อินเตอร์เฟอรอน (Interferon)
- โดย ภก.วิชญ์ภัทร ธรานนท์
- 26 กรกฎาคม 2563
- Tweet
- บทนำ
- อินเตอร์เฟอรอนมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) อย่างไร?
- อินเตอร์เฟอรอนมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
- อินเตอร์เฟอรอนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
- อินเตอร์เฟอรอนมีวิธีใช้ยาอย่างไร?
- เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
- หากลืมฉีดยาควรทำอย่างไร?
- อินเตอร์เฟอรอนมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
- อินเตอร์เฟอรอนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
- ควรเก็บรักษาอินเตอร์เฟอรอนอย่างไร?
- อินเตอร์เฟอรอนมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
- บรรณานุกรม
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- โรคไวรัสตับอักเสบ บี (Viral hepatitis B)
- โรคไวรัสตับอักเสบ ซี (Viral hepatitis C)
- ไวรัสตับอักเสบ (Viral hepatitis)
- ตับอักเสบ โรคพิษต่อตับ (Toxic hepatitis หรือ Hepatotoxicity)
- เชื้อไวรัส โรคติดเชื้อไวรัส (Viral infection)
บทนำ
อินเตอร์เฟอรอน (Interferon, IFN) คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อกำจัดเชื้อโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อไวรัส ปัจจุบันมีการนำเอาอินเตอร์เฟอรอนมาใช้เป็นยาเพื่อการรัก ษาโรคไวรัสตับอักเสบ – บี และโรคไวรัสตับอักเสบ – ซี ชนิดเรื้อรัง ซึ่งยาอินเตอร์เฟอรอนมีผลทั้ง ฆ่าไวรัส และควบคุมระดับภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของผู้ป่วย พบว่าผู้ป่วยทั้ง 2โรคที่ตอบสนองต่อการรักษามีอุบัติการณ์การเกิดตับวายลดลง การเกิดมะเร็งตับปฐมภูมิ (มะเร็งที่เกิดจากเซลล์อวัยวะนั้นๆไม่ใช่เกิดจากการแพร่กระจายมาจากอวัยวะอื่น)ลดลง และมีอัตราการรอดชีวิตสูงขึ้นเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา
ยาอินเตอร์เฟอรอนซึ่งมีเฉพาะรูปแบบยาฉีดในปัจจุบันมี 2 ชนิดคือ Conventional Interferon (Conventional IFN), และ Pegylated Interferon (Peg-IFN) ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้ออกฤทธิ์ได้นานมากขึ้น โดย
- ยาฉีดชนิด Conventional IFN จะต้องบริหารยาสัปดาห์ละ 3 ครั้งหรือทุกวัน
- ส่วนยาฉีด Peg-IFN จะบริหารยาเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง มีผลข้างเคียงของยาที่ลดลงและมีผลการรักษาที่ดีกว่า จึงทำให้ Peg-IFN เป็นที่นิยมมากกว่า Conventional IFN
ทั้งนี้:
- ข้อดีของการรักษาด้วย Conventional IFN หรือ PEG-IFN คือ ไม่เกิดเชื้อไวรัสตับอักเสบที่ดื้อยา
- ส่วนข้อเสียคือ ยายังมีราคาแพง และที่สำคัญคือ ยามีผลข้างเคียงมาก
อินเตอร์เฟอรอนมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ)อย่างไร?
