เท้าเหม็น (Pitted keratolysis)
- โดย พญ.ชลธิรศน์ ศรีเกษตรสรากุล
- 11 สิงหาคม 2562
- Tweet
- บทนำ
- โรคเท้าเหม็นเกิดได้อย่างไร? มีอะไรเป็นปัจจัยเสี่ยง?
- โรคเท้าเหม็นมีอาการอย่างไร?
- ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่?
- แพทย์วินิจฉัยโรคเท้าเหม็นได้อย่างไร?
- แพทย์รักษาโรคเท้าเหม็นอย่างไร? ใช้เวลารักษานานเท่าไร?
- โรคเท้าเหม็นก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
- โรคเท้าเหม็นมีการพยากรณ์โรคเป็นอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร?
- เมื่อไหร่ต้องพบแพทย์?ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
- ป้องกันโรคเท้าเหม็นได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
- โรคผิวหนัง (Skin disorder)
- โรคติดเชื้อ ภาวะติดเชื้อ (Infectious disease)
- แบคทีเรีย: โรคจากแบคทีเรีย (Bacterial infection)
- ยาฆ่าเชื้อ (Antimicrobial drug) ยาแก้อักเสบ (Anti inflammatory drug)
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)
- โบทอกซ์ หรือโบทูไลนัมท็อกซิน (Botox or Botulinum Toxin)
- อะลูมิเนียม คลอไรด์ (Aluminium Chloride)
บทนำ
โรคเท้าเหม็น (Pitted keratolysis) เป็นโรคของการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังชั้นนอก สุดของฝ่าเท้า ทำให้มีเท้าลอกและมีกลิ่นเหม็น พบได้บ่อยในผู้ที่ใส่รองเท้าหุ้มส้นเป็นเวลา นาน ทำให้มีความอับชื้น อันเอื้อให้เกิดสภาวะเหมาะสมต่อการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย เมื่อ เปรียบเทียบกับโรคของผิวหนังที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีภาวะเท้าชื้นแฉะเช่นเดียวกันอีกโรคคือ โรค น้ำกัดเท้า ซึ่งมีข้อแตกต่างกันคือ
โรคเท้าเหม็นนั้น เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มักไม่มีอาการคัน แต่มีเท้าลอก ผิวหนังดูชื้นแฉะ มีกลิ่นเหม็น และโรคเริ่มเกิดที่ฝ่าเท้าก่อน
ส่วนโรคน้ำกัดเท้านั้นเกิดจากเชื้อรา มักมีอาการคัน ผิวหนังลอกเป็นขุย และโรคมักเริ่มเกิดที่ซอกนิ้วเท้าก่อน
ดังนั้น การวินิจฉัยที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากทั้งสองโรคนี้มีเชื้อต้นเหตุต่างกัน จึงใช้ยาในการรักษาที่ต่างกัน
โรคเท้าเหม็นนั้นเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเขตร้อนและเขตศูนย์สูตร ประมาณ 95% ของผู้ ป่วยเป็นเพศชาย เนื่องจากผู้ชายมักมีเหงื่อออกมากกว่าผู้หญิง
โรคเท้าเหม็นเกิดได้อย่างไร? มีอะไรเป็นปัจจัยเสี่ยง?
