ลีโวบูโนลอล (Levobunolol)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

ยาลีโวบูโนลอล(Levobunolol) เป็นยาในกลุ่มเบต้า-บล็อกเกอร์ (Beta-blocker) ทางคลินิกนำมาใช้เป็นยาหยอดตาเพื่อบำบัดอาการโรคต้อหิน (Glaucoma) และอาการความดันในลูกตาสูง/ความดันตาสูง(Ocular hypertension) โดยตัวยาจะมีกลไกลดการผลิตของเหลวในลูกตา

ถึงแม้ยาลีโวบูโนลอลจะเป็นยาใช้ภายนอกก็จริง แต่ยาลีโวบูโนลอลก็มีข้อจำกัดการใช้เหมือนกับยาอื่นทั่วไป เช่น

  • ห้าม/หลีกเลี่ยงการใช้กับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาลีโวบูโนลอล
  • ห้ามใช้กับผู้ป่วยด้วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคหัวใจล้มเหลว ผู้ที่มีภาวะการทำงานของคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ (Complete or second-degree heart block) ภาวะช็อกของหัวใจ (Heart shock) หรือผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นช้ากว่า 45 ครั้ง/นาทีหลังจากมีภาวะหัวใจวาย
  • ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคหืด จัดเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยา ลีโวบูโนลอล
  • สตรีตั้งครรภ์ และสตรีที่อยู่ในภาวะเลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมมารดา ควรต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาลีโวบูโนลอล
  • มียาต่างๆหลายรายการเมื่อใช้ร่วมกับยาลีโวบูโนลอล อาจทำให้ผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียง หรือทำให้เกิดอาการข้างเคียงด้วยเกิดจากภาวะยาตีกัน(ปฏิกิริยาระหว่างยา)ได้ จึงเป็นหน้าที่ที่ผู้ป่วยควรต้องแจ้ง แพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทุกครั้งว่ามีการใช้ยาชนิดใดอยู่ก่อน โดยเฉพาะรายการยาดังต่อไปนี้ เช่น Beta-blockers, Bupivacaine, Calcium channel blockers, Reserpine, Digoxin, Disopyramide, Flecainide, Insulin, Ketanserin, Phenothiazines, Quinazolines, Verapamil, และ Clonidine

ยังมีหลักการง่ายๆของการใช้ยาหยอดตารวมถึงยาลีโวบูโนลอล ที่ผู้บริโภคควรเรียนรู้และนำมาปฏิบัติด้วยจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาของตัวผู้ป่วยเอง อาทิเช่น

  • ห้ามใส่คอนแทคเลนส์ขณะที่ต้องหยอดตาด้วยยาลีโวบูโนลอล แพทย์จะให้คำปรึกษาได้เป็นอย่างดีว่า หลังการหยอดตาแล้วสามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้เมื่อใด
  • ล้างมือก่อนทำการหยอดตาทุกครั้ง หยอดยาลงบริเวณด้านในของเปลือกตา/หนังตาแล้วหลับตา ใช้นิ้วคลึงบริเวณหัวตาอย่างแผ่วเบาเพื่อให้ตัวยากระจายได้ทั่ว ตา หลับตาประมาณ 1 – 2 นาที หลีกเลี่ยงการกระพริบตาถี่ๆ
  • เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของเชื้อโรคลงในตัวยา ห้ามมิให้ปลายหลอดหยดยา สัมผัสกับ เปลือกตา นิ้วมือ หรืออวัยวะอื่นใดของร่างกาย และปิดขวดอย่างมิดชิด หลังการหยอดตาเสร็จทันที
  • ควรใช้ยาลีโวบูโนลอลต่อเนื่องจนอาการดีขึ้น หลีกเลี่ยงการลืมหยอดตา

อนึ่ง สำหรับข้อมูลด้านความปลอดภัยของการใช้ยาลีโวบูโนลอล ที่ควรทราบและนำไปปฏิบัติ มีดังนี้ เช่น

