หมอสมศักดิ์ชวนคุย ตอน สิ่งควรรู้เมื่อท่านต้องใช้ยา
- โดย ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า
- 3 กรกฎาคม 2563
- Tweet
ยาเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่ทุกคนต้องใช้รักษาอาการเจ็บป่วย ตั้งแต่ยาแก้ปวด ยาลดไข้ ยาฆ่าเชื้อ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้ท้องอืด ยาทาแผล และอื่นๆ อีกมากมาย ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่เคยใช้ยาเลย แต่กลับพบว่าความรู้เกี่ยวกับการใช้ยานั้นมีไม่มากนัก และอาจเข้าใจผิดก็ได้ วันนี้ผมอยากมาชวนคุยความรู้เรื่องยาที่เราควรรู้ครับ
1. การรักษาด้วยยา ควรใช้เมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่มีอาการผิดปกติอะไรก็ต้องทานยาทุกครั้ง อาการผิดปกติส่วนหนึ่งหายเองได้ โดยไม่ต้องใช้ยา ดังนั้นการใช้ยาควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ เภสัช หรือพยาบาลที่มีประสบการณ์
2. ยามีทั้งรูปแบบทาน ทาภายนอก ฉีดเข้ากล้าม ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ฉีดเข้าโพรงน้ำในสมอง ฉีดเข้ารูทวารหนัก ซึ่งยาที่ใช้ในแต่ละรูปแบบนั้นไม่สามารถนำมาใช้ด้วยวิธีอื่นๆ ได้ เพราะรูปแบบการผลิตเตรียมยามานั้นมีสารที่เป็นส่วนผสมนอกจากยาแตกต่างกัน จึงไม่สามารถนำยาแบบทานมาฉีด หรือยาแบบฉีดมาทานได้
3. การใช้ยาที่แพทย์สั่งให้ใช้ยาเฉพาะเวลาที่มีอาการเท่านั้น เช่น ยาลดไข้ ทานเฉพาะเวลามีไข้ หรือทานทุก 6-8 ชั่วโมงนั้น ก็ทานตามวิธีที่แพทย์แนะนำ ไม่จำเป็นต้องทานจนหมด แต่ถ้ายาที่แพทย์สั่งรักษาโรค เช่น โรคปอดติดเชื้อ ต้องทานยาครบตามเวลา และต้องทานให้หมดตามที่แพทย์สั่งยามาให้ เพราะต้องรักษาให้ครบ ถ้าไม่ครบโรคจะไม่หาย และอาจกลับเป็นซ้ำได้
4. กรณีเป็นยารักษาโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ถ้ายาหมดก่อน หรือยาหาย ห้ามขาดยา ควรต้องไปพบแพทย์ก่อนนัดหรือหาซื้อยาจากร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำร้านยา อย่าขาดยาถึงแม้จะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ก็ตาม ต้องทานยาสม่ำเสมอ ห้ามขาด
5. กรณียาที่เก็บไว้นานๆ แล้วนำมาใช้อีก ควรตรวจเช็ควันหมดอายุของยาชนิดนั้นๆ เสมอ เพราะยาอาจหมดอายุแล้วได้ การใช้ยาที่หมดอายุอาจก่อให้เกิดอันตรายแล้วก็ไม่ได้ผลในการรักษาด้วย โดยที่กล่อง ขวด ซอง หรือแผงหน้าจะระบุวัน เดือน ปีที่ผลิต และวัน เดือน ปีที่หมดอายุ
6. การเก็บยาไม่ควรเก็บไว้ในที่อุณหภูมิสูง ถูกแดด ในรถ หรือใกล้ที่มีความชื้นสูง เพราะอาจทำให้ยาเสื่อมคุณภาพได้ง่าย ยกเว้นยาที่ระบุไว้ว่าต้องเก็บในที่อุณหภูมิต่ำ เช่น ในตู้เย็นช่องปกติ และควรเก็บให้ห่างจากที่เด็กสามารถหยิบจับได้ เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายได้จากเด็กนำมาเล่นแล้วทานเข้าไป
7. ห้ามนำยาที่ใช้รักษาของคนหนึ่งไปใช้กับอีกคนหนึ่งที่มีอาการคล้ายกัน เพราะอาจเกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกัน ยาที่ใช้รักษาย่อมแตกต่างกัน ถ้านำยามาใช้ผิดข้อบ่งชี้ อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ยกเว้นยาแก้ปวด ยาลดไข้ ยาสามัญประจำบ้านที่ใช้แก้อาการเจ็บป่วยทั่วไป สามารถใช้แทนกันได้ แต่ก็ควรอ่านข้อบ่งชี้ของยาชนิดนั้นๆ ก่อนเสมอ
8. ถ้าลืมทานยาก่อนอาหาร เมื่อนึกออกว่าลืมทานยาก่อนอาหาร ก็สามารถนำยาก่อนอาหารมาทานหลังอาหารได้ ถึงแม้ยานั้นจะออกฤทธิ์หรือมีประสิทธิภาพไม่ดีเท่าทานก่อนอาหารก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทานยานั้นเลย การลืมทานยาเมื่อนึกออกว่าลืมก็สามารถนำยาที่ลืมทานนั้นมาทานได้ทันที แต่ห้ามทานยาซ้ำหรือเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า เช่น ลืมทานยาหลังอาหารเช้า มานึกออกว่าลืมทานยาเมื่อเวลา 10 โมงเช้า ก็ให้นำยาหลังอาหารมื้อเช้า และมื้อกลางวันก็ทานตามปกติ แต่ถ้านึกออกตอนเวลาทานอาหารกลางวัน ก็ให้ทานยาหลังอาหารกลางวันตามปกติ ไม่ให้เพิ่มยาเป็นขนาด 2 เท่า
9. การทานยาก่อนนอนนั้น หมายถึงการนอนกลางคืนเท่านั้น ไม่ใช่นอนกลางวันก็ทานยาก่อนนอนกลางวันด้วย เพราะบางคน เช่น ผู้สูงอายุมักนอนกลางวันด้วย อาจเข้าใจผิดนำยามาทานก่อนนอนกลางวันด้วย ก็ให้เกิดอันตรายได้จากยาเกินขนาด กรณีที่ทำงานเป็นผลัด แล้วต้องทำงานช่วงดึกไม่ได้นอนตามเวลาปกติ ก็ให้ทานหลังลงเวรผลัดดึก ก่อนที่จะนอนพักผ่อนได้
10. ถ้าจำเป็นต้องหาซื้อยามาทานเอง แนะนำให้ซื้อจากร้านยาที่มีเภสัชกรประจำร้าน หรือร้านยาที่มีป้ายแนะนำ ร้านยาคุณภาพ กรณีมีปัญหาหรือข้อสงสัยในการใช้ยา ควรปรึกษาเภสัชกร หรือแพทย์ที่สถานพยาบาลดีกว่า หรือการสอบถามจากทางเว็บไซต์ที่มีเภสัชกร หรือแพทย์เป็นผู้ให้คำแนะนำ
อย่าประมาทครับ ยาเป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิต อย่าเพิกเฉยครับ ควรศึกษาให้ดีนะครับ