อาการน้ำนมไหล (Galactorrhea)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 2 กุมภาพันธ์ 2563
- Tweet
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
- อะไรเป็นสาเหตุเกิดอาการน้ำนมไหล?
- อาการน้ำนมไหลมีอาการอย่างไร?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
- แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุอาการน้ำนมไหลได้อย่างไร?
- รักษาอาการน้ำนมไหลได้อย่างไร?
- อาการน้ำนมไหลมีความรุนแรง/การพยากรณ์โรคอย่างไร? มีผลข้างเคียงอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไรเมื่ออาการน้ำนมไหล ?
- ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
- มีวิธีตรวจคัดกรองให้พบสาเหตุตั้งแต่แรกของอาการน้ำนมไหลไหม?
- ป้องกันอาการน้ำนมไหลได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
- โปรแลกติน (Prolactin)
- โรคสมอง โรคทางสมอง (Brain disease)
- พีซีโอเอส หรือ พีโอเอส: กลุ่มอาการรังไข่มีถุงน้ำหลายใบ (PCOS หรือ POS : Polycystic ovarian syndrome)
- ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน (Hypothyroidism)
- ยาต้านเศร้า(Antidepressants)
- อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (Adverse Drug Reaction)
- โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกบาง (Osteoporosis and Osteopenia)
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
อาการน้ำนมไหล(Galactorrhea) คือ โรค/ภาวะผิดปกติที่มีน้ำนมไหลผิดธรรมชาติ ซึ่งในธรรมชาติจะมีน้ำนมไหลที่เป็นอาการปกติในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ทั้งนี้อาการน้ำนมไหลไม่ใช่โรค แต่เป็นอาการของโรค/ภาวะที่ทำให้มีฮอร์โมนโปรแลคตินสูงในเลือด โดยอาการน้ำนมไหลมักพบเกิดทั้ง 2 เต้านม แต่ก็พบเกิดกับเต้านมได้เพียงเต้านมเดียว และโอกาสเกิดกับเต้านมขวาหรือซ้ายจะใกล้เคียงกัน
อาการน้ำนมไหล เป็นอาการพบน้อย และยังไม่มีการรายงานสถิติการเกิดที่แน่นอน เป็นอาการเกิดได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย แต่พบในเพศหญิงสูงกว่าในเพศชายมาก พบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่ทารกแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ แต่พบในวัยเจริญพันธ์สูงกว่าวัยอื่นๆ
อะไรเป็นสาเหตุเกิดอาการน้ำนมไหล?
สาเหตุการเกิดอาการน้ำนมไหล คือ การมีภาวะฮอร์โมนโปรแลกตินสูงในเลือด ซึ่งเกิดจาก 3 สาเหตุหลัก ได้แก่ สาเหตุจากภาวะตามธรรมชาติ(Physiologic galactorrhea), สาเหตุจากโรค/ภาวะผิดปกติ(Pathologic galactorrhea), และ ไม่ทราบสาเหตุ
1. สาเหตุจากภาวะตามธรรมชาติ: คือ สาเหตุตามธรรมชาติที่พบได้ในทุกคนเมื่อร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเหตุการณ์ต่างๆที่เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งปริมาณโปรแลกตินในเลือดจากสาเหตุนี้ มักสูงไม่มาก และเมื่อเหตุการณ์นั้นๆผ่านไป ปริมาณโปรแลกตินในเลือดก็จะค่อยๆลดลงเองจนเป็นปกติโดยไม่จำเป็นต้องมีการรักษา และทั่วไปส่วนใหญ่มักไม่ก่ออาการมาก ยกเว้นในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรที่เต้านมจะใหญ่ขึ้นและมีน้ำนมไหลมาก ซึ่งเหตุการณ์ตามธรรมชาติเหล่านั้น เช่น การตั้งครรภ์ การให้นมบุตร การกระตุ้นหัวนมบ่อยๆด้วยการสัมผัส ดูด หรือนวด/คลึง หัวนมและเต้านม ภาวะในช่วงนอนหลับกลางคืน เมื่อมีความเครียดเรื้อรัง มีการออกกำลังกายหักโหมต่อเนื่อง และช่วงมีความรู้สึกทางเพศ/มีเพศสัมพันธ์บ่อย