  • หากพบว่ามีอาการ ตาพร่า ง่วงนอน เวียนศีรษะ หลังหยอดตาด้วยยาลีโวบูโนลอล ต้องหลีกเลี่ยงการขับขี่ยวดยานพาหนะทุกชนิด และ/หรือการทำงานกับเครื่องจักร ด้วยจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
  • ทุกครั้งที่ต้องพบ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล ควรต้องแจ้งให้ทราบว่าขณะนี้ตนเองอยู่ในช่วงที่ใช้ยาหยอดตาลีโวบูโนลอล
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ได้รับยาลีโวบูโนลอล อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย สังเกตจากมีอาการ หัวใจเต้นเร็ว เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อปรับขนาดรับประทานของยาโรคเบาหวานด้วย
  • ในส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ยาลีโวบูโนลอลบางสูตรตำรับ อาจมีองค์ประกอบทางเคมีของสารซัลไฟต์ (Sulfites) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นอาการแพ้ต่างๆ จึงเป็นเหตุผลที่ต้องระวังการใช้ยานี้กับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางประเภท เช่น โรคหืด
  • ระหว่างการใช้ยาหยอดตาลีโวบูโนลอล ผู้ป่วยควรได้รับการวัดความดันตา เป็นระยะๆตามที่แพทย์นัดหมายทุกครั้ง

สำหรับผลข้างเคียงที่พบเห็นบ่อยสำหรับผู้ที่ใช้ยาหยอดตาลีโวบูโนลอล ได้แก่ มีอาการ ตาพร่า น้ำตามาก รู้สึกปวดบริเวณคิ้วหรือหน้าผาก และตาแพ้แสงได้ง่าย

กรณีที่ผู้ป่วยหยอดยาลีโวบูโนลอล เกินขนาด จะทำให้เกิดอาการ วิงเวียน หัวใจเต้นช้าตามมา หากพบอาการดังกล่าว ควรต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว รีบด่วน

อนึ่ง หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยาลีโวบูโนลอลเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้จากจักษุแพทย์หรือเภสัชกรได้โดยทั่วไป

ลีโวบูโนลอลมีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?

ลีโวบูโนลอล

ลีโวบูโนลอลมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ เช่น

  • บำบัดรักษาโรคต้อหิน (Open-angle glaucoma)
  • ใช้ลดความดันที่เกิดภายในลูกตา/ความดันตาสูง (Ocular hypertension)

ลีโวบูโนลอลมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?

ยาลีโวบูโนลอล เป็นยาประเภทเบต้า-บล็อกเกอร์ (Beta-blocker) ตัวยาจะออกฤทธิ์ลดการผลิตของเหลวภายในลูกตา ส่งผลให้แรงดันภายในลูกตา/ความดันตาลดลง ด้วยกลไกนี้เอง ที่ทำให้เกิดฤทธิ์ของการรักษาตามสรรพคุณ

ลีโวบูโนลอลมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?

ยาลีโวบูโนลอลมีรูปแบบการจัดจำหน่ายเป็น ยาหยอดตา ขนาดความเข้มข้น 0.25 และ 0.50%

ลีโวบูโนลอลมีขนาดการใช้ยาอย่างไร?

ยาลีโวบูโนลอลมีขนาดการใช้ เช่น

  • ผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป: หยอดตาด้วยยานี้ที่มีความเข้มข้น 0.25%, 1 – 2 หยด วันละ 2 ครั้ง หรือหยอดตาด้วยยาที่มีความเข้มข้น 0.5% 1 – 2 หยด วันละ 1 ครั้ง
  • เด็กและผู้อายุต่ำกว่า 18 ปี: ยังไม่มีข้อมูลทางคลินิกที่แน่ชัดถึง ขนาดยานี้ ผลข้างเคียง และความปลอดภัยในการใช้ยานี้ในผู้อยู่ในวัยนี้ การใช้ยานี้ในผู้อยู่ในวัยดังกล่าว จึงอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาเป็นกรณีๆไป