ยาอินเตอร์เฟอรอนมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ เช่น
- การรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ - บีเรื้อรัง (ทั้ง ชนิด HBeAg - positive และ HBeAg - negative)ทั้งกับผู้ป่วยที่ไม่เป็นโรคตับแข็งและผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งที่ตับยังสามารถทำงานชดเชยได้, และ
- ใช้สำหรับรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ – ซีเรื้อรังที่อาจใช้อินเตอร์เฟอรอนเป็นยาเดี่ยวในการรักษา หรือใช้คู่กับยาไรบาไวริน (Ribavirin: ยาต้านไวรัส ) ทั้งในผู้ป่วยที่ไม่เป็นโรคตับแข็ง และในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งที่ตับยังสามารถทำงานชดเชยได้
อินเตอร์เฟอรอนมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
ยาอินเตอร์เฟอรอนมีกลไกการออกฤทธิ์โดย ตัวยาจะยับยั้งไวรัส โดยยาจะจับกับตัวรับที่จำเพาะบนผิวเซลล์ไวรัส แล้วก่อให้เกิดสัญญาณกระตุ้นให้เซลล์ไวรัสเกิดการเปลี่ยนแปลงยีน/จีน(Gene)ของไวรัสเองอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลทางชีวภาพหลายอย่าง รวมทั้งยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ไวรัส และยังช่วยปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของผู้ป่วยให้ดีขึ้น
อินเตอร์เฟอรอนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
รูปแบบจำหน่ายของยาอินเตอร์เฟอรอนในประเทศไทยมี 3 รูปแบบเภสัชภัณฑ์ ได้แก่
- ยาเตรียมสารละลายปราศจากเชื้อ: สำหรับฉีดเข้าใต้ผิวหนัง โดยบรรจุอยู่ในกระบอกยาพร้อมฉีด (Pre-filled Syringe) สำหรับใช้ครั้งเดียว
- ยาชนิดปากกาและตัวทำละลาย (น้ำกลั่นปราศจากเชื้อสำหรับฉีด): สำหรับฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ฉีดครั้งเดียวแล้วทิ้ง
- รูปแบบยาผงปราศจากเชื้อบรรจุในขวดแก้ว (Powder for injection): สำหรับฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
อินเตอร์เฟอรอนมีวิธีใช้ยาอย่างไร?
ขนาดยาและระยะเวลาในการรักษาด้วยยาอินเตอร์เฟอรอนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ จึงแพทย์จำเป็นต้องมีการปรับขนาดยาตามปัจจัยต่างๆเสมอ โดยพิจารณาลดขนาดยาหรือหยุดยาชั่วคราวในผู้ป่วยบางราย
ปัจจัยที่มีผลต่อขนาดยาอินเตอร์เฟอรอน เช่น
- ข้อบ่งใช้ของยาเพื่อการรักษา
- ค่าความสมบูรณ์ของเลือด (ซีบีซี)
- ค่าการทำงานของไตและของตับ
ก่อนการเริ่มต้นรักษาด้วยอินเตอร์เฟอรอน ผู้ป่วยทุกราย ควรได้รับการตรวจเลือดดูค่าต่างๆ เช่น ซีบีซี, การทำงานของไตและของตับ, การทำงานของต่อมไทรอยด์ และได้รับการตรวจฯซ้ำเป็นระยะๆระหว่างการรับการรักษาตามดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษา
ค่าเริ่มต้นก่อนการรับการักษาด้วยอินเตอร์เฟอรอน ควรเป็นดังนี้ เช่น
- เกล็ดเลือด ควรมากกว่า/เท่ากับ 100,000 ลูกบาศ์กมิลลิเมตร
- เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิวล์ (Neutrophil) ควรมากกว่า/เท่ากับ 1,500 ลูกบาศ์กมิลลิเมตร
- ระดับค่า Thyroid Stimulating Hormone (TSH: ฮอร์โมนกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ ) ต้องอยู่ในระดับปกติ
อนึ่ง แพทย์อาจทำการตรวจค่าต่างๆที่สัปดาห์ที่ 2 และ 4 ของการรักษา หลังจากนั้นตรวจซ้ำเป็นระยะๆในช่วงที่รับการรักษา ทั้งนี้เป็นไปตามตามดุลพินิจของแพทย์
ก. วิธีการบริหารยา/วิธีใช้ยา: เช่น
อินเตอร์เฟอรอนเป็นยาเตรียมสารละลายปราศจากเชื้อสำหรับฉีดเข้าใต้ผิวหนัง โดยบรรจุอยู่ในกระบอกยาพร้อมฉีดสำหรับใช้ครั้งเดียว โดยมีวิธีการใช้ยาพร้อมอุปกรณ์ ดังนี้ เช่น
- นำอินเตอร์เฟอรอน (ตามรูปแบบเภสัชภัณฑ์ที่ผู้ป่วยได้รับจากแพทย์) ออกจากตู้เย็น
