แผลประทับผิว (ตอนที่ 2 และตอนจบ)
- โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
- 22 สิงหาคม 2563
- Tweet
ประมาณร้อยละ 10 ของคนทั่วไปทั้งชายและหญิงจะมีแผลคีลอยด์ โดยผู้ที่มีผิวคล้ำจะมีโอกาสเป็นคีลอยด์ได้มากกว่า ส่วนปัจจัยอื่นที่ทำให้เกิดคีลอยด์ เช่น
- ชาวเอเชีย
- ชาวละติน
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี
- ผู้ที่มีพ่อแม่เป็นคีลอยดด์ (การถ่ายทอดทางพันธุกรรม)
การรักษาแผลคีลอยด์สามารถทำได้หลายวิธีด้วยการ
- การฉีดสเตียรอยด์ – เพื่อให้แผลหดเล็กลง
- การผ่าตัด – เช่น การผ่าตัดด้วยการจี้เย็น (Cryotherapy) ในกรณีที่แผลมีขนาดใหญ่ อย่างไรก็ดีหลังการผ่าตัดอาจกลับมาเป็นซ้ำได้
- การยิงเลเซอร์ – แต่ก็มีความเสี่ยงในการเป็นแผลและแดง
- การกดรัดบาดแผล (Pressure treatment) – เพื่อลดการไหลเวียนของเลือดบริเวณที่ผ่าตัด ช่วยทําให้แผลเป็นนิ่มและเรียบขึ้น
สำหรับการป้องกันการเกิดแผลคีลอยด์นั้น อาจช่วยได้ด้วยการ
- หลีกเลี่ยงการทำให้ผิวเป็นแผล เช่น การสัก การเจาะหู เป็นต้น
- ใช้ Pressure pads หรือ Silicone gel pads หลังการได้รับบาดเจ็บเป็นแผล
- ปกป้องแผลจากแสงแดดเพราะอาจแสงแดดจะทำให้สีผิวคล้ำมากกว่าผิวบริเวณอื่น ซึ่งจะทำให้แผลคีลอยด์ชัดขึ้น
อนึ่ง แผลคีลอยด์มีลักษณะเหมือนกับแผลเป็นนูน (Hypertrophic scars) โดยมีความแตกต่างดังนี้
แผลคีลอยด์ (Keloid) | แผลเป็นนูน Hypertrophic scars |
---|---|
มีขนาดใหญ่กว่า | มีขนาดเล็กกว่า |
เป็นก้อนนูนแข็ง | นูนแดง |
มักลามออกไปจากแผลเดิม | อยู่ตามแนวเดิม |
มักไม่แบนเมื่อเวลาผ่านไป | มักแบนลงเมื่อเวลาผ่านไป |
มักกลับมาเป็นซ้ำเมื่อตัดออก | มักเกิดความผิดปกติจากแผลหดรั้ง |
แหล่งข้อมูล:
- Everything You Need to Know About Keloid Scars. https://www.healthline.com/health/keloids [2020, August 20].
- Keloid scars. https://www.nhs.uk/live-well/healthy-body/keloid-scars/ [2020, August 20].
- What are keloids? https://familydoctor.org/condition/keloids/ [2020, August 20].