โรคปริทันต์ หรือ โรครำมะนาด (Periodontal Disease)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ: คือ โรคอะไร? พบบ่อยไหม?

โรคปริทันต์ หรือ โรครำมะนาด(Periodontal Disease) คือ โรคอักเสบเรื้อรังของเนื้อเยื่อทุกชนิดที่อยู่ล้อมรอบฟันซึ่งเรียกว่า ‘เนื้อเยื่อปริทันต์ที่รวมเหงือกด้วย(ซึ่งจะกล่าวในหัวข้อถัดไป ’เนื้อเยื่อปริทันต์คืออะไร?’) ’ ส่งผลให้เกิดปัญหาของ เหงือก, ฟัน, เหงืออักเสบจนอาจถึงขั้นเป็นหนอง, ฟันโยกคลอน, ฟันหัก, จน ในที่สุดอาจลุกลามเป็นกระดูกกรามอักเสบติดเชื้อ, และโรคนี้ยังสัมพันธ์กับการก่อให้เกิดอาการรุนแรงของโรคอื่นๆที่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular disease / โรคหัวใจ2 ในเว็บhaamor.com), โรคเบาหวาน, สุขภาพมารดาขณะตั้งครรภ์ที่รวมถึงทารกในครรภ์, และเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งช่องปาก

โรคปริทันต์ เป็นโรคพบบ่อย ประมาณ 20-50%ของประชากรทั่วโลก พบทุกเพศ แต่พบในเพศชายบ่อยกว่าเพศหญิง พบบ่อยในช่วง วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และวัยผู้สูงอายุ พบน้อยในวัยเด็ก

เนื้อเยื่อปริทันต์คืออะไร?:

เนื้อเยื่อปริทันต์ (Periodontium) คือ กลุ่มเนื้อเยื่อหลายชนิดที่อยู่ล้อมรอบๆฟัน ได้แก่

  • เหงือก
  • เนื้อเยื่อเอ็นที่ยึดฟันให้ติดกับกระดูกเบ้าฟัน/กระดูกกรามส่วนที่รองรับฟัน(Periodontal fiber ย่อว่า PDL)
  • ซีเม็นตัม/ สารเคลือบรากฟัน(Cementum, สารที่มีส่วนประกอบของแคลเซียมที่ทำหน้าที่เป็นซีเม็นที่เคลือบรากฟันเพื่อช่วยการยึดเกาะของฟันกับเบ้ากระดูกกราม)
  • และส่วนของกระดูกกรามที่มีหน้าที่รองรับฟัน(Alveolar process หรือ Alveolar bone)

ทั้งนี้ หน้าที่ของเนื้อเยื่อปริทันต์ คือ เพื่อช่วยให้ฟันมีประสิทธิภาพในการทำงานบดเคี้ยวอาหาร และช่วยไม่ให้ฟันเกิดการโยกคลอน โดย

  • ช่วยพยุงฟันและช่วยการยึดติดของฟันกับกระดูกกราม
  • ช่วยฟันรับน้ำหนักจากการบดเคี้ยว
  • เป็นทางผ่านของหลอดเลือดที่เลี้ยงเหงือกและฟัน
  • เป็นเนื้อเยื่อส่วนรับรู้ความรู้สึก เมื่อมีปัญหากับเหงือกและฟัน เช่น เจ็บ ปวด

อนึ่ง:

  • Periodontium มาจากภาษากรีก โดย Peri แปลว่า รอบๆ ส่วน odon แปลว่า ฟัน
  • ชื่อภาษาอังกฤษที่คนทั่วไปใช้เรียกโรคนี้ คือ โรคเหงือก(Gum disease)
  • เมื่อโรคนี้มีการอักเสบติดเชื้อที่รุนแรง จะเรียกว่า ‘ปริทันต์อักเสบ (Periodontitis)’ หรือชื่อทั่วไป คือ ‘โรครำมะนาด’ ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554ให้ความหมายว่า ‘ชื่อโรคชนิดหนึ่ง เกิดตามรากฟัน ทำให้เหงือกบวมเป็นหนอง’

โรคปริทันต์เกิดได้อย่างไร?

