลุมถึงกลุ่มผู้ป่วยวัยรุ่นด้วย

 

ในทางการแพทย์ในประเทศไทย ‘เด็ก’ คือผู้ที่มีอายุไม่เกิน 14 ปีบริบูรณ์ หรือเมื่อใช้คำนำหน้าชื่อว่า ‘เด็กหญิงหรือเด็กชาย’ เมื่อมีการเจ็บป่วยและพบแพทย์ เมื่อเป็นโรงพยาบาลใหญ่ซึ่งมีแพทย์เฉพาะทาง ผู้ป่วยจะถูกจัดให้ได้รับการดูแลรักษาจาก แพทย์และพยาบาล ในสาขาโรคเด็ก หรือ กุมารเวช แต่เมื่อใช้คำนำหน้าชื่อว่า ‘นาง นางสาว หรือ นาย’ เมื่อมีการเจ็บป่วยพบแพทย์จะได้รับการดูแลรักษาจาก แพทย์ พยาบาล ในแผนกอายุรกรรม

 

ทั้งนี้ นิยามคำว่า ‘เด็ก’ และในการดูแลรักษาผู้ป่วยเด็ก แตกต่างกันบ้างเล็กน้อยในแต่ละประเทศ องค์กร และแต่ละโรงพยาบาล ตัวอย่างนิยามคำว่า’เด็ก’ เช่น

  • เด็กแรกเกิด หรือ ทารกแรกเกิด หรือ เด็กแดง (Newborn หรือ Neonate หรือ Infant): หมายถึงเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 28 วันหรือ 1 เดือน
  • เด็กอ่อน (Infant) หมายรวมได้ถึงเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี
  • เด็กวัยเตาะแตะ (Toddler): คือช่วงอายุประมาณ 1 - 3 ปี
  • เด็กก่อนวัยเรียน หรือ เด็กเล็ก (Preschool age): คือช่วงอายุประมาณ 3 -5 ปี
  • เด็กวัยเรียน(School age): คือช่วงอายุประมาณ 5 - 12ปี
  • เด็กโต ซึ่งอาจเรียกว่า วัยก่อนวัยรุ่น (Preadolescence หรือ Pre-teen หรือTween): คืออายุช่วงประมาณ 10-13ปี และ
  • เด็กวัยรุน หรือวัยรุ่น (Adolescence หรือ Puberty): คือช่วงอายุประมาณ 12 - 19 ปี

 

อนึ่ง: การแบ่งเด็กเป็นวัยต่างๆนั้น เนื่องจากเด็กเป็นวัยที่ร่างกายและจิตใจยังเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ ร่างกายและจิตใจจึงมีการเจริญเติบโตและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละช่วงวัยดังกล่าว และแตกต่างกับผู้ใหญ่ การแยกเด็กเป็นวัยต่างๆจึงช่วย แพทย์ พยาบาลให้การดูแลรักษาพยาบาลเด็กได้อย่างเหมาะสมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

 

ทำไมต้องแยกเป็นโรคเด็กและโรคผู้ใหญ่?

โรคเด็ก

เด็ก เป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตและการพัฒนาทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ยังต้องพึ่งพา ผู้ปกครอง ดูแลตนเองไม่ได้หรือได้น้อย เข้าใจอาการ และการตรวจรักษาไม่ได้หรือได้น้อยหรือไม่เข้าใจ บอกเล่าอาการของโรคไม่ได้หรือได้น้อยและไม่ชัดเจน ทั้งนี้ขึ้นกับช่วงวัย ดังนั้นการสอบถาม ประวัติทางการแพทย์ การตรวจร่างกาย และขั้นตอนในการวินิจฉัยโรค จึงแตกต่างจากผู้ใหญ่ และต้องมีผู้ปกครองคอยช่วยเหลือดูแล

 