อนึ่ง:

  • กรณีที่พบว่าอาการต้อหินมีความรุนแรงมาก แพทย์สามารถปรับขนาดหยอดยาขนาดความเข้มข้น 0.5% ได้ถึง 2 ครั้ง/วัน
  • หยอดตาด้วยยานี้ต่อเนื่องจนกระทั่งอาการดีขึ้นตามคำสั่งแพทย์ และปรึกษาแพทย์ทุกครั้งว่าสมควรหยุดการใช้ยานี้ หรือต้องใช้ต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง
  • ยานี้ออกฤทธิ์ได้นานถึง 24 ชั่วโมง การใช้ยานี้ตามคำสั่งแพทย์ (1 – 2 ครั้ง/วัน) สามารถบรรเทาอาการของต้อหินหรือภาวะความดันในลูกตาสูงได้เป็นอย่างดี
  • หากพบว่าในขวดยานี้มีสิ่งปนเปื้อนหรือมีสิ่งสกปรกเจือปน ให้ทิ้งทำลายยาขวดนั้นและขอแพทย์เพื่อเปลี่ยนยาขวดใหม่แทน

*****หมายเหตุ: ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?

เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมยาลีโวบูโนลอล ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกร ดังนี้

  • ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก
  • มีโรคประจำตัวต่างๆ อย่างเช่น โรคความดันโลหิตต่ำ โรคปอด โรคหัวใจ รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาลีโวบูโนลอลอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
  • หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือ กำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนม หรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้

หากลืมหยอดยาควรทำอย่างไร?

หากลืมหยอดตาด้วยยา ลีโวบูโนลอล สามารถหยอดตาเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการใช้ยาในครั้งถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดการหยอดยาเป็น 2 เท่า

ลีโวบูโนลอลมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?

ยาลีโวบูโนลอลสามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์(ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง)ต่อระบบอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนี้ เช่น

  • ผลต่อตา: เช่น ปวดตา รู้สึกระคายเคืองตา เยื่อตาอักเสบ ตาแดงด้วยมีอาการเลือดคั่งในตา ลดการตอบสนองของกระจกตา/กระจกตาลดความรู้สึก ตาพร่า เปลือกตาบวม ตาแห้ง
  • ผลต่อระบบทางเดินหายใจ: เช่น อาจมีภาวะหอบหืดเกิดขึ้น ระคายคอ แน่น/คัดจมูก หลอดลมหดเกร็ง/หายใจลำบาก ไอ ภาวะหายใจล้มเหลว
  • ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด: เช่น อาจเกิดภาวะมือ – เท้าเย็น/ Raynaud’s phenomenon หัวใจเต้นช้า หัวใจหยุดเต้น ชีพจรเต้นผิดปกติ ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว เจ็บหน้าอก
  • ผลต่อระบบประสาท: เช่น รู้สึกสับสน วิงเวียน ง่วงนอน ปวดศีรษะ ความจำแย่ลง สมองขาดเลือด รู้สึกกล้ามเนื้ออ่อนแรง ความรู้สึกสัมผัสเพี้ยน
  • ผลต่อระบบทางเดินอาหาร: เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดท้อง ปากแห้ง อาหารไม่ย่อย และอาเจียน
  • ผลต่อระบบสืบพันธุ์: เช่น สมรรถภาพทางเพศน้อยลง
  • ผลต่อสภาพจิตใจ: เช่น ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ฝันร้าย
  • ผลต่อผิวหนัง: เช่น อาจพบภาวะ Steven-Johnson syndrome เกิดลมพิษ ผื่นผิวหนังอักเสบ ผื่นคัน เปลือกตาร้อนแดง ขนร่วง
  • ผลต่อระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย: เช่น เกิดภาวะน้ำตาลน้ำตาลในเลือดต่ำ

มีข้อควรระวังการใช้ลีโวบูโนลอลอย่างไร?