โรคปริทันต์

ในช่องปากของเรามีเชื้อโรคชนิดต่างๆมากมายอาศัยอยู่ร่วมกับเราเป็นปกติ เรียกว่าเป็นเชื้อโรคประจำถิ่น(Normal flora)ทั้ง แบคทีเรีย เชื้อไวรัส (โรคติดเชื้อไวรัส) และ เชื้อรา (โรคเชื้อรา)

อย่างไรก็ตาม แบคทีเรียในช่องปากเป็นเชื้อหลักเกือบทั้งหมดที่ทำให้เกิดโรคปริทันต์ ทั้งนี้แบคทีเรียบางชนิดจะเจริญได้ดีในสภาพเป็นกรด ซึ่งอาหารที่บูดเน่าโดยเฉพาะแป้งและน้ำตาลเป็นอาหารกลุ่มที่จะทำให้เกิดกรดได้สูงเมื่อบูดเน่า อาหารบูดเน่าเหล่านี้เมื่อสะสมในช่องปากมักจะตกค้างอยู่ที่เนื้อเยื่อปริทันต์ ส่งผลให้เกิดเป็นคราบแบคทีเรียเกาะจับอยู่ตามเนื้อเยื่อเหล่านี้ที่เรียกว่า แผ่นคราบจุลินทรีย์ หรือไบโอฟิล์ม/Biofilm(หรือทั่วไปเรียกว่า หินปูน/คราบหินปูน/หินน้ำลาย หรือ พลาค/Dental plaque)ที่ส่งผลก่อให้เนื้อเยื่อปริทันต์เกิดการอักเสบ

นอกจากนี้ แร่ธาตุต่างๆทั้งในน้ำลายและในอาหารที่รวมถึงแคลเซียม/หินปูนจะเข้าไปจับในแผ่นคราบจุลชีพหรือจุลินทรีย์นี้ เกิดเป็นคราบหินปูนที่ยิ่งช่วยก่อการระคายเคือง การอักเสบ และการทำลายต่อเนื้อเยื่อปริทันต์จนส่งผลให้เกิด ‘โรคปริทันต์’ คือ การอักเสบเรื้อรังต่อเนื้อเยื่อปริทันต์ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษา จุลินทรีย์และคราบหินปูนจะค่อยๆทำลายเนื้อเยื่อปริทันต์, ฟัน, และรากฟัน จนเกิดการหลุดร่วงของฟัน นอกจากนั้น แบคทีเรียที่ก่อโรคปริทันต์นี้ สามารถเข้าสู่กระแสเลือดและเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดการอักเสบรุนแรงของโรคต่างๆอวัยวะต่างๆได้ทั่วร่างกาย ที่อาจเป็นสาเหตุให้ถึงตายได้ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด(โรคหัวใจ2ในเว็บhaamor.com) เป็นต้น

อะไรเป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคปริทันต์?

สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคปริทันต์มีหลากหลาย ที่สำคัญได้แก่

  • อายุตั้งแต่ 60ปีขึ้นไป: เนื่องจากมีการเสื่อมตามธรรมชาติของเซลล์ทุกชนิดรวมทั้งเซลล์เนื้อเยื่อปริทันต์
  • เพศ: พบโรคนี้ในเพศชายสูงกว่าเพศหญิง อาจเพราะ เพศชายมัก ดื่มสุรา สูบบุหรี่
  • พันธุกรรม: พบว่าบางคนมีพันธุกรรมที่เกิดหินปูนได้ง่ายและในปริมาณมาก แต่บางคนเกิดได้น้อย หรือน้อยมากๆ
  • สูบบุหรี่: เพราะสารพิษจากควันบุหรี่ก่อการระคายเคือง/การอักเสบต่อเนื่องต่อเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆในช่องปากที่รวมถึงเนื้อเยื่อปริทันต์ และยังช่วยเพิ่มปริมาณ แบคทีเรียในช่องปาก
  • ดื่มสุรา: เพราะแอลกอฮอล์ก่อ การระคายเคือง การอักเสบ ของเนื้อเยื่อปริทันต์
  • กินอาหารไม่มีประโยชน์เป็นประจำ
  • สุขภาพช่องปากและฟันไม่ดีจากขาดการดูแลสุขอนามัยช่องปาก
  • ความเรียด: เพราะในภาวะเครียด ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายจะลดต่ำลง เกิดการติดเชื้อต่างๆได้ง่ายรวมถึงเนื้อเยื่อปริทันต์
  • โรคเบาหวาน: เพราะตัวโรคมีผลทั้งต่อการมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ และยังส่งผลในเนื้อเยื่อทุกชนิดมีการอักเสบต่อเนื่อง
  • โรคอ้วน: เพราะในคนอ้วนมักมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ
  • ปากคอแห้งมากเรื้อรัง
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด ที่ทำให้ปากแห้งมาก เช่น ยาลดความดันโลหิตสูงบางชนิด

โรคปริทันต์มีอาการอย่างไร?

