โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 2 พฤศจิกายน 2562
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
- โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดได้อย่างไร? ติดต่อได้ไหม?
- ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบมีอะไรบ้าง?
- โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบมีอาการอย่างไร?
- แพทย์วินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้อย่างไร?
- รักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้อย่างไร?
- มีผลข้างเคียงจากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบอย่างไรบ้าง?
- โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบรุนแรงไหม?
- ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
- ป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ปวดหัว ปวดศีรษะ (Headache)
- อาการปวดศีรษะร้ายแรง:สัญญาณอันตรายของอาการปวดศีรษะ (Red Flag in Headache)
- สมองอักเสบ (Encephalitis)
- ไวรัสเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Viral meningitis)
- แบคทีเรียเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือ เยื้อหุ้มสมองอักเสบเหตุเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial meningitis)
- โรคติดเชื้อ ภาวะติดเชื้อ (Infectious disease)
- แบคทีเรีย: โรคจากแบคทีเรีย (Bacterial infection)
- เชื้อไวรัส โรคติดเชื้อไวรัส (Viral infection)
- สัตว์เซลล์เดียว โรคติดเชื้อสัตว์เซลล์เดียว โรคติดเชื้อโปรโทซัว (Protozoan infection)
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ(Meningitis) คือโรคที่เกิดจากการอักเสบของเยื่อหุ้มสมอง ทั่วไปมักจากเยื่อหุ้มสมองติดเชื้อไวรัส หรือ เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งทั่วไป อาการสำคัญ คือ มีไข้ ปวดหัว/ ปวดศีรษะ ซึ่งมักปวดศีรษะรุนแรง คอแข็ง กระสับกระส่าย
เยื่อหุ้มสมอง (Meninges) เป็นเนื้อเยื่อบางๆแต่แข็งแรง เป็นเนื้อเยื่อที่หุ้มสมองทุกส่วน เพื่อทำหน้าที่ปกป้องสมอง ซึ่งเมื่อมีการติดเชื้อของเนื้อเยื่อนี้ จะทำให้เกิดเป็นโรคที่เรียกว่า ‘โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)’
อนึ่ง: เยื่อหุ้มสมองอักเสบ อาจเกิดจากภาวะที่ไม่ติดเชื้อได้ เช่น
- ในกรณีโรคมะเร็งที่แพร่กระจายมายังเยื้อหุ้มสมอง
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มอิมมิวโนโกลบูลิน(Immunoglobulin)
- จากโรคออโตอิมมูน เช่น โรคเอสแอลอี(SLE)/ โรคลูปัส-โรคเอสแอลอี, โรคหลอดเลือดอักเสบ
- โรคจากร่างกายเกิดการอักเสบขึ้นกับหลายๆอวัยวะโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่พบว่ามีการติดเชื้อ เช่น โรคซาร์คอยโดซิส (Sarcoidosis)
*ทั้งนี้ ในบทความนี้ จะกล่าวถึงโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ “เฉพาะที่เกิดจากการติดเชื้อเท่านั้น”
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นโรคพบได้เรื่อยๆไม่ถึงกับบ่อยมาก โดยในประเทศตะวันตก พบโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากติดเชื้อแบคทีเรียประมาณ 3 คนต่อประชากร 100,000 คน และจากติดเชื้อไวรัสประมาณ 10.9 คนต่อประชากร 100,000 คน แต่โอกาสพบโรคจะสูงขึ้นมาก กว่านี้ในประเทศที่กำลังพัฒนาและในประเทศที่ด้อยพัฒนา ซึ่งโอกาสเกิดโรคเท่ากันทั้งในผู้ หญิงและในผู้ชาย และเป็นโรคพบได้ทุกอายุตั้งแต่เด็กอ่อนไปจนถึงผู้สูงอายุ
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดได้อย่างไร? ติดต่อได้ไหม?
