โรคตาที่มากับคอมพิวเตอร์ (Computer Vision Syndrome/CVS)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
- 12 มกราคม 2563
- Tweet
- บทนำ
- โรคตาที่มากับคอมพิวเตอร์มีอาการอย่างไร?
- โรคตาที่มากับคอมพิวเตอร์เกิดจากสาเหตุใด?
- แก้ไข และป้องกันโรคตาที่มากับคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร?
- ควรพบจักษุแพทย์เมื่อไร?
- โรคตา โรคทางตา (Eye disease)
- ตาแห้ง (Dry eye)
- สายตาผิดปกติ (Refractive error)
- ปวดหัว ปวดศีรษะ (Headache)
- ปวดหลัง: ปวดหลังจากโรคหมอนรองกระดูกสันหลัง (Back pain: Spinal disc herniation)
- การตรวจตา การตรวจสุขภาพตา (Eye examination)
- กายวิภาคและสรีรวิทยาของตา (Anatomy and physiology of the eye)
- ปวดหลัง: ปวดหลังจากโรคหมอนรองกระดูกสันหลัง (Back pain: Spinal disc herniation)
บทนำ
อาการผิดปกติทางกายต่างๆที่เกิดหลังการใช้คอมพิวเตอร์ หรือนัยหนึ่งว่า อาการต่างๆนั้นน่าจะเกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์ เรียกกันว่า “คอมพิวเตอร์ซินโดรม (Computer syn drome) ” ซึ่งได้แก่ อาการผิดปกติทางกายต่างๆ ซึ่งมีหลายอาการพร้อมกัน จึงมักเรียกว่า เป็นกลุ่มอาการ (Syndrome) ได้แก่ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดต้นคอ เจ็บแขน รวมทั้งอาการผิดปกติทางตา หากแยกออกมาพูดถึงเฉพาะอาการทางตา จะเรียกว่า “ โรค หรือ ภาวะคอมพิวเตอร์วิเชินซินโดรม (Computer vision syndrome)” เรียกย่อว่า โรคหรือภาวะ ซีวีเอส (CVS) นั่นเอง ซึ่งต่อไปในบทนี้ ขอเรียกว่า โรคซีวีเอส
โรคซีวีเอสนี้พบได้ถึงประมาณ 80% ของบุคคลที่ใช้คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป อาการอาจเป็นเพียงเล็กน้อย ไม่บั่นทอนการทำงาน หรือเมื่อพักการใช้คอมพิวเตอร์สักครู่ อาการต่างๆก็หายไปได้เอง หรือบางท่านอาจต้องว่างเว้นการใช้งานไปเป็นวัน อาการก็หายไปเอง แต่บางท่านอาจต้องใช้ยาระงับอาการ หรือบางท่านก็เลิกใช้คอมพิวเตอร์ไปเลยก็มี
โรคตาที่มากับคอมพิวเตอร์มีอาการอย่างไร?
![](/static/images/cms/articles/โรคตาที่มากับคอมพิวเตอร์-01.jpg)
อาการทางตาที่สำคัญและพบบ่อยที่สุดของ โรคซีวีเอส คือ แสบตา เคืองตา ตาแห้ง เมื่อยตา ตาสู้แสงไม่ได้ บางรายเป็นมากถึงขั้นรู้สึกตาพร่ามัว ปวดตา ปวดกระบอกตา อาการดังกล่าวอาจเป็นน้อยบ้าง มากบ้าง แตกต่างกันในระหว่างบุคคล ส่วนใหญ่จะเป็นอาการก่อความรำคาญ ไม่สบายตา บั่นทอนการทำงาน แต่ไม่ถึงกับทำให้ตามัวลงอย่างถาวร
โรคตาที่มากับคอมพิวเตอร์เกิดจากสาเหตุใด?
โรคซีวีเอส มีสาเหตุได้จาก
- โดยปกติคนเราทุกคนจะต้องกระพริบตาอยู่ตลอดเวลา เพื่อเกลี่ยน้ำตาให้คลุมผิวตาให้ทั่ว โดยมีอัตรากระพริบตาปกติประมาณ 20 ครั้งต่อนาที แต่หากเราอ่านหนังสือ ตาต้องจับอยู่ที่ตัวหนังสือ อัตราการกระพริบตาจึงลดลง โดยเฉพาะการจ้องหน้าคอมพิวเตอร์จะกระ พริบตาลดลงกว่า 60% ทำให้ผิวตาแห้ง แสบตา เคืองตา คันตา
- มีแสงจ้าและแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์กระทบตา แสงสว่างในห้องไม่พอ เหมาะ มีไฟส่องหน้าผู้ใช้ หรือแม้แต่แสงสว่างจากหน้าต่างสะท้อนเข้าตา แสงจ้าและแสงสะท้อนทำให้เมื่อยล้าตาได้ง่าย
- คลื่นแสงที่หน้าจอ (Refresh rate) ทำให้ภาพบนจอออกเป็นแสงกระพริบ ภาพที่เกิดหน้าจอเกิดจากจุดเล็กๆหลายจุดที่เรียกกันว่า พิเซล (Pixel) ซึ่งมาจากคลื่นไฟฟ้าในเครื่องวิ่งไปชนกับพื้นหลังของจอที่เคลือบด้วย ฟอสฟอรัส (Phosphorus) ลักษณะของพิเซล แต่ละจุดมีความสว่างไม่เท่ากัน สว่างมากตรงกลางและจางลงบริเวณขอบๆ จึงเห็นเป็นภาพกระพริบ ก่ออาการเคืองตาเมื่อต้องจ้องอยู่ตลอดเวลาได้ ถ้าปรับ Refresh rate ให้ได้ขนาด 70 – 85 Hz(Hertz) แสงกระพริบจะน้อยลง นอกจากนั้น ตาคนเราปรับโฟกัสให้เห็นภาพขนาดต่างๆกันได้ดีในภาพที่มีขอบเขตชัดเจน มีความแตกต่างคมชัดที่ดี แต่ภาพจากคอมพิวเตอร์ขอบเขตไม่ชัด ทำให้ตาต้องปรับโฟกัสอยู่เรื่อยๆ จึงเกิดการเมื่อยล้าตาได้ง่ายกว่าการอ่านหนังสือปกติมาก