อวัยวะต่างๆของเด็ก โดยเฉพาะ ตับ ไต สมอง ยังไม่สมบูรณ์ การใช้ยาต่างๆจึงแตกต่างจากในผู้ใหญ่มาก ปริมาณยา (Dose) จึงต้องขึ้นกับทั้ง ช่วงอายุ น้ำหนักตัว และส่วนสูง

 

จากการที่อวัยวะต่างๆของเด็กยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่นี่เอง รวมทั้งเป็นผู้ที่มีอายุขัยยืนยาว มากกว่าในผู้ใหญ่มาก ดังนั้นผลข้างเคียงจากการรักษาจึงมีโอกาสเกิดได้สูงกว่าในผู้ใหญ่ และอาจส่งผลกระทบถึงคุณภาพชีวิตของเด็กเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้

 

นอกจากนั้น ต่างๆของเด็กมักแตกต่างจากโรคของผู้ใหญ่ ถึงแม้บางชนิดอาจเหมือนกันก็ตาม และจากการที่เนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคในเด็กต่ำกว่าในผู้ใหญ่ โรคในเด็กจึงมักมีความรุนแรงมากกว่าในผู้ใหญ่ ดังนั้น ขั้นตอนและวิธีดูแลรัก ษาผู้ป่วยเด็กจึงแตกต่างจากในผู้ใหญ่

 

ด้วยเหตุผลทั้งหมด ทางการแพทย์จึงแยกผู้ป่วยเป็น ผู้ป่วยเด็กและผู้ป่วยผู้ใหญ่ นอกจากนั้น ในอนาคต อาจแยกผู้ป่วยเด็กออกเป็น ผู้ป่วยเด็ก และผู้ป่วยวัยรุ่น ทั้งนี้เพราะวัยรุ่นเป็นอีกวัยที่มีความเฉพาะตัว กึ่งเด็กกึ่งผู้ใหญ่ และเป็นผู้ป่วยที่ไม่อยากได้รับการรักษาแบบเด็ก แต่ก็ยังดูแลตนเองไม่ได้เต็มร้อย จึงดูแลรักษาเหมือนในผู้ใหญ่ไม่ได้เต็มที่ การดูแลรักษาจึงกึ่งเด็กกึ่งผู้ใหญ่

 

โรคเด็กต้องรักษาด้วยหมอเด็กเท่านั้นใช่ไหม?

โรคเด็ก ไม่จำเป็นต้องรักษากับหมอเด็ก(กุมารแพทย์)เสมอไป แพทย์ทุกสาขาสามารถดูแลผู้ป่วยเด็กได้ทุกคน เพราะในการเรียนแพทย์ แพทย์ทุกคนต้องผ่านการเรียนการสอนในเรื่องของโรคเด็กเป็นวิชาหลักวิชาหนึ่งเสมอ แต่เมื่อเป็นโรคที่ซับซ้อนจึงสมควรเป็นการรักษาจากแพทย์เฉพาะ ทางโรคเด็ก ซึ่งแพทย์ที่ดูแลเด็กอยู่ในขณะนั้นมักจะเป็นผู้แนะนำผู้ปกครองเสมอ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ปกครองมีความสะดวกกว่าในการพบหมอเด็กหรือในโรงพยาบาลที่มีการแยกสาขาตรวจ เมื่อเด็กป่วยก็พบหมอเด็กได้เลยตั้งแต่แรก

 

โรคเด็กมีสาเหตุจากอะไร? พบโรคอะไรได้บ้าง?

โรคของเด็ก มีสาเหตุเช่นเดียวกับในโรคของผู้ใหญ่ เพียงแต่แตกต่างกันในอุบัติการณ์ (การพบได้มากหรือน้อย) โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคในเด็ก ที่พบบ่อยได้แก่

  • การติดเชื้อ: ซึ่งพบในเด็กได้สูงกว่าในผู้ใหญ่มาก และติดเชื้อได้หลากหลายชนิดมากกว่าในผู้ใหญ่ เพราะดังกล่าวแล้วว่าภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของเด็กต่ำกว่าในผู้ใหญ่จากเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ และจากยังสัมผัสโรคต่างๆน้อยกว่าผู้ใหญ่มาก ร่างกายจึงยังไม่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคเหล่านั้นที่เพียงพอ