2. สาเหตุจากโรค/ภาวะผิดปกติ: ได้แก่
ก.ผลข้างเคียง/ อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาบางกลุ่ม/บางชนิด(Pharmacological causes): สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อย โดยปริมาณโปรแลกตินที่สูงขึ้นในเลือดจะขึ้นกับประเภทและขนาด/dose ของยานั้นๆ ซึ่งอาการต่างๆที่พบมักไม่รุนแรง และจะค่อยๆหายไปเองหลังหยุดยานั้นๆไปแล้วประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่ยาบางชนิดอาจจะใช้เวลาเป็นเดือนได้ กรณีอาการจากสาเหตุนี้ ไม่จำเป็นต้องมีการรักษาเพิ่มเติมจากการหยุดยาแต่อย่างใด โดยกลุ่มยาที่พบเป็นสาเหตุ เช่น
- ยารักษาโรคจิต เช่นยา Phenothiazine, Haloperidol
- ยาต้านเศร้า เช่นยา TCA, MAOI, Serotonin reuptake inhibitor, H2 antagonist
- ยาฮอร์โมนเพศ เช่นยา Estrogen, ยาเม็ดคุมกำเนิด
- ยาลดความดันโลหิต เช่นยา Verapamil, Methyldopa
- ยาดมสลบ
- ยา H2 antagonist เช่นยา Cimeidine, Ranitidine
- ยากลุม Opioids เช่นยา Morphine และรวมไปถึงสารเสพติด Cocaine และ Heroin
- ยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท เช่นยา Benzodiazepines
- Dopamine antagonist เช่น Metoclopramide, Domperidone, Cisapride
- ยาแผนโบราณ สมุนไพร อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บางชนิด
- อื่นๆ: มีรายงาน ยาเคมีบำบัดบางชนิดอาจทำให้เกิดภาวะนี้ได้
ข. โรคสมอง: เช่น เนื้องอกต่อมใต้สมอง เนื้องอกโปรแลคติโนมา เนื้องอกสมองชนิดต่างๆที่กดเบียดทับเนื้อเยื่อสมองส่วน Hypothalamus และ/หรือกดเบียดทับต่อมใต้สมอง หรือรอยโรคต่างๆ(เช่น สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การบาดเจ็บ/อุบัติเหตุของสมอง ภาวะเลือดออกในกะโหลกศีรษะ)ที่ส่งผลต่อการทำงานของเนื้อเยื่อสมองส่วน Hypothalamusและ/หรือส่วนต่อมใต้สมอง
ค. อื่นๆ: เช่น
- โรคไตเรื้อรัง/ ภาวะไตวายเรื้อรัง และ/หรือ ตับวายเรื้อรัง เพราะเป็นสาเหตุให้ร่างกายกำจัดสารเคมีต่างๆที่รวมถึงฮอร์โมนโปรแลกตินออกจากร่างกายทางไต ทางตับ ได้น้อยลง จึงเหลือโปรแลกตินในเลือดสูงขึ้น
- ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน, โรคPCOS, ซึ่งโรคเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติในการสร้างฮอร์โมนต่างๆของต่อมใต้สมองที่รวมถึงโปรแลกติน
3. บางครั้งแพทย์หาสาเหตุไม่ได้: ซึ่งกรณีนี้น้ำนมมักไหลไม่มาก และปริมาณโปรแลกตินในเลือดมักสูงไม่มาก ซึ่งแพทย์จะให้การรักษาโดยการเฝ้าติดตามอาการและระดับโปรแลกตินในเลือด ซึ่งถ้าอาการมากขึ้น หรือระดับโปรแลกตินในเลือดสูงขึ้น แพทย์จะให้การรักษาโดยการให้ยาในกลุ่มกดการสร้างโปรแลกติน ดังจะกล่าวในหัวข้อ “การรักษาฯ”
อาการน้ำนมไหลมีอาการอย่างไร?