โรคเท้าเหม็น เกิดจากแบคทีเรีย ชื่อ Micrococcus Sedentarius (เมื่อย้อมสีและตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ แบคทีเรียชนิดนี้จะมีรูปร่างกลม ย้อมติดสีม่วง และมีลักษณะอยู่เรียงกันเป็นสาย) ซึ่งพบอยู่ทั่วไปในสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเรา เช่น ในน้ำ ในดิน และในฝุ่นละออง นอก จากนั้นยังพบได้ที่ผิวหนังของเราและของสัตว์ต่างๆ ทั้งนี้ อาจเกิดจากแบคทีเรียชนิดอื่นได้ แต่พบว่าเป็นสาเหตุที่น้อยกว่า เช่น จากแบคทีเรีย Corynebacterium species
โรคเท้าเหม็นนี้พบได้บ่อยในผู้ที่สวมใส่รองเท้าหุ้มส้นเป็นเวลานาน เนื่องจากทำให้มี เหงื่อออกที่เท้ามาก เท้าอับชื้น ส่งผลให้ผิวหนังชั้นนอกสุดของฝ่าเท้า เปื่อยยุ่ย และมีค่าความ เป็นด่างสูงขึ้น เอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งแบคทีเรียจะสร้างเอนไซม์ชื่อ Protease มาย่อยสลายผิวหนังส่วนนอกสุดของฝ่าเท้า เกิดเป็นหลุมเล็กๆจำนวนนับไม่ถ้วน หากมองด้วยแว่นขยาย
ส่วนกลิ่นเหม็นนั้น เกิดมาจากผลที่เกิดจากการย่อยผิวหนังที่ฝ่าเท้าของแบคทีเรีย ที่ส่ง ผลให้ได้สารในกลุ่มซัลเฟอร์ (Sulfur compound) ซึ่งเป็นสารให้กลิ่น
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคนี้นั้น ประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือ
- เชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่ที่เท้า ที่ถุงเท้า ที่รองเท้า
- และ ภาวะที่เอื้อต่อการเจริญของแบคทีเรีย คือ การเปียก อับชื้นของเท้า
ดังนั้น การรักษาความสะอาดของเท้า ถุงเท้า รองเท้า และการลดการเปียกชื้นของเท้า จึงช่วยป้อง กันการเกิดโรคนี้ได้
โรคเท้าเหม็นมีอาการอย่างไร?
โดยปกติแล้วโรคเท้าเหม็นนั้น มักไม่มีอาการอื่น และไม่มีอาการที่อวัยวะอื่น นอกจากอา การที่เท้า จึงทำให้ผู้ที่เป็นโรคเท้าเหม็นจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะมาพบแพทย์ โดยอาการที่พบได้ที่เท้า มีดังนี้ คือ
- ประมาณ 70% ของผู้ป่วยมาด้วยอาการฝ่าเท้าชื้น ลอก ทำให้ถุงเท้าติดกับผิวฝ่าเท้า
- ประมาณ 90% มีกลิ่นเหม็นที่เท้า
- ประมาณ 10% มีอาการคันเท้า
ทั้งนี้ ลักษณะของรอยโรค จะเห็นเป็น
- รอยเปื่อยถลอกที่เท้า โดยเฉพาะฝ่าเท้า เวลาถอด ถุงเท้าออก จะรู้สึกว่าถุงเท้าติดกับฝ่าเท้า
- รอยถลอกที่ฝ่าเท้าจะมีลายคล้ายแผนที่ หากส่องดู ด้วยแว่นขยายจะพบว่า
- รอยถลอกเหล่านี้ประกอบไปด้วยหลุมเล็กๆความลึกประมาณ 0.5-0.7 มิลลิเมตร ปริมาณนับไม่ถ้วน ที่เกิดจากแบคทีเรียย่อยสลายผิวหนังฝ่าเท้าชั้นนอกสุด
- รอยโรค นี้มักพบมากที่ฝ่าเท้าบริเวณที่รับน้ำหนักมาก เช่น ฝ่าเท้าส่วนนิ้วโป้ง ส้นเท้า แต่บริเวณง่ามนิ้ว เท้าที่ไม่ได้รับน้ำหนัก แต่มีความอับชื้นมาก ก็พบได้มากเช่นกัน
ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่?
โรคเท้าเหม็นสามารถรักษาได้หาย จึงควรมาพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและคำแนะนำที่ ถูกต้อง
แพทย์วินิจฉัยโรคเท้าเหม็นได้อย่างไร?