- การจัดวางคอมพิวเตอร์ไม่เหมาะสม ใกล้ หรือ ไกลสายตามากเกินไป
- สายตาผิดปกติที่มีอยู่เดิมก่อนแล้ว ซึ่งโดยการทำงานตามปกติไม่ก่อให้เกิดอาการ แต่ถ้ามาทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์จะก่ออาการเมื่อยล้าตาได้
- บางรายมีโรคตาบางอย่างประจำตัวอยู่ เช่น ต้อหินเรื้อรัง ม่านตาอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรัง ตลอดจนโรคทางกาย เช่น ไซนัสอักเสบ โรคหวัด ภูมิแพ้เรื้อรัง หรือ ร่างกายอ่อน เพลีย เมื่อต้องปรับสายตามากเวลาใช้คอมพิวเตอร์ จึงก่อให้เกิดอาการเมื่อยตาได้ง่าย
- การทำงานจ้องจอภาพนานเกินไป ไม่ว่าจะเกิดจากงานเร่ง หรือมีหน้าที่อยู่หน้าจออย่างเดียว ย่อมเกิดอาการทางตาได้ง่ายจากการเกร็งกล้ามเนื้อตาตลอดเวลา
แก้ไข และป้องกันโรคตาที่มากับคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร?
การแก้ไขกันและป้องกันโรคซีวีเอส คือ
- ฝึกกระพริบตาขณะทำงานหน้าจอทุก 1 - 2 ชั่วโมง หรือบ่อยกว่านี้ และหากแสบตามาก อาจใช้น้ำตาเทียมช่วย (ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ)
- ปรับห้องและบริเวณทำงาน อย่าให้มีแสงสะท้อนจากหน้าต่าง จากหลอดไฟบริเวณเพดานห้อง อย่าให้แสงสะท้อนเข้าตา อย่าให้จอภาพหันเข้าหน้าต่าง การใช้แผ่นกรองแสงวางหน้าจอ หรือใส่แว่นกรองแสง (ปรึกษาหมอตาก่อน) อาจลดแสงสะท้อนเข้าตาได้บ้าง
-
จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ในระยะทำงานพอเหมาะที่ตามองได้สบายๆ โดยเฉลี่ยระยะจากตาถึงจอภาพควรเป็น 0.45 ถึง 0.50 เมตร จอภาพควรตั้งสูง 0.72-0.75 เมตร เหนือพื้นห้อง ปรับเก้าอี้นั่งให้พอเหมาะ ให้ตาอยู่สูงจากพื้นโดยเฉลี่ย 1.0 – 1.15 เมตร ตาควรอยู่สูงกว่าขอบบนของจอภาพเล็กน้อย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ใช้แว่นตา 2 ชั้น จะต้องตั้งจอภาพให้ต่ำกว่าระดับตา เพื่อจะได้ตรงกับเลนส์แว่นตาส่วนที่ใช้มองใกล้ นอกจากนั้น การตั้งจอภาพให้ต่ำกว่าตาจะทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องแหงนหน้ามอง ซึ่งการแหงนหน้านานๆ ทำให้ปวดเมื่อยกล้าม เนื้อคอและหัวไหล่ได้ง่าย
อนึ่งผู้สูงอายุ ถ้าต้องใช้คอมพิวเตอร์นานๆต่อเนื่อง ควรปรึกษาจักษุแพทย์พิจารณา ใช้แว่นตาเฉพาะดูได้ทั้งระยะอ่านหนังสือ ระยะจอภาพ และระยะไกล เป็นกรณีพิเศษ
- หากมีสายตาผิดปกติหรือโรคตาบางอย่างอยู่ ควรแก้ไขและรักษาโรคตาที่เป็นอยู่ควบคู่ไปด้วย
- หากงานในหน้าที่ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ทุก 1 – 2 ชม. ควรมีการพักสายตา โดยละสายตาจากหน้าจอ แล้วมองออกไปไกลๆ หรือหลับตาสักระยะหนึ่ง แล้วค่อยกลับมาทำ งานใหม่ หากเป็นไปได้ ควรทำงานหน้าจอภาพวันละ 4 ชม. เวลาที่เหลือไปทำงานอื่นบ้าง
ควรพบจักษุแพทย์เมื่อไร?
อาการของโรคซีวีเอส แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง แต่ก็ก่อให้เกิดความรำคาญ ประสิทธิภาพของงานลดลง หากได้รับการแก้ไขจะทำให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำงานอย่างเป็นสุขขึ้น และวิธีการแก้ไขส่วนใหญ่ทำได้ไม่ยาก ดังนั้น เมื่อใช้งานคอมพิวเตอร์แล้วมีอาการทางตา ควรปรึกษาจักษุแพทย์เสมอเพื่อหาสาเหตุ ก่อนสรุปว่า เป็นอาการเกิดจากใช้งานคอมพิวเตอร์ เพราะดังกล่าวแล้วว่า อาจมีโรคทางตาอื่นๆร่วมอยู่ด้วยได้