มีข้อควรระวังการใช้ยาลีโวบูโนลอล เช่น

  • ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยานี้
  • ห้ามใช้ยานี้กับ สตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร รวมถึงผู้ที่มีอายุต่ำกว่า18 ปีลงมา
  • ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยด้วย โรคหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นช้า(Sinus bradycardia) ผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ที่มีภาวะคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ
  • ห้ามใช้ยาที่มีสภาพของยาเปลี่ยนไปจากเดิม หรือในขวดยามีสิ่งแปลกปลอมเจือปนลงไป
  • ห้ามใช้เป็นยารับประทานหรือนำไปหยอดหู
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคหัวใจชนิดต่างๆ หรือผู้ป่วยด้วยโรคหืด การใช้ยานี้กับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ควรต้องปรึกษาแพทย์/จักษุแพทย์ทุกครั้ง
  • เพิ่มความระมัดระวังการใช้ยานี้กับผู้ป่วยกลุ่มต่อไปนี้ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วย โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ผู้เคยมีประวัติหลอดลมเกร็งตัว/หายใจลำบาก ผู้ป่วยด้วยโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
  • มาพบจักษุแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อแพทย์วัดความดันตา และประเมินผลการรักษา
  • ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
  • ห้ามใช้ยาหมดอายุ
  • ห้ามเก็บยาหมดอายุ

***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา”ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาลีโวบูโนลอลด้วย) ยาแผนโบราณทุกชนิด อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสมุนไพร ต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้ง ควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ(อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอ

ลีโวบูโนลอลมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?

ยาลีโวบูโนลอลมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น

  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาลีโวบูโนลอลร่วมกับยา Reserpine ด้วยอาจทำให้เกิดภาวะ ความดันโลหิตต่ำ หรือหัวใจเต้นช้าตามมา
  • การใช้ยาลีโวบูโนลอลร่วมกับยา Aminophylline อาจทำให้ประสิทธิภาพการรักษาของยาลีโวบูโนลอลด้อยลง และกลับทำให้ผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงจากยา Aminophylline มากยิ่งขึ้น โดยสังเกตได้จากอาการ คลื่นไส้ อาเจียน นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดการใช้ยาให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
  • การใช้ยาลีโวบูโนลอลร่วมกับยา Methyldopa อาจทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงตามมา หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดการใช้ยาให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
  • การใช้ยาลีโวบูโนลอลร่วมกับยา Verapamil อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนแรง ปวดศีรษะ เป็นลม มือ – เท้าบวม น้ำหนักตัวเพิ่ม หายใจขัด/หายใจลำบาก แน่นหน้าอก หัวใจเต้นผิดปกติ เพื่อเป็นการป้องกันภาวะดังกล่าว ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน

ควรเก็บรักษาลีโวบูโนลอลอย่างไร?

ควรเก็บยาลีโวบูโนลอลในช่วงอุณหภูมิ 15 – 25 องศาเซลเซียส(Celsius) ห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น ไม่เก็บยาในห้องน้ำหรือรถยนต์ เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง และเก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสงแดด ความร้อนและความชื้น

ลีโวบูโนลอลมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?

ยาลีโวบูโนลอลที่จำหน่ายในประเทศไทย มียาชื่อการค้า และบริษัทผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย เช่น

ชื่อการค้าบริษัทผู้ผลิต
Betagan (เบทาแกน)Allergan

อนึ่ง ยาชื่อการค้าอื่นของยานี้ ที่จำหน่ายในต่างประเทศ เช่น AK-Beta, Liquifilm

บรรณานุกรม

  1. https://en.wikipedia.org/wiki/Levobunolol [2016,Dec24]
  2. http://www.allergan.com/assets/pdf/betagan_pi [2016,Dec24]
  3. http://www.mims.com/thailand/drug/info/levobunolol/?type=brief&mtype=generic [2016,Dec24]
  4. https://www.drugs.com/cdi/levobunolol-drops.html [2016,Dec24]