สำหรับการวินิจฉัยโรคเท้าเหม็นนี้ ไม่มีความจำเป็นในการตัดชื้นเนื้อเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา
ทั่วไป แพทย์วินิจฉัยโรคได้จาก
- การสอบถามประวัติอาการ ประว้ติทางการแพทย์อื่นๆ เช่น อาชีพ การงาน การสวมใส่รองเท้า
- รวมกับการตรวจดูรอยโรคที่เท้า
แพทย์รักษาโรคเท้าเหม็นอย่างไร? ใช้เวลารักษานานเท่าไร?
เนื่องจากปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคนี้ มี 2 ประการคือ เชื้อแบคทีเรีย และภาวะอับชื้นของเท้า การรักษาจึงต้องรักษาดูแลทั้ง 2 ปัจจัย
- การรักษาแบคทีเรียนั้น ใช้เป็น
- ยาฆ่าเชื้อ/ ยาปฏิชีวนะ ชนิดทา เช่น ยา Clindamycin ยา Erythromycin
- และ/หรือ ยาทาที่ช่วยให้ผิวหนังลอกตัวเพื่อสร้างผิวหนังขึ้นใหม่และมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อร่วมด้วย เช่น ยา Benzoyl peroxide หรือ ยาที่เป็นแป้งผงฆ่าเชื้อ โดยทายา เช้า-เย็น จน กว่ารอยโรคจะหาย
- ซึ่งขึ้นอยู่กับการหลีกเลี่ยงภาวะอับชื้นของเท้าด้วย
- ส่วนการป้องกันภาวะอับชื้นนั้น ทำได้โดย
- การลดเวลาในการใส่รองเท้าหุ้มส้นให้เหลือน้อยๆที่สุด หรืออาจโดยถอดรองเท้าบ่อยๆ
- ใส่ถุงเท้าที่มีการระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย 100% แต่หากมีเหงื่อออกมาก ควรเปลี่ยนถุงเท้าระหว่างวัน เพื่อลดความอับชื้น
- ใช้แป้งผง 20% Aluminium chloride โรยเท้าวันละ 1-2 ครั้ง หรือตามแพทย์ผู้ รักษาแนะนำ หลังทำความสะอาดเท้าด้วยสบู่ที่มียาฆ่าเชื้อเป็นส่วนผสม แล้วเช็ดเท้าให้แห้ง
- หากยังมีเหงื่อออกมากอยู่ แพทย์อาจพิจารณารักษาอาการเหงื่อออกมากที่เท้า โดยใช้การฉีดยา Botulinum toxin ที่ฝ่าเท้า
อนึ่ง:
- โดยทั่วไป ใช้เวลารักษาให้โรคหายประมาณ 2 อาทิตย์ ถึง 1 เดือน
- เชื้อโรคนี้ มักเป็นเฉพาะที่เท้า ไม่ลุกลามไปย้งอวัยวะอื่น เช่น มือ หรือ ผิวหนังส่วนอื่นๆ
- โรคนี้ไม่ติดต่อไปสู่ผู้อื่น
โรคเท้าเหม็นก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
โรคเท้าเหม็น มักไม่มีอาการ มีไม่มากที่ทำให้เกิดอาการคันหรือเจ็บที่ฝ่าเท้า ปัญหา หลักคือ กลิ่นและรอยโรคบนฝ่าเท้าที่ทำให้เกิดความรำคาญ และอาจมีปัญหาในการเข้าสังคมได้
โรคเท้าเหม็นมีการพยากรณ์โรคเป็นอย่างไร?