- เตรียมอุปกรณ์สำหรับฉีดยาให้ครบถ้วนเช่น เข็มฉีดยา, สำลีชุบแอลกอฮอล์, ภาชนะสำหรับบรรจุของมีคม
- ฉีกบรรจุภัณฑ์อินเตอร์เฟอรอนออก ก่อนใช้ยาฉีดควรตรวจดูสารแปลกปลอมใดๆหรือสียาที่อาจผิดปกติเท่าที่จะสามารถตรวจได้ หากยามีสภาพขุ่น มีฝุ่นหรือผง หรือเปลี่ยนสีไปจากไม่มีสี ให้ทิ้งยาไปเลย ห้ามใช้ยาโดยเด็ดขาด
- คลึงบรรจุภัณฑ์ของอินเตอร์เฟอรอนในฝ่ามือประมาณ 1 นาทีเพื่อให้ยาเข้ากันดี ห้ามเขย่า เพราะอาจทำให้ยาเกิดฟองได้
- ฟอกมือด้วยสบู่ จากนั้นล้างน้ำสบู่ออกจนหมดและสะอาด แล้วเช็ดมือให้แห้งด้วยกระดาษชำระ
- [หากรูปแบบเภสัชภัณฑ์ของท่านเป็นยาเตรียมสารละลายปราศจากเชื้อสำหรับฉีดเข้าใต้ผิว หนังโดยบรรจุอยู่ในกระบอกยาพร้อมฉีด (Pre-filled Syringe) สำหรับใช้ครั้งเดียว และยาชนิดปากกาและตัวทำละลาย (น้ำกลั่นปราศจากเชื้อสำหรับฉีด) สำหรับใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ให้ข้ามข้อ 6 นี้ไป] จากนั้นเปิดฝาปิดจุกขวดยาออก ทำความสะอาดหัวจุกยางด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์พอหมาดๆ จากนั้นดูดยาเข้าสู่กระบอกฉีดยาตามปริมาตรที่กำหนดโดยคว่ำขวดยาลง แล้วจึงค่อยๆ ดึงก้านสูบกระบอกฉีดยาลงจนถึงปริมาตรที่ต้องการ โดยมั่นใจว่าเข็มอยู่ภายใต้ยาที่บรรจุในขวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฟองอากาศขึ้นในกระบอกฉีดยา จากนั้นค่อยๆดึงเข็มฉีดยาออกจากขวดยา
- ปรับปริมาตรภายในกระบอกฉีดยาพร้อมดันฟองอากาศในกระบอกฉีดยาออก
- เลือกตำแหน่งสำหรับการฉีดยาได้แก่ บริเวณหน้าท้องห่างจากสะดือไปประมาณ 3 นิ้วมือหรือ บริเวณต้นขา หลีกเลี่ยงฉีดบริเวณใกล้รอบสะดือหรือรอบเอว จากนั้นทำความสะอาดบริเวณที่ต้อง การฉีดยาด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ รอจนแอลกอฮอล์แห้ง
- ดึงหนังหน้าท้องหรือหนังบริเวณต้นขาขึ้นมาด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้เพื่อยกชั้นผิวหนังขึ้น
- ถือกระบอกฉีดยาพร้อมเข็มในแนว 45 - 90 องศาทำมุมกับหน้าท้องหรือต้นขาบริเวณที่ยก ขึ้นมา
- ค่อยๆสอดปลายเข็มเข้าสู่ร่างกาย (ใต้ผิวหนัง) จากนั้นค่อยๆดันก้านสูบเพื่อปล่อยอินเตอร์เฟอรอนเข้าสู่ใต้ชั้นผิวหนังจนหมดกระบอก
- กดบริเวณที่ฉีดยาด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์อีกครั้งนาน 2 – 3 นาที
- จัดการกับเข็มและกระบอกฉีดยาที่ใช้แล้วตามวิธีการกำจัดกระบอกฉีดยาและอุปกรณ์ที่แหลม คมต่อไป
ข. วิธีการการกำจัดกระบอกฉีดยาและอุปกรณ์ที่แหลมคม: เช่น
ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์พยาบาลหรือเภสัชกร ซึ่งโดยทั่วไปได้แก่
- ต้องใช้และกำจัดกระบอกฉีดยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่แหลมคมอย่างเคร่งครัดตามคำแนะ นำ
- ห้ามนำกระบอกฉีดยาและเข็มมาใช้ซ้ำ
- ทิ้งเข็มและกระบอกฉีดยาที่ใช้แล้วในภาชนะรองรับวัสดุแหลมคม (ภาชนะที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ว่าป้องกันการแทงทะลุได้)
- เก็บภาชนะดังกล่าวให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
- หลีกเลี่ยงการทิ้งภาชนะรองรับวัสดุแหลมคมรวมกับขยะทั่วไป
- กำจัดภาชนะรองรับวัสดุแหลมคมที่เต็มแล้วตามข้อกำหนดของสถานที่หรือตามคำแนะนำของผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ (อ่านในเอกสารกำกับยา)
- หากจำเป็นต้องใช้ยาที่บ้าน ทางโรงพยาบาลควรมอบอุปกรณ์สำหรับเก็บกำจัดกระบอกฉีดยาและเข็มฉีดยาที่ใช้แล้วให้แก่ผู้ป่วย
- การได้รับยานี้เกินขนาดโดยอุบัติเหตุ: มีรายงานพบว่าการได้รับอินเตอร์เฟอรอนอย่างน้อย 2 ครั้งติดต่อกัน (แทนการใช้ยาสัปดาห์ละครั้ง) จนถึงการใช้ยาทุกวันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ไม่มีรายงานผู้ป่วยรายใดเกิดอาการผิดปกติรุนแรง ทั้งนี้ไม่มียาต้านพิษที่จำเพาะเจาะจงสำหรับอิน เตอร์เฟอรอน โดยถ้าเกิดผลข้างเคียงหรือได้รับยาเกินขนาด แพทย์จะให้การรักษาตามอาการ