    อนึ่ง โรคจากการติดเชื้อในเด็กพบได้จากเชื้อทุกชนิดเช่นเดียวกับในผู้ใหญ่คือ เชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา โปรโตซัว หรือสัตว์เซลล์เดียว (Protozoa) และพยาธิ แต่ที่พบได้บ่อยคือ จากไวรัส และแบคทีเรีย เช่นเดียวกับในผู้ใหญ่เช่นกัน

  • โรคจากติดเชื้อไวรัสที่พบบ่อยในเด็ก เช่น
    • โรคหวัด
    • โรคไข้หวัดใหญ่
    • โรคหัด
    • โรคหัดเยอรมัน
    • โรคคางทูม
    • โรคสมองอักเสบ
    • โรคไวรัสตับอักเสบทั้งชนิดเอ บี และซี (โรคไวรัสตับอักเสบ เอ โรคไวรัสตับอักเสบ บี และโรคไวรัสตับอักเสบ ซี) และ
    • โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • โรคจากติดเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อย เช่น
    • โรคไอกรน
    • โรคบาดทะยัก และ
    • โรคสมองอักเสบ
  • โรคแต่กำเนิด: ซึ่ง
    • พบได้ตั้งแต่แรกเกิดโดยมักเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น โรคธาลัสซีเมีย หรือ
    • จากการติดโรคหรือจากสุขภาพของมารดาในขณะตั้งครรภ์เช่น โรคหัดเยอรมัน โรคเบาหวานในเด็ก โรคตาขี้เกียจ/โรคตามัว โรคกลุ่มอาการดาวน์ (Down’s หรือ Down syndrome) การติดเชื้อเอชไอวี
  • โรคจากมีพัฒนาการบกพร่อง: ซึ่งสาเหตุที่แน่ชัดยังไม่ทราบเช่น เด็กสมาธิสั้น หรือไฮเปอร์ หรือเอดีเอชดี (ADHD: Attention deficit hyperactivity disorder) และโรคออทิสติก (Autistic)
  • โรคจากอุบัติเหตุต่างๆ: เพราะเด็กซุกซนและยังดูแลตนเองไม่ได้เช่น แผลจากหกล้ม การถูกแมลงสัตว์กัดต่อย และการจมน้ำ
  • โรคในระบบอวัยวะต่างๆเช่นเดียวกับในผู้ใหญ่: แต่พบเกิดน้อยกว่ามาก เช่น
    • โรคไขมันในเลือดสูง
    • โรคไตเรื้อรัง และ
    • โรคเบาหวานในเด็ก
  • โรคขาดอาหาร: เพราะเด็กหาอาหารกินเองยังไม่ได้ต้องพึ่งพา จึงพบโรคเด็กขาดอาหารสูงกว่าในผู้ใหญ่มากโดยเฉพาะในเด็กแรกเกิดและในเด็กอ่อน
  • โรคมะเร็ง: ซึ่งพบได้ในทุกอายุของเด็ก ตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์จนถึงเด็กโต ทั้งนี้โรคมะเร็งในเด็ก มีทั้ง
    • ชนิดแตกต่างจากในผู้ใหญ่: เช่น โรคมะเร็งตาในเด็ก (โรคตาวาว), โรคมะเร็งไตในเด็ก /มะเร็งวิมทูเมอร์ (Wilms’ tumor), และโรคมะเร็งสมองชนิดเมดัลโล บลาสโตมา(Medulloblastoma) และ
    • ชนิดเหมือนกับในผู้ใหญ่: เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเอแอลแอล, และโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

 

รักษาโรคเด็กอย่างไร?