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดจากการติดเชื้อ เชื้อที่พบบ่อยที่สุดคือ จากเชื้อไวรัส, และที่รองลงไปคือ เชื้อแบคทีเรีย, ที่พบได้บ้างคือ จากเชื้อรา, และจากสัตว์เซลล์เดียว (โปรตัวซัว/ Protozoa)และพยาธิ , แต่บางครั้งแพทย์อาจตรวจไม่พบเชื้อได้
ก. เชื้อไวรัส: ที่เป็นสาเหตุให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่พบได้ เช่น
- เชื้อเอนเทโรไวรัส (Enterovirus) ที่ทำให้เกิดโรคมือ เท้า ปาก และไข้หวัดทั่วไป
- เชื้อวาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella zoster virus) ที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส
- เชื้อไวรัสคางทูม (Mumps virus) ที่ทำให้เกิดโรคคางทูม
ข. เชื้อแบคทีเรีย: ที่เป็นสาเหตุเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่พบได้ เช่น
- เชื้อนัยซ์ซีเรีย เมนิงไจติดิส (Neisseria meningitidis)
- เชื้อมัยโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คุโลสิส (Mycobacterium tuberculosis) ที่ทำให้เกิดโรควัณโรค
- เชื้อเลปโตสไปรา (Leptospira) ที่ทำให้เกิดโรคฉี่หนู
ค. เชื้อรา: ที่ก่อให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มักเกิดในผู้มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดปกติ/ ต่ำ เช่น ในผู้ป่วยเอชไอวี หรือผู้กินยา/ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งเชื้อราก่อโรคบ่อยมากในผู้ป่วยกลุ่มนี้ คือ เชื้อ Cryptococcal neoformans
ง. การติดเชื้อพยาธิต่างๆหรือสัตว์เซลล์เดียว: เป็นโรคพบได้น้อย เชื้อที่ก่อให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ เช่น พยาธิตัวจี๊ด, พยาธิหอยโข่ง, โรคติดเชื้อพยาธิตืดหมู (Cysticercosis), พยาธิใบไม้เลือด
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เกิดจากเชื้อโรคเข้าสู่เยื่อหุ้มสมองโดยผ่านทางกระแสโลหิตซึ่งเป็นสาเหตุบ่อยที่สุด, นอกจากนั้นที่พบน้อยกว่ามากคือ จากเนื้อเยื่อ/อวัยวะข้างเคียงเยื่อหุ้มสมองมีการอักเสบติดเชื้อ แล้วเชื้อลุกลามเข้าเยื่อหุ้มสมองร่วมด้วยเช่น จากมีการอักเสบติดเชื้อในหู, หรือในโพรงไซนัสต่างๆ, และจากการที่เยื่อหุ้มสมองได้รับเชื้อโดยตรงเช่น จากอุบัติเหตุทางสมองก่อบาดแผลและการติดเชื้อโดยตรงต่อเยื่อหุ้มสมอง
*โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นโรคติดต่อโดยการสัมผัสคลุกคลีกับผู้ป่วยทาง
- การหายใจ ไอ จาม
- อุจจาระ
- ปัสสาวะ และ
- ตุ่มแผลที่มีเชื้อโรคเจือปน
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบมีอะไรบ้าง?
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ได้แก่
- ในผู้มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น
- เด็ก โดยเฉพาะอายุตั้งแต่ 5 ปีลงมา
- ผู้สูงอายุ โดย เฉพาะอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
- ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง โรคตับแข็ง และโรคเอดส์
- กินยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ
- การอยู่กันอย่างแออัด เช่น ในชุมชนแออัด และในค่ายทหาร
- ผู้ติดสุรา เพราะจะทำให้มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ
- ผู้ป่วยผ่าตัดม้าม เช่น ในการรักษาโรคธาลัสซีเมีย เพราะม้ามเป็นอวัยวะสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานโรค
- ผู้ป่วยผ่าตัดทางเดินน้ำไขสันหลัง เช่น ในผู้ป่วยทางเดินน้ำไขสันหลังอุดตันจากมะเร็ง จึงผ่าตัดระบายน้ำไขสันหลังเข้าสู่ช่องท้อง เชื้อโรคจากช่องท้องจึงเข้าสู่เยื่อหุ้มสมองและเข้าสู่สมองจากทางระบายนี้ได้ง่าย
- ผู้ป่วยโรคหูติดเชื้อ หรือ ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
- คนที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบมีอาการอย่างไร?
อาการจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบไม่ว่าเกิดจากเชื้อชนิดใด จะมีอาการเหมือนกัน แต่อาจแตกต่างกันทั้งนี้ขึ้นกับ อายุ
ก. ในเด็กแรกเกิดอายุไม่เกิน 1 เดือน: อาการที่พบบ่อย คือ
- มีไข้ มักมีไข้สูง แต่อาจมีไข้ต่ำได้
- เด็กกระสับกระส่าย ร้องโยเย ร้องไห้เสียงสูง
- ไม่ดูดนม อาจมีอาเจียน
- อาจชัก
- บริเวณกระหม่อมโป่งนูนจากการเพิ่มความดันในสมอง
ข. ในเด็กวัยอื่นๆ และ คนทั่วไป: อาการที่พบบ่อยคือ
- ไข้สูง
- ปวดศีรษะรุนแรง
- คอแข็ง
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ตากลัวแสง
- อาจชัก
- ซึม มึนงง
- สับสน และ
- อาจหมดสติ
ค. ในผู้สูงอายุ หรือ คนมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ: อาการที่พบได้บ่อยคือ
- ไม่ค่อยมีไข้
- อาจมีเพียง สับสน มึนงง และง่วงซึม
แพทย์วินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้จาก
- การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น ประวัติอาการต่างๆ ประวัติการติดเชื้อ อุบัติเหตุ โรคประจำตัว การใช้ยาต่างๆ
- การตรวจร่างกาย
- การตรวจร่างกายทางระบบประสาท
- แต่ที่สำคัญคือ
- การเจาะหลัง ตรวจ น้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง และ
- ตรวจเชื้อ และเพาะเชื้อ จากน้ำหล่อเลี้ยงสมองไขสันหลัง
- นอกจากนั้น อาจมีการตรวจสืบค้นอื่นๆเพิ่มเติมตาม อาการผู้ป่วย และดุลพินิจของแพทย์เช่น
- การตรวจเลือด ซีบีซี การตรวจปัสสาวะ ดูลักษณะการติดเชื้อ
- ตรวจเลือดดูสารภูมิต้านทานต่างๆ เพื่อแยกชนิดของเชื้อไวรัส
- การตรวจภาพสมองด้วย เอกซเรย์คอมพิวเตอร์/ ซีทีสแกน และ/หรือ เอมอาร์ไอ
รักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้อย่างไร?
การรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ คือ การรักษาสาเหตุ, และการรักษาประคับประคองตามอาการ/ การรักษาตามอาการ
ก. การรักษาสาเหตุ:
- จากติดเชื้อแบคทีเรีย: เช่น การให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อ ร่วมกับ การรักษาประคับประคองตามอาการ /การรักษาตามอาการ
- จากติดเชื้อไวรัส: ทั่วไป เป็นการรักษาประคับประคองตามอาการ เพราะปัจจุบันยังไม่มียาที่ฆ่าไวรัสได้ แต่ถ้าเชื้อไวรัสชนิดใดมียาต้านไวรัส แพทย์ก็จะให้ยาต้านไวรัส
- จากติดเชื้อรา: การรักษาคือการให้ยาต้านเชื้อรา ร่วมกับการรักษาประคับประคองตามอาการ
- จากติดเชื้อสัตว์เซลล์เดียว หรือ พยาธิ : การรักษาคือ การให้ยาฆ่าพยาธิ/ ยาถ่ายพยาธิ นั้นๆ ร่วมกับการรักษาประคับประคองตามอาการ
ข. การรักษาประคับประคองตามอาการ: คือการรักษาตามอาการผู้ป่วย เช่น
- ให้ยาลดไข้
- ยาแก้ปวด
- ยาป้องกันการชัก/ ยากันชัก
- การให้น้ำเกลือเมื่อ อาเจียนมาก กินไม่ได้ เป็นต้น
- การให้ออกซิเจน
มีผลข้างเคียงจากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบอย่างไรบ้าง?