อาการของโรคปริทันต์ มีได้หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอาการ ที่พบบ่อย เช่น

  • เหงือก บวม แดง เลือดออกง่าย สังเกตจากมักมีเลือดออกที่เหงือกขณะแปรง ฟัน
  • เหงือกบวม เป็นๆหายๆบ่อย
  • มีแผลที่เหงือก เจ็บ อาจเลือดออก และแผลไม่หาย/ไม่ดีขึ้นใน 1-2สัปดาห์หลังการดูแลตนเอง หรือแผลเลวลงเรื่อยๆ
  • มีกลิ่นปากเรื้อรัง
  • เสียวฟันมากผิดปกติโดยเฉพาะเมื่อดื่มน้ำเย็น หรือน้ำอุ่น ของรสเปรี้ยว และเป็นอาการที่เกิดต่อเนื่องถึงแม้จะดูแลตนเองแล้ว
  • เหงือกร่นมาก
  • มีร่องระหว่างเหงือกและฟัน/ซอกฟันหลวม เศษอาหารตกค้างง่าย
  • ปวดฟันบ่อย ปวดฟัน เจ็บเหงือกผิดปกติเมื่อเคี้ยวของแข็ง
  • ฟันแตกง่าย
  • ปากคอแห้งมากเรื้อรัง โดยเฉพาะปากแห้งเหตุน้ำลายน้อย
  • ฟันโยกคลอน
  • กรณีอาการรุนแรง/ติดเชื้อรุนแรง จะมี
    • ใบหน้าบวม และ
    • อาจมีไข้ มีได้ทั้งไข้สูง หรือไข้ต่ำๆ

ควรพบแพทย์เมื่อไร?

ควรพบแพทย์/ทันตแพทย์ เมื่อมีอาการดังกล่าวใน’หัวข้อ อาการฯ’ เพื่อการตรวจช่องปาก เพื่อแพทย์/ทันตแพทย์ให้คำปรึกษา แนะนำ และดูแลรักษาตั้งแต่เริ่มเกิดโรค

แพทย์วินิจฉัยโรคปริทันต์ได้อย่างไร?

แพทย์/ทันตแพทย์วินิจฉัยโรคปริทันต์ได้จาก

  • การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญเช่น อาการ การกินอาหาร สูบบุหรี่ ดื่มสุรา โรคประจำตัว ประวัติการใช้ยาต่างๆ ฯลฯ
  • การตรวจช่องปากด้วยกระจกส่อง และการใช้เครื่องมือต่างๆเพื่อช่วยตรวจความแข็งแรงของเนื้อเยื้อปริทันต์ เช่น เครื่องมือที่ใช้แหย่เข้าไปตามซอกต่างๆ(Probe)เพื่อตรวจดูความแข็งแรงและความผิดปกติ/ความหลวมของซอกฟัน
  • อาจมีการสืบค้นอื่นๆเพิ่มเติมตามอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์/ทันตแพทย์ เช่น
    • การเอกซเรย์ฟัน หละ/หรือเอกซเรย์กระดูกกราม
    • หรือบางกรณีอาจต้องตรวจช่องปากด้วย เอกซเรย์คอมพิวเตอร์/ ซีทีสแกน และ/หรือเอมอาร์ไอ เป็นต้น

โรคปริทันต์มีการพยากรณ์โรคอย่างไร ?