วิธีการรักษาโรคในเด็กเช่นเดียวกับในผู้ใหญ่ ได้แก่

  • การผ่าตัด: เมื่อเป็นโรคที่ต้องผ่าตัด เช่น ในโรคไส้ติ่งอักเสบ
  • การรักษาด้วยยาต่างๆ เช่น
    • การให้ยาปฏิชีวนะเมื่อเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
    • การให้ยารักษาเบาหวานเมื่อป่วยเป็นโรคเบาหวาน
  • การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น
    • ยาลดไข้ กรณีมีไข้ ซึ่งต่างจากในผู้ใหญ่คือ เด็กอาจแพ้ยาลดไข้ ‘แอสไพริน’ได้อย่างรุนแรง เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ (แนะนำอ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง การแพ้ยาแอสไพริน หรือ กลุ่มอาการราย) ดังนั้นยาลดไข้ในเด็กจึงควรเป็นยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ซึ่งการให้ยาในเด็ก จำเป็นต้องให้ปริมาณยาตามช่วงอายุ น้ำหนักตัว และส่วนสูง ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้กำหนดได้เหมาะสมที่สุด
    • นอกจากนั้นคือ การรักษาประคับประคองตามอาการอื่นๆซึ่งเช่นเดียวกับในผู้ใหญ่เช่น การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเมื่อเด็กกินไม่ได้หรือมีภาวะขาดน้ำ เป็นต้น

 

*อนึ่ง การดูแลรักษาผู้ป่วยเด็กที่แตกต่างอย่างมากจากผู้ใหญ่ คือ ผู้ปกครองต้องดูแลเอาใจใส่ เป็นผู้สังเกตความผิดปกติต่างๆ และเป็นผู้แจ้ง แพทย์ พยาบาล แทนเด็ก เพราะดังกล่าวแล้วว่า เด็กไม่สามารถบอกเล่าอาการของตนเองได้ ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นปัจจัยที่ทำให้โรคในเด็กมักรุนแรงกว่าในผู้ใหญ่ เพราะเด็กป่วยมักพบแพทย์ล่าช้ากว่าในผู้ใหญ่

 

โรคเด็กรุนแรงไหม?

โรคเด็ก มักรุนแรงกว่าโรคของผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำกว่าในผู้ใหญ่ และเด็กบอกอาการตนเองไม่ได้ จึงมักเป็นสาเหตุให้พบแพทย์/มาโรงพยาบาลได้ล่าช้า

 

ดูแลเด็กป่วยอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

การดูแลเด็กป่วยที่สำคัญ และการพบแพทย์/มาโรงพยาบาล ได้แก่

  • ต้องคอยสังเกตอาการเด็กเสมอเพื่อรีบนำเด็กพบแพทย์/มาโรงพยาบาล
  • ต้องคอยดูแลไม่ให้เด็กขาดอาหาร และมีภาวะขาดน้ำ (ตาโหล ปากแห้ง ผิวหนังแห้ง ปัสสาวะน้อย ร้องไห้ไม่มีน้ำตา หรือไม่ปัสสาวะภายใน 4 - 6 ชั่วโมง)
  • กินยาต่างๆตามแพทย์แนะนำอย่างถูกต้องครบถ้วน ไม่ซื้อยาให้เด็กกินเองโดยไม่ได้ปรึกษา แพทย์ พยาบาล หรือเภสัชกร
  • เมื่อมีไข้นอกจากกินยาลดไข้แล้ว ต้องคอยเช็ดตัวเสมอเพื่อช่วยลดไข้ เพราะในเด็กเล็กเมื่อมีไข้สูงเด็กอาจจะชักได้
  • รีบนำเด็กพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเสมอภายใน 24 ชั่วโมงเมื่อ
    • เด็กมีอาการผิดปกติ และไม่ดีขึ้นหลังผู้ปกครองดูแลด้วยตนเอง
    • เมื่อไข้ลงแล้ว 1 - 2 วันแล้วกลับมามีไข้อีก
    • ผู้ปกครองกังวลในอาการของเด็ก
  • นำเด็กพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเป็นการฉุกเฉิน/ทันที เมื่อ
    • เด็กมีไข้สูง และไข้ไม่ลงหลังกินยาลดไข้พาราเซตามอล (Paracetamol)
    • หายใจเร็วและ/หรือหายใจลำบาก
    • ตัวเขียว มือ เท้า เขียวคล้ำ
    • ไม่กิน ไม่ดื่ม หรือกิน/ดื่มได้น้อย
    • มีอาการจากภาวะขาดน้ำ
    • กระสับกระส่าย สับสน ซึมและ/หรือชัก
    • อาการต่างๆที่เป็นอยู่เลวลง