*****หมายเหตุ:
- หากท่านกำลังใช้ยานี้อยู่ ควรใช้ยาให้ตรงตามที่แพทย์สั่ง ไม่เพิ่ม ลด หรือปรับขนาดยาด้วยตนเองโดยเด็ดขาด หากท่านมีอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา/ผลข้างเคียงที่รุนแรงส่งผลกระ ทบต่อการใช้ชีวิต เกิดขึ้นในช่วงระหว่างกำลังได้รับอินเตอร์เฟอรอน ท่านควรไปพบแพทย์ /ไปโรงพยาบาลก่อนกำหนดนัดได้เพื่อแก้ไขอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าว
- ขนาดยา และระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ผู้รักษาได้ การใช้ยาที่เหมาะสม ควรต้องปรึกษา แพทย์ หรือเภสัชกร ก่อนเสมอ
เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมทั้งยาอินเตอร์เฟอรอน ผู้ป่วยควรแจ้ง แพทย์ พยาบาล และเภสัชกร เช่น
- ประวัติแพ้ยา/แพ้อาหาร/แพ้สารเคมีทุกชนิด
- โรคประจำตัวต่างๆรวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาอินเตอร์เฟอรอนอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อนแล้ว
- ห้ามใช้อินเตอร์เฟอรอนในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบเหตุจากโรคออโตอิมมูน (Autoimmune hepatitis)
- หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์/มีครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
หากลืมฉีดยาควรทำอย่างไร?
การบริหาร/การฉีดยาอินเตอร์เฟอรอน โดยทั่วไปแล้วจะบริหารยาเพียงสัปดาห์ละครั้งหรือ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ดังนั้นการบริหารยาจึงควรบริหารยาให้ตรงกันทุกวันของสัปดาห์เช่น ปกติเริ่มฉีดอินเตอร์เฟอรอนครั้งแรกในวันเสาร์ ดังนั้นสัปดาห์ถัดไปก็ควรจะฉีดอินเตอร์เฟอรอนในวันเสาร์เช่นเดิม กรณีลืมฉีดยาและนึกได้ในวันเดียวกันหรือวันถัดไปอีก 1 - 2 วัน (ไม่เกิน 48 ชั่วโมง) ให้ฉีดยาทันทีที่นึกขึ้นได้ และฉีดยาครั้งต่อไปๆตามปกติ
ถ้าหากลืมฉีดยาฯแล้วนึกขึ้นได้หลังจากวันที่กำหนดฉีดยามากกว่า 2 วัน (เช่น นึกได้ว่าลืมฉีดให้ตรงตามวันมาแล้ว 3 - 5 วัน) จะให้ฉีดยาทันที และฉีดยาครั้งต่อไปห่างจากวันที่ฉีดยาล่า สุด 5 วัน และครั้งต่อไปให้ฉีดตามวันปกติที่ฉีดยาเป็นประจำเช่น ปกติแล้วฉีดยาทุกๆวันจันทร์ แต่ครั้งนี้นึกขึ้นตอนวันศุกร์ (ล่าช้าไป 4 วัน) ดังนั้นแนะนำให้ฉีดยาทันที แล้วครั้งต่อไปนับห่างจากวันศุกร์ 5 วันคือฉีดวันพุธ และครั้งถัดๆไปก็ให้ฉีดยาตามปกติแต่เริ่มแรกคือ วันจันทร์
อินเตอร์เฟอรอนมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
ผล/ อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา(ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง)ของยาอินเตอร์เฟอรอนที่พบได้บ่อย เช่น
- อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ (Flu-like symptom) ซึ่งจะมีอาการเหมือนมีไข้, หนาวสั่น, หัวใจเต้นเร็ว, ปวดเมื้อยเนื้อตัว, ไม่สบายตัว, ปวดหัว ซึ่งมักเกิดในระยะเวลา 1 - 2 ชั่วโมงหลังได้รับการบริหารยา/การฉีดยา และจะดีขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง
อาการอื่นๆที่อาจพบได้ระหว่างใช้ยานี้ ซึ่งมีอาการเป็นติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือรบกวนคุณภาพชีวิตควรปรึกษาแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนแพทย์นัด เช่น
- อ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่าย
- บริเวณที่บริหารยา/ฉีดยามีรอยฟกช้ำ ระคาย เคืองผิว ผิวหนังที่ฉีดยาบวมแดง
- มีอาการปวดท้อง รู้สึกไม่สบายท้อง
- อาเจียน
- รับรสชาติผิดปกติ
- รู้สึกง่วงซึม
