เอ็กซเรย์เต้านมฟรี ผู้มีปัจจัยเสี่ยงมะเร็งเต้านม (ตอนที่ 3)
- โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
- 18 พฤษภาคม 2555
- Tweet
กองทุนวิจัยมะเร็งโลก (The World Cancer Research Fund) ได้ประเมินว่าร้อยละ 38 ของมะเร็งเต้านมในสหรัฐอเมริกาสามารถป้องกันได้ด้วยการลดการดื่มแอลกอฮอล์ เพิ่มการออกกำลังกาย และรักษาน้ำหนักตัวให้พอดี ยังมีการประเมินถึงการป้องกันด้วยวิธีดังกล่าวว่าได้ผลที่อัตราร้อยละ 42 ในอังกฤษใน ร้อยละ 28 ในบราซิล และร้อยละ 20 ในจีน
การตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะแรกสามารถรักษาให้หายได้ มีหลายวิธีการที่ใช้ในการตรวจ เช่น การคลำเต้านมด้วยตนเอง การตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) การตรวจยีนส์/จีนส์ (Genes) การตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) และเอ็มอาร์ไอ (MRI = Magnetic resonance imaging)
ในปี ค.ศ. 2011 องค์กรที่ไม่หวังผลกำไรที่ชื่อ The Cochrane Collaboration ได้สรุปว่าการตรวจแมมโมแกรมสามารถลดอัตราการตายของมะเร็งเต้านมได้ร้อยละ 15 หน่วยปฏิบัติการป้องกันเฉพาะกิจของอเมริกัน (U.S. Preventive Services Task Force) ได้แนะนำว่าโดยทั่วไปผู้หญิงอายุระหว่าง 50–74 ปี ควรตรวจแมมโมแกรมทุก 2 ปี
แต่ก็ระบุว่าการตรวจแมมโมแกรมที่ถี่เกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านมจากรังสีเอกซ์เรย์ได้ และในผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง ควรตรวจแมมโมแกรมตั้งแต่อายุไม่มาก อาจมีการตรวจหายีนส์ ชื่อ BRCA (= Breast cancer) และ/หรือตรวจเอ็มอาร์ไอด้วย
การรักษามะเร็งเต้านมส่วนใหญ่รักษาด้วยการผ่าตัด และอาจให้เคมีบำบัด (Chemotherapy) หรือรังสีรักษา (Radiotherapy) หรือรักษาควบคู่กันไป การผ่าตัดอาจทำโดยตัดเต้านมทั้งหมดทิ้ง (Mastectomy) หรือ ตัดเพียงเสี้ยวหรือ 1 ใน 4 ส่วนของเต้านม (Quadrantectomy) หรือตัดเพียงส่วนเล็กน้อย (Lumpectomy) เพื่อความสวยงาม ผู้ป่วยบางราย อาจใช้การทำศัลยกรรมเต้านมใหม่ (Breast reconstruction surgery) หรือใช้เต้านมเทียมแทน
ปัจจุบันการรักษาโดยการใช้ยามี 3 กลุ่มหลักๆ คือ
- การใช้ยาต้านฮอร์โมน เช่น ยา Tamoxifen หรือยายับยั้งเอ็นไซม์ (Aromatase inhibitor) ซึ่งใช้ในกรณีของผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว เช่น ยา Femara
- การให้เคมีบำบัด ซึ่งใช้ในการรักษามะเร็งทุกระยะ เป็นระยะเวลาประมาณ 3–6 เดือน เช่น ยา Adriamycin (ที่รู้จักกันในชื่อ “AC”) และ
- การใช้ยารักษาตรงเป้าชนิดหนึ่ง (Monoclonal antibodies) เช่น ยา Trastuzumab เป็นต้น ทั้งนี้การรักษาด้วยยาทุกประเภทล้วนมีผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไป
หลังการผ่าตัด จะมีการให้รังสีรักษาในบริเวณที่เป็นโรค และบริเวณต่อมน้ำเหลือง เพื่อทำลายเซลล์เนื้องอกที่มีขนาดเล็กมากจนไม่สามารถเลาะออกได้ด้วยการผ่าตัด รังสีรักษาอาจทำโดยการฉายรังสีภายนอก (External beam radiotherapy) หรือการฝังแร่ (Brachytherapy) รังสีรักษาในระดับที่เหมาะสมสามารถลดการกลับมาเป็นซ้ำ (Recurrence) ได้ถึงร้อยละ 50–66 และถือเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับกรณีที่มีการการตัดก้อนเนื้องอกออกแบบเล็กน้อย หรือเป็นมุมกว้าง (Wide local excision)
การพยากรณ์โรค หรือความรุนแรงของโรค (Prognosis) เป็นสิ่งที่จำเป็นในการตัดสินใจเลือกวิธีรักษา เพราะผู้ป่วยที่มีการพยากรณ์โรคที่ดีจะได้รับการรักษาที่ไม่มากเกินไป เช่น ใช้เพียงวิธีการตัดก้อนเนื้องอกออกและฉายรังสี หรือการใช้ยาต้านฮอร์โมน ในขณะที่ผู้ป่วยที่มีการพยากรณ์โรคไม่ดีอาจจะได้รับการรักษาที่มากขึ้นตามความจำเป็น เช่น การถูกผ่าตัดเต้านมออกทั้งเต้าหรือการใช้เคมีบำบัด
แหล่งข้อมูล:
- Breast cancer. http://en.wikipedia.org/wiki/Breast_cancer [2012, May 17].