ผลข้างเคียงที่พบได้จากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบในระยะเฉียบพลัน คือ มีผลต่อการหายใจ หยุดหายใจ และถึงเสียชีวิตได้
นอกจากนั้นในระยะยาวตลอดชีวิต ผลข้างเคียงจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เช่น
- ชัก
- หูหนวก
- ตาบอด
- เป็นอัมพฤกษ์/อัมพาต
- พูดไม่ชัด
- มีปัญหาทางด้านสมอง เช่น มีอารมณ์แปรปรวน ปัญหาด้านความคิดและความ จำ โดยเฉพาะเมื่อเป็นเด็กเล็กเมื่อเติบโตขึ้นสติปัญญามักด้อยกว่าเกณฑ์
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบรุนแรงไหม?
การพยากรณ์โรคของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจัดเป็นโรครุนแรง เป็นสาเหตุการตายได้ ทั้งนี้ความรุนแรงจากการติดเชื้อแบคทีเรียสูงกว่าการติดเชื้อไวรัสมาก ซึ่งประมาณ 25 - 30% ของผู้ติดเชื้อแบคทีเรียมักเสียชีวิต แต่ไม่ค่อยพบการเสียชีวิตจากติดเชื้อไวรัส
ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
เมื่อมีอาการดังกล่าวแล้วใน ‘หัวข้อ อาการฯ’ ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง หรือเป็นการฉุกเฉินทั้งนี้ขึ้นกับความรุนแรงของอาการ เพื่อการวินิจฉัยโรคและได้รับการรักษาได้ทันท่วงที
หลังจากพบแพทย์ และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และแพทย์ได้ให้กลับมาดูแลตนเองที่บ้าน การดูแลตนเองได้แก่
- ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
- กินยา/ใช้ยาที่แพทย์สั่งให้ถูกต้อง ไม่หยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน
- ถ้ามีการทำกายภาพบำบัด/กายภาพฟื้นฟู ต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่อง สม่ำเสมอตาม แพทญ พยาบาล นักกายภาพบำบัด แนะนำ
- พบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ
- พบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนแพทย์นัด เมื่อ
- อาการต่างๆเลวลง หรือ มีอาการผิดไปจากเดิม เช่น ปวดศีรษะ/ ปวดหัวมากขึ้น แขนขาอ่อนแรงมากขึ้น ชักถี่ขึ้น ซึมลงมาก
- มีผลข้างเคียงจากยาที่แพทย์สั่งจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง ขึ้นผื่น วิงเวียนศีรษะมาก
- กังวลในอาการ
ป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้อย่างไร?
การป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ที่สำคัญที่สุดคือ *การป้องกันการติดเชื้อซึ่งคือ การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) นอกจากนั้น คือ
- หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย
- รู้จักใช้หน้ากากอนามัย
- ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนกินอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำ
- กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ และออกกำลังกายตามควรกับสุขภาพทุกวัน เพื่อการมีสุขภาพแข็งแรง
- รักษาควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้ได้ดี
- ปรึกษาแพทย์เรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆที่อาจเป็นสาเหตุ ที่มีวัคซีนเมื่ออยู่ในถิ่นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเช่น วัคซีนโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบบางชนิด, วัคซีนโรคคางทูม ,และวัคซีนโรคอีสุกอีใส เป็นต้น
บรรณานุกรม
- Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
- https://emedicine.medscape.com/article/232915-overview#showall [2019,Nov2]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Meningitis [2019,Nov2]