โรคปริทันต์จัดเป็นโรคเรื้อรังที่ถ้าไม่ได้รับการรักษา โรคจะรุนแรง และมีการพยากรณ์โรคไม่ดี จะเกิดปัญหา

  • โรคของช่องปาก
  • ฟันหัก/สูญเสียฟันก่อนเวลาอันควร และ
  • เป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดโรค/อาการโรคที่รุนแรงได้หลายโรคที่เป็นสาเหตุให้ถึงตายได้ เช่น ภาวะติดเชื้อในกระแสโลหิต, โรคหัวใจและหลอดเลือด (โรคหัวใจ2) , มะเร็งช่องปาก

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพบทันตแพทย์ตั้งแต่แรกหรือพบทันตแพทย์ดูแลช่องปากและฟันสม่ำเสมอ โรคปริทันต์ก็เป็นโรคที่รักษาควบคุมได้เป็นอย่างดี

ความรุนแรงของโรคปริทันต์

ความรุนแรงของโรคปริทันต์ แบ่งตามความรุนแรงของการลุกลามของโรค, และแบ่งตามอัตราความเร็วในการเกิดการลุกลามของโรค

ก. แบ่งตามความรุนแรงของการลุกลามของโรคได้เป็น 4 ระยะ(Stage) ได้แก่

  • ระยะที่1: ระยะเริ่มต้น/ความรุนแรงน้อย/ โรครุนแรงน้อย: โพรงซอกฟันลึกมากกว่า3มิลลิเมตร(มม.)แต่ไม่เกิน5มล. เมื่อตรวจด้วยProbeจะมีเลือดออกเสมอ, เอกซเรย์พบรากฟันเสียหายมากกว่า2มล. แต่ไม่เกิน3มม., และฟันคลอนจากเบ้าฟัน1-2มม.
  • ระยะที่2: ความรุนแรงปานกลาง:โพรงซอกฟันลึกตั้งแต่5มม.ขึ้นไปแต่น้อยกว่า7มม., เมื่อตรวจด้วยProbeจะมีเลือดออกเสมอ, เอกซเรย์พบรากฟันเสียหายมากกว่า3มม.แต่ไม่เกิน5มม., ฟันคลอนจากเบ้าฟัน 3-4มม.
  • ระยะที่3: ความรุนแรงสูง: โพรงซอกฟันลึกตั้งแต่7มม.ขึ้นไป, เมื่อตรวจด้วยProbeจะมีเลือดออกเสมอ, เอกซเรย์พบรากฟันเสียหายมากกว่า5มม., ฟันคลอนจากเบ้าฟันตั้งแต่ 5มม.ขึ้นไป
  • ระยะที่4: ความรุนแรงสูงมาก: ความรุนแรงมากกว่าระยะ3, และฟันมีโอกาสหัก/หลุดสูง

ข.แบ่งตามอัตราการลุกลามของโรคได้เป็น 3 อัตรา(Grade) คือ

  • Grade A: โรคใช้ระยะเวลาลุกลามรุนแรง(เปลี่ยนระยะ/Stage อย่างช้าๆ)โดยในระยะ5ปีหลังเกิดโรคไม่พบการสูญเสียมวลกระดูกของ รากฟัน, เบ้าฟัน, และ/หรือกระดูกกราม
  • Grade B: โรคใช้เวลาในการเปลี่ยนระยะความรุนแรงรวดเร็วขึ้น คือ พบการสูญเสียมวลกระดูกฯแต่ขนาดน้อยกว่า 2 มม.ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่เกิดโรค
  • Grade C: โรคใช้เวลาเปลี่ยนระยะความรุนแรงรวดเร็วขึ้นเป็นอย่างมากจนถึงขีดอันตราย คือมีการสูญเสียมวลกระดูกฯมากกว่า 2 มม.ในช่วงระยะเวลา 5 ปี

ความสัมพันธ์ระหว่างโรคปริทันต์กับโรค/ภาวะต่างๆของร่างกาย

โรคปริทันต์มักเกิดสัมพันธ์กับโรค/ภาวะต่างๆของร่างกายที่อาจก่อให้เกิดอันตรายจนถึงแก่ความตายได้ ซึ่งแพทย์เชื่อว่า กลไกการเกิดโรค/ภาวะต่างๆเหล่านี้มีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ

