แผลร้อนใน (Aphthous ulcer)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 5 มีนาคม 2560
- Tweet
- บทนำ
- แผลร้อนในเกิดจากอะไร?
- แผลร้อนในมีอาการอย่างไร?
- แพทย์วินิจฉัยแผลร้อนในได้อย่างไร?
- รักษาแผลร้อนในอย่างไร?
- แผลร้อนในรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
- ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
- ป้องกันแผลร้อนในได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
- โรคทางเดินอาหาร โรคระบบทางเดินอาหาร (Digestive disease)
- ประจำเดือน (Menstruation)
- มะเร็งช่องปาก (Oral cancer)
- วิตามินรวม มัลติวิตามิน เอ็มทีวี (Multivitamin: MTV)
- กรดไทรคลอโรอะซีติค (Trichloroacetic acid)
- โรคเบเซ็ท (Behcet’s disease) หรือกลุ่มอาการเบเซ็ท (Behcet’s syndrome)
- ความเครียด ภาวะซึมเศร้า และโรคซึมเศร้า (Stress, Depression and Depressive disorder)
- โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder)
บทนำ
โรคแผลร้อนใน (Aphthous ulcer หรือ Aphthous stomatitis หรือ Recurrent aphthous ulcer/RAU หรือ Canker sore หรือ Aphthae หรือ Aphthosis) คือ โรคจากมีแผลเปื่อยในช่องปาก บริเวณส่วนใดของช่องปากก็ได้ อาจมีแผลเดียวหรือหลายแผล แผลอาจมีขนาดเล็กเป็นมิลลิเมตร หรือใหญ่เป็นหลายเซนติเมตรได้ และจะมีอาการเจ็บแผลเป็นอย่างมาก
แผลร้อนในเป็นโรคพบได้บ่อย พบได้ตั้งแต่ในเด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงอายุ แต่มักพบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่นจนถึงวัยหนุ่มสาว (อายุช่วง 10-19ปี) 80%พบในอายุต่ำกว่า 30 ปี และจะพบได้น้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น บางรายงานผู้หญิงพบได้บ่อยกว่าผู้ชาย บางรายงานพบได้ใกล้เคียงกันทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
พบแผลร้อนในได้ประมาณ 2-66%ของประชากรโลก บางคนเกิดได้ประมาณน้อยกว่า 4 ครั้งต่อปี (พบได้ประมาณ 80%-90% ของผู้ป่วย) แต่บางคนอาจเกิดบ่อยกว่า 1 ครั้งต่อเดือน (พบได้ประมาณ 10% ของผู้ป่วย)
แผลร้อนในเกิดจากอะไร?
สาเหตุของโรคแผลร้อนในยังไม่ทราบชัดเจน แต่ทั้งนี้จากการศึกษาเชื่อว่า
- อาจมีปัจจัยเสี่ยงจากพันธุกรรม เพราะพบว่า 30%-40% ของคนเป็นโรคนี้บ่อยๆ มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้
- ความเครียด ความกังวล
- การกัดโดนเนื้อเยื่อในช่องปาก เช่น กัดลิ้น หรือ กระพุ้งแก้ม ขณะเคี้ยวอาหาร
- แพ้สารเคมีในอาหาร หรือในสิ่งที่บริโภคบ่อยๆ เช่น น้ำยาบ้วนปาก
- แพ้สารบางชนิดในยาสีฟัน
- แพ้อาหารบางชนิด
- การขาดวิตามิน และเกลือแร่ บางชนิด เช่น วิตามิน บี เหล็ก และสังกะสี
- การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น Helicobacter pylori
- การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น โรคเริม
- อาจสัมพันธ์กับความผิดปกติในระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค เพราะพบเซลล์เม็ดเลือดขาว (ที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันโรค) ได้สูงในแผลร้อนใน
- การเลิกบุหรี่ (โรคนี้พบได้น้อยในคนสูบบุหรี่)
- บางครั้งอาจสัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศ เพราะบางรายงาน พบแผลร้อนในได้บ่อยกว่าในผู้หญิง โดยเฉพาะในช่วงใกล้ หรือมีประจำเดือน แต่การศึกษายังไม่สามารถระบุถึงความสัมพันธ์ที่ชัดเจนได้
- แผลร้อนในพบได้บ่อยขึ้นในโรคทางพันธุกรรมบางชนิด เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคหลอดเลือดอักเสบที่เรียกว่า โรคเบเซ็ท(Behcet’s disease)
แผลร้อนในมีอาการอย่างไร?