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- นอนไม่หลับ
- ผมร่วง ผมบาง
- ผิวแห้ง
- มีเนื้อตาย (แผลเนื้อเน่า) เกิดบริเวณที่ฉีดยาฯเป็นประจำ
- มีผื่นคัน
*อนึ่ง อาการไม่พึงประสงค์จากยาดังต่อไปนี้ หากผู้ป่วยที่กำลังใช้อินเตอร์เฟอรอนอยู่แล้วเกิดอาการฯ ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลทันที เช่น
- มีการมองเห็นผิดปกติ สูญเสียการมองเห็น มีตาพร่ามัว
- สูญเสียการได้ยินหรือได้ยินผิดปกติ
- รู้สึกซึมเศร้า อยากฆ่าตัวตาย อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายกว่าปกติ
- หัวใจเต้นเร็ว
- รู้สึกเจ็บหน้าอก
- มีอาการใจสั่น
- ตัวบวม
- รู้สึกวูบหรือหายใจไม่สะดวก/หายใจลำบาก /หอบเหนื่อย
- มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง
- มีเลือดออกผิดปกติที่อวัยวะต่างๆที่เห็นได้ชัดเจน
- ปวดหลังตอนล่าง
- ประสาทหลอน
- รู้สึกสับสน
- ปวดศีรษะร้ายแรง
- มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ปากเบี้ยว
- อาการไอ
- มีอาการทางระบบหายใจอื่นๆที่อาจสงสัยถึงอาการปอดอักเสบหรือปอดบวมน้ำ
มีข้อควรระวังการใช้อินเตอร์เฟอรอนอย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้ยาอินเตอร์เฟอรอน เช่น
- ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยานี้หรือแพ้ส่วนประกอบของยานี้
- ห้ามใช้กับผู้ที่มีประวัติการแพ้แอลกอฮอล์ชนิด Benzyl Alcohol
- ห้ามใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งชนิดที่ตับไม่สามารถทำงานชดเชยได้(Decompensated cirrhosis) เนื่องจากภาวะนี้เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ง่ายและทำให้มีภาวะตับวายที่เป็นมากขึ้นจนอาจเสียชีวิต (ตาย) ได้
- ห้ามใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีร่วมกับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ – ซีเรื้อรังที่เป็นตับแข็ง
- ห้ามใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่ยังควบคุมการรักษาไม่ได้ดีเช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (โรคซีโอพีดี)
- ห้ามใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนไต หัวใจ หรือปอด
- การใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนในเด็กได้รับการรับรองให้ใช้ได้ในเด็กทารกที่มีอายุมากกว่า/เท่ากับ 2 ปีขึ้นไป โดยยังไม่ได้รับการรับรองให้ใช้ในเด็กทารกที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปีเนื่องจากยังไม่มีข้อมูล ขนาดยาที่เหมาะสม และทารกอาจได้รับผลพิษจากยาได้
- การใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนในช่วงกำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาที่แน่ชัด จึงไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ในช่วงตั้งครรภ์ อีกทั้งไม่แนะนำให้ใช้ยาในผู้ป่วยหญิงที่ไม่เต็มใจยินยอมคุมกำเนิดในระหว่างกำลังได้รับอินเตอร์เฟอรอน
- การใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนในช่วงให้นมบุตร เนื่องจากยังทราบไม่แน่ชัดว่าอินเตอร์เฟอรอนจะหลั่ง ออกมาพร้อมน้ำนมหรือไม่ จึงควรพิจารณาหยุดการรักษาหรือหยุดการให้นมบุตรเพื่อป้องกันอา การไม่พึงประสงค์จากยาที่อาจมีต่อบุตรที่ได้รับน้ำนมได้ ทั้งนี้ขึ้นกับความจำเป็นของการรักษาของมารดาร่วมด้วย โดยขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์
- การใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนคู่กับยาชนิดอื่นๆที่มีฤทธิ์กดการทำงานของไขกระดูก จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดการติดเชื้อ เนื่องจากอินเตอร์เฟอรอนมีฤทธิ์กดการทำงานของไขกระดูกเช่น กันซึ่งจะทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำ
- ในผู้ป่วยที่มีค่าการทำงานของไตลดลงน้อยกว่า 50 มิลลิลิตรต่อนาที การใช้อินเตอร์เฟอรอนจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดพิษจากยาอินเตอฺร์เฟอรอนได้
- การใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนในผู้ป่วยเบาหวานอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ได้
- การใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนในผู้ป่วยที่มีประวัติภาวะชักหรือมีปัญหาทางระบบประสาท อาจกระตุ้นให้เกิดอาการชักขึ้นได้
- การใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนในผู้ป่วยที่มีประวัติโรคซึมเศร้าหรือมีความคิดฆ่าตัวตายอาจกระตุ้นให้อาการซึมเศร้าแย่ลงได้
- การใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนในผู้ป่วยที่มีประวัติปัญหาทางด้านสายตาอาจกระตุ้นให้เกิดสายตาผิดปกติมากยิ่งขึ้น
- การใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนในผู้ป่วยที่มีโรคต่อมไทรอยด์อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะ/โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ / ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน หรือภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน
- ระหว่างการรักษาด้วยยาอินเตอร์เฟอรอน ผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อนเพลีย ง่วงนอน และสับสน จึงควรหลีกเลี่ยงการขับรถและทำงานกับเครื่องจักรเพราะจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
- ยานี้อาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ ดังนั้นต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น และต้องไม่ปรับเพิ่มหรือลดขนาดยาด้วยตนเองเด็ดขาด
อินเตอร์เฟอรอนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
ยาอินเตอร์เฟอรอนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น
- การใช้อินเตอร์เฟอรอนคู่กับยาลดความดันโลหิตสูง ,ยาแคปโทพริว (Captopril) ,หรือยาอินาลาพริว Enalapril จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติของระบบเลือด เช่น เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวชนิดแกรนูโลไซต์ต่ำ(Granulocytopenia) ส่งผลทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย, หรือภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) ส่งผลให้เลือดออกผิดปกติได้ง่ายและเลือดหยุดไหลได้ช้า ดังนั้นหากมีการใช้ยาทั้งคู่ร่วมกัน ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง รวมถึงควรติดตามค่าความสมบูรณ์ของเลือด (ซีบีซี/CBC) อย่างสม่ำเสมอตามแพทย์แนะนำ
- การใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนคู่กับยาโคลชิซีน (Colchicine: ยาลดกรดยูริก) จะส่งผลทำให้ประสิทธิภาพในการลดปริมาณเชื้อไวรัสของอินเตอร์เฟอรอนลดลง ดังนั้นเพื่อประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อไวรัสของอินเตอร์เฟอรอน จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ร่วมกัน
- การใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนคู่กับยาทีโอฟีลีน (Theophylline: ยาขยายหลอดลม) จะเพิ่มความเป็นพิษของยาทีโอฟีลีน โดยอาจมีอาการดังนี้เช่น คลื่นไส้อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว ชัก ดังนั้นหากมีการใช้ยาทั้งสองร่วมกัน แพทย์อาจจำเป็นต้องทำการตรวจเลือดติดตามผลพิษของยาด้วยวิธีการเจาะวัดระดับยาทีโอฟีลีนในเลือด (Therapeutic Drug Monitoring: TDM)ในระหว่างที่ใช้ยาร่วมกัน หรือมีการเปลี่ยนแปลงขนาดยา หรือมีการหยุดใช้ยาร่วมกัน หรือผู้ป่วยมีอาการที่สงสัยความเป็นพิษจากยา
ควรเก็บรักษาอินเตอร์เฟอรอนอย่างไร?