อาการน้ำนมไหลจะเป็นอาการจากมีโปรแลคตินสูงในเลือด ซึ่งนอกจากจะมีน้ำนมไหลผิดปกติแล้ว อาการอื่นๆที่มักเกิดร่วมด้วยได้แก่
- ในผู้หญิง: อาการที่พบบ่อย เช่น
- มีประจำเดือนผิดปกติ เช่น มีเลือดประจำเดือนน้อยกว่าปกติ นานครั้งจึงจะมีประจำเดือน การขาดประจำเดือน และ
- ภาวะช่องคลอดแห้ง
- ในผู้ชาย: อาการที่พบในผู้ชาย เช่น
- นกเขาไม่ขัน และ
- อาจมีเต้านมใหญ่ขึ้น(ภาวะผู้ชายมีเต้านม)
- ในทั้งสองเพศ: อาการที่พบในทั้ง 2 เพศ คือ
- มีน้ำนมผิดปกติ อาจเกิดข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้างของเต้านม(ส่วนใหญ่พบมีน้ำนมทั้ง2เต้า) โดยในผู้หญิงจะเกิดได้ในภาวะที่ไม่ได้ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และอาการน้ำนมไหลมักเกิดในผู้หญิงสูงกว่าในผู้ชายมาก
- ภาวะมีบุตรยาก
- ความรู้สึกทางเพศลดลง
- กระดูกบางหรือกระดูกพรุน
- ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน
- บางครั้งอาจพบอาการเป็นสิวมากผิดปกติ
- อาจมีภาวะขนดก ที่มักพบในผู้หญิงมากกว่าในผู้ชาย
- นอกจากนั้นในกรณีสาเหตุเกิดจากเนื้องอกต่อมใต้สมองโดยเฉพาะชนิด โปรแลคติโนมา หรือกรณีสาเหตุจากเนื้องอกสมองที่กดเบียดทับต่อมใต้สมอง/กดเบียดทับเนื้อเยื่อสมอง คือ
- อาการปวดศีรษะเรื้อรัง และ
- มีการมองเห็นภาพผิดปกติโดยมักมองภาพด้านข้างไม่เห็น ที่เกิดจากก้อนเนื้องอกฯเบียดทับเส้นประสาทตาส่วนที่อยู่ติดกับต่อมใต้สมอง
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
เมื่อมีอาการดังกล่าวในหัวข้อ “อาการฯ” ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอ
แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุอาการน้ำนมไหลได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยอาการน้ำนมไหลและหาสาเหตุของอาการนี้ได้จาก
- การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น อาการ ประวัติประจำเดือน(ในผู้หญิง) ประวัติโรคประจำตัวต่างๆ การใช้ยาต่างๆที่รวมทั้งยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ สมุนไพร อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- การตรวจร่างกาย
- การตรวจภายใน(ในผู้หญิง)
- การตรวจคลำเต้านม
- ตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมนโปรแลกตินและฮอร์โมนต่างๆตามดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษา เช่น ฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ และ
- อาจตรวจอื่นๆเพิ่มเติมเพื่อการสืบค้นตามอาการผิดปกติต่างๆและดุลพินิจของแพทย์ เช่น การตรวจภาพสมอง และ/หรือต่อมใต้สมองด้วย เอกซเรย์คอมพิวเตอร์/ ซีทีสแกน หรือ เอมอาร์ไอ
รักษาอาการน้ำนมไหลได้อย่างไร?
แนวทางการรักษาอาการน้ำนมไหล ได้แก่
- การเลิกใช้ยาที่เป็นสาเหตุ โดยปรับเปลี่ยนไปใช้ยาที่ไม่มีผลหรือมีผลน้อยในการกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองสร้างโปรแลกติน
- ใช้ยาช่วยลดการสร้างโปรแลกติน เช่น ยากลุ่ม Dopamine agonist (เช่นยา Bromocriptine)
- การผ่าตัด และ/หรือฉายรังสีรักษาบริเวณรอยโรค เช่น กรณีสาเหตุจาก เนื้องอกสมอง หรือเนื้องอกต่อมใต้สมอง
- การรักษา ควบคุมโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ หรือที่เกิดร่วมกับภาวะโปรแลคตินสูงในเลือด เช่น โรคไต โรคตับ ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน
อาการน้ำนมไหลมีความรุนแรง/การพยากรณ์โรคอย่างไร? มีผลข้างเคียงอย่างไร?
ความรุนแรง/การพยากรณ์โรคของอาการน้ำนมไหลจะขึ้นกับสาเหตุ แต่โดยทั่วไป อาการ/โรคนี้ มีการพยากรณ์โรคที่ดี แพทย์มักรักษาควบคุมอาการได้ และอาการนี้ มักไม่เป็นสาเหตุให้เสียชีวิต
ส่วนผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จากอาการนี้ จะเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการมีโปรแลคติตสูงในเลือดเรื้อรัง เช่น
- โรคกระดูกบาง / โรคกระดูกพรุน
- ภาวะมีบุตรยาก
- มีความรู้สึกทางเพศลดลง
- ประจำเดือนผิดปกติ หรือภาวะขาดประจำเดือน(ในผู้หญิง)
- นกเขาไม่ขัน(ในผู้ชาย)
ดูแลตนเองอย่างไรเมื่ออาการน้ำนมไหล ?