อาการสำคัญของแผลร้อนใน คือ มีแผลเปื่อย เจ็บมาก เกิดในเนื้อเยื่อได้ทุกเนื้อเยื่อของช่องปาก เช่น ด้านในของริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม เหงือก เพดาน ลิ้น ใต้ลิ้น รอยต่อระหว่างริมฝีปากกับเหงือก และบางรายที่รุนแรงอาจพบแผลเปื่อยในลำคอได้
โดยแรกเริ่ม จะรู้สึกเจ็บมากตรงตำแหน่งที่จะเกิดแผลเปื่อย ตามมาด้วยรอยแดงๆ เจ็บ ลักษณะเป็นรอยกลม หรือ รูปไข่อาการเหล่านี้จะเกิดก่อนมีแผลเปื่อยประมาณ 2-3 วัน หลัง จากนั้นจึงเกิดแผลเปื่อยตรงรอยแดงนั้น โดยลักษณะสำคัญของแผลร้อนใน คือ เป็นแผลเปื่อยที่เจ็บมากโดยเฉพาะเมื่อถูกกระทบ/สัมผัส บนตัวแผลจะมีสีเหลืองหรือสีขาว และมีคราบไฟบริน (Fibrin, สารที่ช่วยทำให้เลือดแข็งตัว) ปกคลุมอยู่บนแผล ขอบแผลจะแดง มักเป็นขอบเรียบ ไม่เป็นขอบนูน เมื่อแผลเริ่มหาย อาการเจ็บแผลจะลดน้อยลง และแผลอาจเปลี่ยนเป็นสีออกเทาๆ ทั้งนี้ขนาดของแผล มีได้ตั้งแต่เป็นมิลลิเมตร (มม.) ไปจนถึง เป็นหลายเซนติเมตร (ซม.) และอาจมีเพียงแผลเดียว หรือ มีได้เป็นสิบแผล
นอกจากนั้น อาจคลำพบต่อมน้ำเหลือง (ใต้ขากรรไกร) โต แต่ขนาดไม่โตมาก มักไม่เกิน 2 ซม. และมักเจ็บ
แผลร้อนในแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะตามความรุนแรงของโรค คือ แผลเปื่อยไมเนอร์ (Minor ulcer) แผลเปื่อยเมเจอร์ (Major ulcer) และแผลเปื่อยเฮอร์เพติฟอร์ม (Herpetiform ulcer)
ก. แผลเปื่อยไมเนอร์ (Minor ulcer) เป็นแผลเปื่อยที่พบได้บ่อยที่สุด ประมาณ 80% ของแผลร้อนในทั้งหมด เป็นแผลเปื่อยขนาดเล็ก มักมีขนาดไม่เกิน 1 ซม. และเป็นแผลตื้นๆ แผลมักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ และเมื่อแผลหายมักไม่เกิดพังผืด
ข. แผลเปื่อยเมเจอร์ (Major ulcer) เป็นแผลร้อนในที่พบได้ประมาณ 10-15% ของแผลร้อนในทั้งหมด ลักษณะแผลเช่นเดียวกับแผลเปื่อยไมเนอร์ แต่แผลมีขนาดใหญ่กว่า มักใหญ่เกิน 1 ซม. และมักเป็นแผลลึก มักเกิดในตำแหน่งเนื้อเยื่อที่เคลื่อนไหวได้ของช่องปาก เช่น ด้านข้างของลิ้น พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ที่เลยวัยรุ่นไปแล้ว แผลมักหายช้า เป็นเดือน และเมื่อหายแล้ว แผลมักเกิดซ้ำได้บ่อย และอาจก่อให้เกิดพังผืดของเนื้อเยื่อที่เกิดแผลได้ ซึ่งเมื่อแผลร้อนในไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเองภายใน 2 สัปดาห์ ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอ เพื่อแยกจากแผลอักเสบติดเชื้อ หรือแผลมะเร็งโดยเฉพาะเมื่ออายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