แนะนำเก็บยาอินเตอร์เฟอรอน เช่น
- เก็บยาในภาชนะบรรจุเดิม
- เก็บยาให้พ้นจากแสงต่างๆที่อาจส่องถึงโดยเฉพาะแสงแดด และ
- จำเป็นต้องเก็บยานี้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิประมาณ 2 - 8 องศาเซล เซียส (Celsius) โดย
- เก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา ตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับวางยาคือ วางยา ณ ตำแหน่งภายในตู้เย็น ไม่เลือกตำแหน่งบริเวณฝาประตูตู้เย็น เนื่องจากอุณหภูมิบริเวณฝาตู้เย็นอาจไม่สม่ำเสมอ
- ห้ามเก็บยาในช่องแช่เย็นหรือช่องแช่แข็งโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้ยาเสื่อมสภาพได้ และ
- อินเตอร์เฟอรอนมีความคงตัวอยู่นอกตู้เย็นเพียง 24 ชั่วโมง ดังนั้นหากนำเอาอินเตอร์เฟอรอนออกจากตู้เย็นเกินกว่า 24 ชั่วโมงควรทิ้งยาไป
- นอกจากนี้ ยังไม่ควรเขย่าภาชนะที่บรรจุยานี้อยู่โดยเด็ดขาด เนื่องจากอินเตอร์เฟอรอนเป็นโปรตีน การเขย่าอาจทำให้ยาในภาชนะบรรจุเกิดฟองอากาศขึ้นซึ่งไม่เหมาะสมกับการบริหารยา
อินเตอร์เฟอรอนมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
ยาอินเตอร์เฟอรอน มียาชื่อการค้า และบริษัทผู้ผลิต เช่น
ชื่อการค้า | บริษัทผู้ผลิต |
---|---|
Bioferon (Interferon alfa 2b) (ไบโอฟีรอน) | Bio Sidus |
Rabif (Interferon beta 1a) (ราบีฟ) | Pfizer |
Betaferon PFS (Interferon beta 1b) (เบต้าฟีรอน) | Bayer Healthcare Pharms |
Pegasys (Peg-Interferon alfa 2a) (เพกกาซีส) | Roche |
Peg-Intron (Peg-Interferon alfa 2b) (เพกอินตรอน) | MSD |
Peg-Intron Radipen (Peg-Interferon alfa 2b) (เพกอินตรอน ราดิเพน) | MSD |
บรรณานุกรม
1. Taketomo CK, Hodding, JH, Kraus DM, .Pediatric & Neonatal Dosage Handbook, 19th ed. Hudson, Ohio, Lexi-Comp, Inc.; 2012
2. Lacy CF. Amstrong LL, Goldman MP, Lance LL. Drug Information handbook. 20th ed. Ohio: Lexi-Comp,Inc.; 2011-12.
3. Product Information:Pegasys, Pefinterferon alfa-2a, Roche, Thailand.
4. TIMS (Thailand). MIMS. 130th ed. Bangkok: UBM Medica ;2013
5. Idrian García-García1, Carlos A González-Delgado, Carmen M Valenzuela-Silva1 and et al. Pharmacokinetic and pharmacodynamics comparison of two “pegylated” interferon alpha-2 formulations in healthy male volunteers: a randomized, crossover, double-blind study. BMC Pharmacology, 2010.