 

ป้องกันโรคในเด็กได้อย่างไร?

การป้องกันโรคของเด็ก ที่สำคัญคือ

  • ปรึกษาแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์เสมอ เพื่อลดโอกาสเกิดโรคเด็กจากพันธุกรรม
  • ต้องฝากครรภ์เพื่อสุขภาพของมารดาและของทารกในครรภ์
  • ขณะตั้งครรภ์ต้องกินแต่ อาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ ให้ครบถ้วน หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปเช่น หมักดองและไส้กรอก ซึ่งนอกจากสารอาหารด้อยคุณภาพแล้ว ในขั้น ตอนการผลิตยังอาจมีสารก่อมะเร็งเจือปนได้เช่น สารไนโตรซามีน (Nitrosamine)
  • มารดาต้องไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์ และต้องไม่มีการสูบบุหรี่ในบ้าน หรือสูบบุหรี่มือสอง
  • บิดามารดาต้องมีความพร้อมของสุขภาพในการมีบุตรเพื่อลดโอกาสเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับพัฒนา การและปัญหาสุขภาพจิตในเด็ก
  • เด็กต้องได้รับอาหารตามช่วงวัยที่ถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์พยาบาล
  • สอนตั้งแต่เริ่มรู้ความให้เด็กรู้จัก สุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อสุข ภาพกายและสุขภาพจิตที่แข็งแรงของเด็ก
  • ดูแลป้องกันการเกิดอุบัติเหตุของเด็ก และสอนเด็กรู้จักการระมัดระวังอุบัติเหตุในชีวิตประจำวันและในการเล่นต่างๆตั้งแต่เริ่มรู้ความ
  • เด็กต้องได้รับวัคซีนพื้นฐานตามคำแนะนำของ แพทย์ พยาบาล และกระทรวงสาธารณสุขตั้งแต่แรกเกิด เช่น
    • วัคซีนโรคตับอักเสบบี
    • วัคซีนโรคหัด
    • วัคซีนโรคคางทูม
    • วัคซีนโรคหัดเยอรมัน
    • วัคซีนโรคบาดทะยัก
    • วัคซีนโรคไอกรน
    • วัคซีนโรคคอตีบ
    • วัคซีนวัณโรค/ วัคซีนบีซีจี

 

บรรณานุกรม

  1. ศรีศุภลักาณื สิงคาลวณิช, ชัยสิทธิ์ แสงทวีสิน, สมจิต ศรีอุดมขจร, และสมใจ กาญจนาพงศ์กุล.(2549). ปัญหาโรคเด็กที่พบบ่อย. กทม: สำนักพิมพ์กรุงเทพเวชสาร
  2. https://medical-dictionary.thefreedictionary.com/child [2019,April13]
  3. https://en.wikipedia.org/wiki/Infant [2019,April13]
  4. https://en.wikipedia.org/wiki/Toddler [2019,April13]
  5. https://en.wikipedia.org/wiki/Preschool [2019,April13]
  6. https://www.stanfordchildrens.org/en/topic/default?id=the-growing-child-school-age-6-to-12-years-90-P02278&sa=U&ei=eMq7VNe2I8_4yQSX-oCwAw&ved=0CEIQFjAI&usg=AFQjCNFn5tO-78ISMzUno4_7cO4dCvft1Q [2019,April13]
  7. https://en.wikipedia.org/wiki/Preadolescence [2019,April13]