โรค/ภาวะผิดปกติอื่นๆที่มีความสัมพันธ์กับโรคปริทันต์: ที่พบบ่อย คือ

  • โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular disease/ โรคหัวใจ2 จากเว็บ haamor.com): การศึกษาต่างๆรายงานตรงกันว่า โรคปริทันต์เป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้สูงประมาณ20% และจะสูงขึ้นเป็นประมาณ 40%ในคนอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ทั้งนี้รวมไปถึงการเกิด อัมพาติ/ โรคหลอดเลือดสมอง
  • กลุ่มอาการเมตาโบลิก: การศึกษาพบว่าโรคในกลุ่มนี้ โดยเฉพาะ โรคเบาหวาน และโรคอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคปริทันต์
  • โรคข้อรูมาตอยด์: เพราะโรคข้อรูมาตอยด์มีสาเหตุจากร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดปกติ ผู้ป่วยจึงเกิดโรคปริทันต์ได้ง่าย และมักเป็นชนิดรุนแรงเพราะมักส่งผลให้เกิดกระดูกเบ้าฟันถูกทำลายและฟันโยกคลอน จนเกิดฟันหลุดได้สูง
  • โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง : การศึกษาพบว่า ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคปริทันต์ได้สูงกว่าคนทั่วไป และในขณะเดียวกันก็พบว่าผู้ป่วยโรคปริทันต์เป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังด้วย ซึ่งแพทย์เชื่อว่า แบคทีเรียที่ก่อโรคปริทันต์และแบคทีเรียที่ก่อการติดเชื้อในโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมีความสัมพันธ์กันหรืออาจเป็นกลุ่มเดียวกัน
  • โรคไตเรื้อรัง: หลายการศึกษาพบว่า โรคปริทันต์เป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคไตเรื้อรัง และโรคไตเรื้อรังก็เป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคปริทันต์ รวมถึงเมื่อเป็นโรคไตเรื้อรังและเกิดโรคปริทันต์ขึ้นพบว่า โรคปริทันต์จะเป็นสาเหตุการตายของผู้ป่วยโรคไตฯได้สูงกว่าในผู้ป่วยโรคไตฯที่ไม่มีโรคปริทันต์
  • โรคสมอง: การศึกษาพบความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดโรคสมองกับโรคปริทันต์ โดยพบว่า โรคปริทันต์ที่มีการอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดโปรตีนผิดปกติบางชนิดที่จะไปจับในเนื้อเยื่อสมองที่ส่งผลให้เกิดภาวะสมองเสื่อมได้
  • มะเร็งช่องปาก: โรคปริทันต์เกิดจากมีการอักเสบเรื้อรังของเนื้อเยื่อปริทันต์ ซึ่งการอักเสบเรื้อรังของเนื้อเยื่อทุกชนิดรวมถึงเนื้อเยื่อปริทันต์เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เนื้อเยื่อ/เซลล์ที่อักเสบเหล่านั้นกลายพันธ์เป็นเซลล์มะเร็งได้ คือ มะเร็งช่องปากนั่นเอง
  • การตั้งครรภ์: การศึกษาพบว่า การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศในระหว่างตั้งครรภ์ รวมถึงภูมิคุ้มกันต้านทานโรคที่ลดลง เป็นปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคปริทันต์ แต่ปัจจัยเสี่ยงนี้จะค่อยๆลดลงหลังคลอดเมื่อฮอร์โมนเพศกลับมาปกติ นอกจากนี้ ในขณะตั้งครรภ์ การเกิดโรคปริทันต์ จะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อ การเกิดการติดเชื้อของมารดาได้ง่ายที่รวมถึงโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ, การคลอดก่อนกำหนด, และรวมไปถึง ภาวะทารกน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์

มีแนวทางรักษาโรคปริทันต์อย่างไร?

แนวทางการรักษาโรคปริทันต์ คือ การรักษาควบคุมสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง, การรักษาเนื้อเยื่อปริทันต์ที่อักเสบ, และ การดูแลรักษาช่องปากและฟันเพื่อไม่ให้เกิดโรคปริทันต์ซ้ำ และ/หรือเพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามรุนแรงจนต้องสูญเสียฟันและ/หรือเป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดเป็นโรคต่างๆที่เป็นอันตรายดังได้กล่าวใน’ หัวข้อ ความสัมพันธ์ระหว่างโรคปริทันต์กับโรค/ภาวะต่างๆของร่างกาย’

ก. การรักษาสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง: จะแตกต่างกันในแต่ละผู้ป่วยตามแต่ละสาเหตุ (แนะนำอ่านรายละเอียดแต่ละโรคที่เป็นสาเหตุที่รวมถึงวิธีรักษาเพิ่มเติมได้จากเว็บ haamor.com)