ค. แผลเปื่อยเฮอร์เพติฟอร์ม (Herpetiform ulcer) เป็นแผลร้อนในที่พบได้ประมาณ 5-10% แต่รุนแรงกว่าทั้งสองชนิดที่กล่าวแล้ว มักเกิดในผู้หญิง ในวัยเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยแผลจะมีหลายๆแผล อาจสิบกว่าแผล แต่มีรายงานเป็นแผลเล็กๆได้มากกว่าร้อยแผล กระจายได้ทั่วทั้งช่องปาก ขนาดเล็กๆ 1-3 มม. อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นแผลตื้นๆ เป็นแผลที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักต้องได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์ เพราะผู้ป่วยจะเจ็บแผลมาก จนกระทบต่อการกินอาหารและการดื่มน้ำ เมื่อได้รับการรักษา แผลมักหายภายในระยะเวลาน้อยกว่า 1 เดือน และมักไม่เกิดเป็นพังผืดหรือแผลเป็น
แพทย์วินิจฉัยแผลร้อนในได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยแผลร้อนในได้จาก ประวัติอาการ การตรวจร่างกาย และการตรวจแผลในช่องปาก ซึ่งก็เพียงพอที่จะวินิจฉัยโรคได้ แต่บางครั้งลักษณะแผลไม่แน่ชัด แพทย์อาจป้ายสารคัดหลั่งจากแผลเพื่อการย้อมเชื้อ และ/หรือตรวจเพาะเชื้อ หรือขูดเซลล์จากแผลเพื่อการตรวจทางเซลล์วิทยา หรือตัดชิ้นเนื้อจากแผลเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยาโดยเฉพาะเมื่อสงสัยอาจเป็นแผลจากโรคมะเร็ง (โรคมะเร็งช่องปาก)
รักษาแผลร้อนในอย่างไร?
แนวทางการรักษาแผลร้อนใน คือ การรักษาประคับประคองตามอาการทั้งนี้เพราะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอนของโรค และอาจให้ยาปฏิชีวนะเมื่อสงสัยมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย
การรักษาประคับประคองตามอาการที่สำคัญ คือ กินยาแก้ปวด/แก้เจ็บ เช่น ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ทายาแก้ปวด หรือยาต้านการอักเสบ/ยาแก้อักเสบ เช่น ยาสเตียรอยด์ หรือบางครั้งอาจจี้แผลด้วยยาบางชนิด (ให้การรักษาโดยแพทย์เท่านั้น เช่น ยา Trichloroacetic acid) เพื่อกระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น การพักผ่อนให้เพียงพอ และการให้สารอาหาร และสารน้ำทางหลอดเลือดดำกรณีเจ็บแผลมากจนกินหรือดื่มน้ำไม่ได้ หรือ ได้น้อย
นอกจากนั้น แพทย์บางท่านอาจแนะนำกิน วิตามิน เกลือแร่ เสริมอาหาร และการเปลี่ยนชนิดยาสีฟัน ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์
แผลร้อนในรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
โดยทั่วไป แผลร้อนในเป็นโรคไม่รุนแรง มีการพยากรณ์โรคที่ดี รักษาได้หาย แผลมักหายภายใน 1-2 สัปดาห์หลังการดูแลตนเอง และไม่ก่อให้เกิดแผลเป็นยกเว้นเมื่อแผลติดเชื้อแบคทีเรีย ที่จะทำให้แผลหายช้าลง หรือเมื่อเป็นแผลร้อนในชนิดแผลเปื่อยเมเจอร์
โดยทั่วไป ไม่พบผลข้างเคียงแทรกซ้อนจากโรคแผลร้อนใน ยกเว้นเมื่อเป็นชนิดแผลเปื่อยเมเจอร์ ที่อาจทำให้เกิดพังผืดหรือแผลเป็นตรงตำแหน่งเกิดแผลได้ อย่างไรก็ตามในบางคน เมื่อเจ็บแผลฯมากจะส่งผลให้กินอาหารได้น้อยลง จึงอาจส่งผลให้มีน้ำหนักตัวลดลงได้
อนึ่ง ยังไม่เคยมีรายงานว่า แผลร้อนในกลายเป็นโรคมะเร็ง แต่แผลโรคมะเร็งอาจให้ลักษณะแผลเหมือนแผลร้อนในได้ ดังนั้นเมื่อแผลในช่องปากทุกชนิดรวมทั้งแผลร้อนในไม่ดีขึ้น หรือ ไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ จึงควรพบแพทย์เสมอ เพื่อวินิจฉัยแยกจากโรคมะเร็ง โดย เฉพาะเมื่อมีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นอายุที่เริ่มพบโรคมะเร็งของช่องปากได้สูงขึ้น
ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การดูแลตนเอง การพบแพทย์เมื่อเป็นโรคแผลร้อนใน ได้แก่
- พักผ่อนให้พอเพียง
- กินอาหารอ่อน รสจืด (ประเภทอาหารทางการแพทย์) เพื่อลดการระคายเคืองต่อช่องปาก ลดอาการเจ็บช่องปาก
- ดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้น อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้วเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
- กินยาแก้ปวด พาราเซตามอล (Paracetamol) ร่วมกับทายาต้านการอักเสบ ที่แผล (ปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยาใช้เองเสมอ)
- เปลี่ยนชนิดยาสีฟัน
- รีบพบแพทย์ เมื่อ
- กินอาหาร หรือดื่มน้ำได้น้อย
- เจ็บแผลมาก
- มีไข้ เพราะแผลอาจติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน
- แผลไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อแยกจากแผลมะเร็ง (มะเร็งช่องปาก) ดังกล่าวแล้ว
ป้องกันแผลร้อนในได้อย่างไร?
การป้องกันแผลร้อนในเต็มร้อยเป็นไม่ได้ เพราะเป็นโรคยังไม่ทราบสาเหตุ แต่การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆดังกล่าวแล้วในหัวข้อสาเหตุที่หลีกเลี่ยงได้ อาจช่วยลดโอกาสเกิด และ/หรือ โอกาสเกิดเป็นซ้ำลงได้ เช่น
- การกินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกมื้ออาหาร
- รักษาสุขภาพจิต
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ไม่ใช้ยาสีฟันชนิดเดียวซ้ำๆ เป็นระยะเวลานานๆ
- ค่อยๆเคี้ยวอาหาร ไม่รีบกินอาหารเพื่อป้องกันการกัดลิ้น หรือเนื้อเยื่ออื่นๆในช่องปาก
- รักษาความสะอาดช่องปากและฟันด้วยการแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเมื่อตื่นนอนเช้า และก่อนเข้านอน ใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้งก่อนแปรงฟันเข้านอน และบ้วนปากให้สะอาดเสมอหลังกินอาหารและดื่มเครื่องดื่มต่างๆ
- สังเกตความสัมพันธ์ของโรคกับ อาหาร เครื่องดื่ม ยาต่างๆ และของใช้ต่างๆที่เกี่ยวกับช่องปาก เช่น ชนิดของยาสีฟัน และน้ำยาบ้วนปาก เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆเหล่านั้น
บรรณานุกรม
- http://emedicine.medscape.com/article/1075570-overview#showall [2017,Feb11]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Aphthous_stomatitis [2017,Feb11]
- McBride, D. (2000). Management of aphthous ulcers. Am Fam Physician. 62, 149-154.[2017,Feb11]
- https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000998.html [2017,Feb11]
- http://www.dermnetnz.org/topics/aphthous-ulcers/[2017,Feb11]
Updated 2017, Feb11