การดูแลตนเองเมื่อมีอาการน้ำนมไหล ได้แก่
- ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
- กินยาต่างๆที่แพทย์สั่ง ให้ครบถ้วนถูกต้อง ไม่ขาดยา ไม่ลืมกินยาบ่อยๆ ไม่หยุดยาเอง
- หลีกเลี่ยงการกระตุ้นหัวนม ที่รวมไปถึงเสื้อช้นในที่เสียดสีหัวนมตลอดเวลา
- ไม่ควรตรวจคลำเต้านม/หัวนมเพื่อการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมบ่อยจนเกินไป เช่น บ่อยกว่า 1 ครั้งต่อวัน/สัปดาห์
- ไปโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจต่างๆเพื่อดูแลรักษาผลข้างเคียงจากโรคนี้ตามแพทย์นัด เช่น การตรวจความหนาแน่มวลกระดูกที่แพทย์มักให้ตรวจปีละ 1 ครั้ง เป็นต้น
- พบแพทย/ไปโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ
ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
เมื่อมีอาการน้ำนมไหล ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่อ
- อาการต่างๆไม่ดีขึ้น หรืออาการเลวลง เช่น น้ำนมไหลมากขึ้น ประจำเดือนมามาก หรือมาบ่อยจนเกิดภาวะ/โรคซีด
- มีอาการที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น ปวดศีรษะรุนแรง/ ปวดศีรษะร้ายแรง ต่อเนื่อง หรือมีการมองเห็นภาพผิดปกติ
- มีผลข้างเคียงจากยาที่แพทย์สั่งจนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น คลื่นไส้-อาเจียนมาก ท้องเสียมาก
- เมื่อกังวลในอาการ
มีวิธีตรวจคัดกรองให้พบสาเหตุตั้งแต่แรกของอาการน้ำนมไหลไหม?
ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีตรวจคัดกรองหาสาเหตุของอาการน้ำนมไหลตั้งแต่แรกที่ยังไม่มีอาการ ดังนั้นการดูแลตนเองที่ดีที่สุด คือ รีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเมื่อมีอาการดังกล่าวในหัวข้อ “อาการฯ” เพื่อให้ได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ ที่จะส่งผลให้การรักษาควบคุมโรค มีประสิทธิภาพสูงสุด
ป้องกันอาการน้ำนมไหลได้อย่างไร?
อาการน้ำนมไหลที่สามารถป้องกัน/ลดโอกาสเกิดได้ คือ
- สาเหตุที่เกิดจาก โปรแลคตินสูงในเลือด, ผลข้างเคียงของยา, หรือจากโรคเรื้อรัง เช่น โรคไต, ซึ่งการป้องกันคือ
- อย่ากินยาพร่ำเพื่อ
- ไม่ควรซื้อยาต่างๆกินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อน
- ที่สำคัญอีกประการคือ ในการรักษาโรคต่างๆ ควรใช้ยารักษาโรคตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น
- อ่านเพิ่มเติมในเรื่อง สิ่งที่ควรทราบ/ข้อควรระวังเมื่อมีการใช้ยาต่างๆได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง “ยารักษาโรค” และเรื่อง “ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด”
- ส่วนในการป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น “โรคไต” หรือ “โรคไตเรื้อรัง” หรือ”ไตวาย” แนะนำให้อ่านเรื่องต่างๆเหล่านั้นเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com
อนึ่ง อาการน้ำนมไหล ที่สาเหตุเกิดจากโปรแลคตินสูงในเลือดจากสาเหตุอื่นๆที่เป็นสาเหตุป้องกันไม่ได้ การดูแลตนเองที่ดีที่สุดคือ รีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเมื่อมีอาการดังกล่าวในหัวข้อ “อาการฯ” เพื่อให้ได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ ที่จะส่งผลให้ การรักษาควบคุมโรคเหล่านั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด
บรรณานุกรม
- Huang,W., and Molitch, M. Am Fam Physician. 2012;85(11):1073-1080
- Leung,A., and Pacaud, D. Am Fam Physician. 2004; 70(3) 543-550
- https://www.drugs.com/mcd/galactorrhea [2020,Feb1]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Galactorrhea [2020,Feb1]
- https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/17924-galactorrhea [2020,Feb1]