ข. การรักษาเนื้อเยื่อปริทันต์ที่อักเสบ: มีหลากหลายวิธี ขึ้นกับความรุนแรงของอาการ และดุลพินิจของแพทย์/ทันตแพทย์ ซึ่งการรักษาโรคปริทันต์ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานหลายสัปดาห์ และต้องเป็นการรักษาต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์/ทันตแพทย์ การรักษาต่างๆ เช่น

  • การใช้ยาปฏิชีวนะ
  • การขูดหินปูน
  • การรักษาเหงือกอักเสบ
  • การรักษารากฟัน, และ
  • ในที่สุดอาจรวมไปถึงหัตการทางศัลยกรรมช่องปาก

ค. การดูแลรักษาโรคกลับเป็นซ้ำหรือเมื่อโรคปรับเปลี่ยนมีความรุนแรงโรคสูง: ได้แก่ การดูแลรักษาตามแพทย์/ทันตแพทย์แนะนำ และรวมถึงการดูแลตนเอง(จะกล่าวในหัวข้อถัดไป)

ดูแลตนเองอย่างไร?

การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคปริทันต์ ได้แก่

  • ดูแลช่องปากและฟันตามคำแนะนำของทันตแพทย์ที่รวมถึงการใช้น้ำยาบ้วนปาก
  • กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบถ้วนทุกวัน ลดอาหารหวาน อาหารแป้ง และไม่กินจุบจิบโดยเฉพาะ อาหารหวานและอาหารแป้ง
  • รักษาความสะอาดช่องปากและฟันตามคำแนะนำของทันตแพทย์ ซึ่งทั่วไปคือ
    • แปรงฟันให้ถูกวิธีวันละ2ครั้งคือ เมื่อตื่นนอนเช้า และก่อนเข้านอน
    • ร่วมกับใช้ไหมขัดฟันทุกครั้งหลังอาหารมื้อหลัก หรืออย่างน้อยก่อนแปรงฟันเข้านอน
  • ดูแล ควบคุม รักษาโรค/ภาวะที่เป็นปัจจัยเสี่ยง(ดังได้กล่าวในหัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงฯ)การเกิดโรคปริทันต์ ให้ได้ดี
  • เลิกบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่
  • เลิกสุรา ไม่ดื่มสุรา
  • เมื่อมีผลข้างเคียงต่างๆที่เกิดกับช่องปากจากการใช้ยาต่างๆ เช่น ปากคอแห้งมาก, ช่องปากเป็นแผลเรื้อรัง, ต้องรีบพบแพทย์/ทันตแพทย์เสมอ เพื่อแพทย์พิจารณาปรับเปลี่ยนการใช้ยา และเพื่อการดูแลรักษาช่องปาก/ฟัน แต่เนิ่นๆ
  • พบทันตแพทย์สม่ำเสมอทุก 6เดือน หรือบ่อยตามทันตแพทย์นัด

มีการตรวจคัดกรองโรคปริทันต์ไหม?

การตรวจคัดกรองโรคช่องปากที่รวมถึงโรคปริทันต์ คือ การพบทันตแพทย์สม่ำเสมอ ประมาณทุก 6 เดือน หรือบ่อยตามทันตแพทย์แนะนำ

ป้องกันโรคปริทันต์ได้อย่างไร?

โรคปริทันต์ เป็นโรคที่ป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการป้องกัน เช่นเดียวกับที่ได้กล่าวใน ‘หัวข้อ การดูแลตนเองฯ’

บรรณานุกรม

  1. Muhammad Ashraf Nazir. International Journal of Health Sciences. 2017;11(2):72-80
  2. https://en.wikipedia.org/wiki/Periodontium[2019,Oct5]
  3. https://en.wikipedia.org/wiki/Periodontal_disease[2019,Oct5]
  4. https://www.nidcr.nih.gov/health-info/gum-disease/more-info [2019,Oct5]
  5. https://www.fippdentalearning.org/fiip/wp-content/uploads/2018/06/New- Classification-for-Periodontal-Diseases-2017.pdf[2019,Oct5]
  6. https://www.nhs.uk/conditions/gum-disease/[2019,Oct5]