โรคภัยไข้เจ็บ ตอนที่ 66 – บทสรุปอาหารการกิน (1)
- โดย ดร. วิทยา มานะวาณิชเจริญ
- 15 พฤษภาคม 2567
- Tweet
- เพิ่มสัดส่วน (Proportion) อาหารที่ประกอบด้วยพืชในมื้ออาหารให้ถึง 50% กล่าวคือ ครึ่งจานอาหาร ต้องประกอบด้วยพืช ให้กินผัก (Vegetable) และผลไม้ (Fruit) แทนของว่าง (Snack) ก็ดีถ้าจำเป็น การเพิ่มผลไม้และผักไม่ได้หมายความว่าจะต้องเลิก (Give up) บริโภคเนื้อสัตว์ถ้าเราชอบ แม้ว่าการศึกษาจะแสดงให้เห็นว่าการบริโภคเนื้อสัตว์เพิ่มความเสี่ยง (Risk) ต่อโรคหัวใจ ความเสี่ยงโดยรวม (Overall) นั้นยังต่ำ และการบริโภคปลาดูเหมือนจะไม่เพิ่มความเสี่ยงนี้ ดังนั้น หากชอบผลิตภัณฑ์ (Product) จากสัตว์ วิธีการที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ (Practical approach) ก็คือ ลด (Lessen) ปริมาณเนื้อสัตว์แดง (Red meat) โดยกินเนื้อไก่แทน และจะดีขึ้นอีก ถ้าเป็นเนื้อปลา หากเป็นไปได้ ลองซื้อพืชผล (Produce) ที่ปลูกตามธรรมชาติ (Organic) ในท้องถิ่นมากขึ้น มีรายงานว่า วัว-ควาย (Cattle) ส่วนมากของวงโคจรในการเกษตร-อุตสาหกรรม ได้รับอาหารที่มีเมล็ดที่ปรับปรุงด้วยยาปฏิชีวนะ (Anti-biotics) และสารฮอร์โมน (Hormone) ในขณะที่สัตว์ที่ได้รับอาหารจากหญ้าธรรมชาติ จะผลิตไขมันที่ดีต่อสุขภาพและมีระดับวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) ที่สูงในเนื้อ, นม, และไข่ของพวกเขา เหตุการณ์นี้ยังใช้ได้กับปลาตามธรรมชาติ (Wild fish) ซึ่งโดยทั่วไปจะมีแคลอรีและไขมันอิ่มตัว (Saturated fat) น้อยลง และมีสารมลพิษ (Pollutant) และสารปนเปื้อน (Contaminant) น้อยกว่าปลาเลี้ยง (Farmed fish)
- รับประทานอาหารจริง (Real) โดยเน้นไปที่คำว่า “จริง” พยายามรับประทานอาหารในรูปแบบธรรมชาติของมัน มีการแปรรูป (Processed form) ที่น้อยมาก อย่าบริโภคข้าวกรอบ (Cereal) ที่หวาน (Sweetened) และพร้อมด้วยสีที่เป็นสารเทียม (Artificial) ลองข้าวกรอบธรรมชาติหรือข้าวโอ้ต (Oat), ลองกินไก่ที่ยังไม่ได้รับการเตรียม (Unprepared) แทนการเนื้อไก่ชนิดที่แช่แข็ง (Frozen), เตรียมไว้ล่วงหน้า, และพร้อมเข้าเตาอบไมโครเวฟ (Ready-to-microwave) ในการทดแทนน้ำโซดา ลองดื่มน้ำเปล่า ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการลดการบริโภค (Intake) น้ำตาลด้วย เพราะมีน้ำตาลจากเครื่องดื่ม (Beverage) ที่หวาน อีกจุดเริ่มต้นที่ดี คือการลดปริมาณน้ำเชื่อมจากข้าวโพ (Corn syrup) ที่เรามักรับประทาน, จำกัดการบริโภคอาหาร [ฝรั่ง] จานด่วน (Fast food), และให้ความสำคัญ (Prioritize) กับการรับประทานอาหารที่บ้าน ลองซื้อผลไม้ (Fruit) และผัก (Vegetable) ที่ปลูกตามธรรมชาติ, เลือกผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่ไม่ได้ถูกจำกัดในคอก (Cage-free) แต่กินหญ้าตามธรรมชาติ หากเป็นไปได้ ขอย้ำว่า นี่ไม่ใช่คำแนะนำอย่างสมบูรณ์แบบ (Absolute) และไม่จำเป็นต้องทำสำหรับทุกมื้ออาหารตลอดเวลา จงเลือกทางสายกลาง (Moderation)
ในทางปฏิบัติ อาจมีข้อจำกัดทางการเงิน (Financial constraint) และบางข้อแนะนำ อาจไม่สามารถทำได้สำหรับบางครัวเรือน (Household) แต่ที่น่าสนใจ ก็คือตั้งแต่ พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา เปอร์เซ็นต์ของรายได้ (Income) ที่ชาวอเมริกัน ใช้ในการซื้ออาหารลดลงมากกว่า 40% สหรัฐอเมริกาเป็นเพียงประเทศรายได้สูงเดียว ที่การใช้จ่ายในอาหารน้อยกว่ารายได้ที่สามารถใช้ได้ (Disposable income) ของบุคคล ซึ่งหมายความว่าสหรัฐอเมริกามีอาหารราคาประหยัด (Affordable) ที่สุด ในบรรดาประเทศอุตสาหกรรม ถ้าชาวอเมริกันบริโภค (Consume) อาหารน้อยลง เขาก็จะมีทางเลือก (Option) ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพได้มากขึ้น เขาสามารถลำดับความสำคัญ (Prioritize) ของอาหารใหม่ โดยเฉพาะค่าใช้จ่าย (Expenditure) สำหรับการดูแลสุขภาพ (Health-care) ได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าตั้งแต่ พ.ศ. 2513 โดยที่ค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพของชาติ (ต่อคน [Per capita]) เพิ่มขึ้นมากกว่า 6 เท่า ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารในรูปแบบที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น
แหล่งข้อมูล –