การพยากรณ์โรคของโรคเท้าเหม็น คือ
- เป็นโรคที่ตอบสนองต่อการรักษาดี รักษาหายได้ภายใน 2-4 อาทิตย์
- แต่ถ้าเท้ายังอับชื้น โรคก็มักเกิดเป็นซ้ำได้เสมอ ดังนั้น อัตราการกลับเป็นซ้ำ จึงขึ้นอยู่กับ
- การหลีก เลี่ยงภาวะอับชื้นของฝ่าเท้า
- และการทำความสะอาด รองเท้า ถุงเท้า
- เพราะหากเมื่อใดมีองค์ประกอบการเกิดโรคครบ 2 ประการคือ เชื้อแบคทีเรีย และความอับชื้น ก็สามารถกลับเป็นโรคซ้ำได้อีก
ดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคเท้าเหม็น ที่สำคัญ คือ
- หลีกเลี่ยงภาวะที่ทำให้เกิดการอับชื้นที่ เท้า ฝ่าเท้า
- ทำความสะอาดเท้าทุกวัน วันละ 2 ครั้งดังกล่าวในหัวข้อ การรักษา
- ทำความสะอาดถุงเท้าด้วยผงซักฟอกหรือสบู่ที่มีส่วนผสมของยาฆ่าเชื้อในน้ำร้อน ที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส แล้วตากแดดให้แห้งสนิท
- เปลี่ยนถุงเท้าบ่อยๆทุกครั้งที่เปียกชื้น (มีถุงเท้าสำรองติดตัวไปด้วยเสมอ)
- สลับสวมรองเท้า ไม่สวมซ้ำเกิน 2 วัน ผึ่ง/ตากรองเท้าให้แห้งเสมอ และไม่ใช้รอง เท้าร่วมกับผู้อื่นๆ
- ถ้าเป็นไปได้ สวมรองเท้าแตะที่เป็นชนิดสาน หรือ รองเท้าที่เปิดส้น และ/หรือ เปิดหัว
- ตากรองเท้ากลางแจ้งในวันที่แดดออกจัด
เมื่อไหร่ต้องพบแพทย์?ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
เมื่อมีรอยโรคที่เท้า และอาการไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเอง 2-3 วัน ควรพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเสมอ เพื่อการวินิจฉัยที่แน่นอนว่า สาเหตุเกิดจากอะไร
ส่วนเมื่อพบแพทย์แล้ว ควรพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนนัด เพื่อการตรวจรอยโรคว่า เป็นรอยโรคจากสาเหตุใดแน่ และเพื่อทบทวนการใช้ยาในเรื่องขนาดยา และ/หรือ การปรับเปลี่ยนชนิดของยา ซึ่งควรพบแพทย์ก่อนนัด เมื่อ
- หลังการรักษา หากแนวโน้มอาการไม่ดีขึ้น เช่น มีอาการคันมากขึ้น หรือ มีผื่นแดง เพิ่มขึ้น
- ยังกังวลในอาการ
ป้องกันโรคเท้าเหม็นได้อย่างไร?
ป้องกันโรคเท้าเหม็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหลีกเลี่ยง 2 ปัจจัยของการเกิดโรค คือ
ก. ป้องกันเท้าติดเชื้อแบคทีเรียด้วยการรักษาความสะอาด เท้า ถุงเท้า และรองเท้า และ
ข. เลี่ยงการอับชื้นของเท้า
ทั้งนี้ วิธีการในการป้องกัน เช่นเดียวกับที่ได้กล่าวถึงแล้วในหัวข้อ การรักษา และหัวข้อ การดูแลตนเอง
บรรณานุกรม
- Klaus Wolff, Lowell A Goldsmith , Stephen I Katz , Barbara A Gilchrest Amy S. Paller, David J.Leffell ; Fitzpatrick's dermatology in general medicine ; seven edition ; Mc Grawhill medical
- https://emedicine.medscape.com/article/1053078-overview#showall [2019,July20]
- http://www.ijdvl.com/article.asp?issn=0378-6323;year=2005;volume=71;issue=3;spage=213;epage=215;aulast=Singh [2019,July20]
- https://www.dermnetnz.org/topics/pitted-keratolysis/ [2019,July20]