เมาแอ๋แม้ไม่ดื่ม (ตอนที่ 8 และตอนจบ)
- โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
- 28 ตุลาคม 2562
- Tweet
- การตรวจรังสีวินิจฉัยด้วยการ
- อัลตราซาวด์ช่องท้อง (มักใช้เป็นการตรวจอย่างแรกเมื่อสงสัยว่าเป็นโรคตับ)
- การทำซีทีสแกนหรือเอ็มอาร์ไอ
- การวัดความยืดหยุ่นตับด้วยเครื่อง Transient elastography
- การสร้างภาพโดยใช้การสั่นสะเทือนของคลื่นแม่เหล็ก (Magnetic resonance elastography - MRE) เพื่อดูความนุ่มแข็งของเนื้อเยื่อ
- การตรวจเนื้อเยื่อตับ (liver biopsy) ด้วยการเจาะชิ้นเนื้อตับผ่านทางหน้าท้องไปตรวจ
สำหรับเด็กและวัยรุ่นที่มีความเสี่ยงในการเกิด NAFLD ซึ่งได้แก่ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือมีภาวะอ้วนลงพุง ควรมีการอัลตราซาวด์ตับทุก 3 ปี
ในส่วนของการรักษา อย่างแรกที่ทำคือ การให้ลดน้ำหนักพร้อมกับการกินอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังกาย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะให้ลดน้ำหนักลงให้ได้ร้อยละ 10 ส่วนกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคตับแข็งที่เกิดจาก NASH อาจใช้การปลูกถ่ายตับ (Liver transplantation)
สำหรับการดูแลตัวเองอาจทำได้ด้วยการ
- ลดน้ำหนัก - ควรรักษาค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ให้อยู่ที่ 18.5 - 24.9 โดยการลดน้ำหนักให้ได้ร้อยละ 10 จะช่วยลดไขมันออกจากตับได้
- ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที หรืออย่างน้อยวันละ 30 นาที เช่น การเดิน การปั่นจักรยาน เพราะการออกกำลังกายทุกชนิดจะช่วยให้ NAFLD ดีขึ้น แม้น้ำหนักตัวจะไม่ได้ลดลงก็ตาม
- ควบคุมเบาหวาน
- ลดคลอเรสเตอรอล
- หลีกเลี่ยงการทำร้ายตับ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อตับ
- เลิกสูบบุหรี่ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาภาวะหัวใจวาย โรคหัวใจและหลอดเลือด
แหล่งข้อมูล:
- Nonalcoholic fatty liver disease.https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/nonalcoholic-fatty-liver-disease/symptoms-causes/syc-20354557[2019, October 26].
- Non-alcoholic fatty liver disease (NAFLD). https://www.nhs.uk/conditions/non-alcoholic-fatty-liver-disease/ [2019, October 26].