ลำไส้ใหญ่อักเสบ (Colitis)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 4 มิถุนายน 2563
- Tweet
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
- ลำไส้ใหญ่อักเสบมีสาเหตุจากอะไร?
- ลำไส้ใหญ่อักเสบมีอาการอย่างไร?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
- แพทย์วินิจฉัยลำไส้ใหญ่อักเสบอย่างไร?
- รักษาลำไส้ใหญ่อักเสบอย่างไร?
- ลำไส้ใหญ่อักเสบมีผลข้างเคียงอย่างไร?
- ลำไส้ใหญ่อักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร?
- ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
- ป้องกันลำไส้ใหญ่อักเสบอย่างไร?
- บรรณานุกรม
- โรคทางเดินอาหาร โรคระบบทางเดินอาหาร (Digestive disease)
- ลำไส้อักเสบ (Enterocolitis)
- ลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคไอบีดี (Inflammatory bowel disease: IBD)
- โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง (Ulcerative colitis)
- โรคบิด (Dysentery)
- โรคติดเชื้อไซโตเมกาโลไวรัส โรคติดเชื้อซีเอมวี (Cytomegalovirus infection: CMV infection)
- โรคไทฟอยด์ ไข้ไทฟอยด์ (Typhoid fever)
- สัตว์เซลล์เดียว โรคติดเชื้อสัตว์เซลล์เดียว โรคติดเชื้อโปรโทซัว (Protozoan infection)
- โรคบิดมีตัว โรคบิดอะมีบา (Amebic dysentery)
- โรคบิดไม่มีตัว โรคบิดชิเกลลา (Shigellosis)
- โรคโครห์น (Crohn’s disease)
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
ลำไส้ใหญ่อักเสบ (Colitis)คือ โรคที่มีการอักเสบของเยื่อบุด้านในของผนังลำไส้ใหญ่/เยื่อเมือกลำไส้ใหญ่ ซึ่งลำไส้ใหญ่อักเสบมีสาเหตุได้หลากหลายมากมายทั้งจากการติดเชื้อและจากสาเหตุต่างๆที่ไม่ใช่การติดเชื้อ ซึ่งเมื่อแพทย์ทราบสาเหตุ โรคนั้นๆก็จะได้ชื่อไปตามสาเหตุนั้น เช่น โรคบิดมีตัว โรคบิดไม่มีตัว โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง โรคโครห์น
ลำไส้ใหญ่อักเสบอาจเกิดเฉพาะที่ลำไส้ใหญ่ และ/หรือเกิดร่วมกับการอักเสบของกระเพาะอาหาร และ/หรือของลำไส้เล็กก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุและความรุนแรงของโรค
ลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นโรคพบบ่อย พบได้ในทุกอายุตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ พบทั้งในผู้หญิงและในผู้ชาย ทั้งนี้ไม่มีสถิติของการเกิดโรคกลุ่มนี้รวมทั้งหมด แต่จะเป็นการศึกษาแยกเป็นสถิติการเกิดของแต่ละโรคย่อยที่จะแตกต่างกันไปตามแต่ละสาเหตุของลำไส้ใหญ่อักเสบ เช่น สถิติการเกิดโรคโครห์น เป็นต้น
ลำไส้ใหญ่อักเสบมีสาเหตุจากอะไร?
สาเหตุที่พบได้บ่อยของลำไส้ใหญ่อักเสบ เช่น
ก. ลำไส้ใหญ่อักเสบจากการติดเชื้อ เช่น
- ติดเชื้อ แบคทีเรีย เช่น โรคบิดไม่มีตัว, โรคไทฟอยด์, อาหารเป็นพิษจากติดเชื้ออีโคไล/E.coli/ Escherichia coli,
- โรคติดเชื้อสัตว์เซลล์เดียว เช่น โรคบิดมีตัว
- โรคติดเชื้อไวรัส เช่น โรคติดเชื้อไซโตเมกาโลไวรัสในผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ข. โรคที่ไม่ทราบสาเหตุชัดเจนแต่เชื่อว่าน่าเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมร่วม กับภาวะภูมิต้านตนเอง เช่น โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง และโรคโครห์น
ค. โรค Necrotizing enterocolitis in newborn: เป็นโรคพบเกิดในทารกคลอดก่อนกำหนดที่ยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แต่เชื่อว่าเกิดจากหลายสาเหตุร่วมกันคือ ลำไส้ยังเจริญเติบ โตได้ไม่เต็มที่, ลำไส้ขาดออกซิเจน, และอาจร่วมกับแบคที่เรียในลำไส้เจริญมากผิดปกติ
ง. Pseudomembranous colitis: เป็นการอักเสบของลำไส้ใหญ่ที่เกิดจากผลข้าง เคียงจากยาปฏิชีวนะบางชนิดที่ผู้ป่วยใช้ยาเหล่านั้นเป็นระยะเวลานานเกินไป ส่งให้มีผลฆ่าแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ใหญ่ร่วมไปด้วย ส่งผลให้เกิดการขาดสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ แบคทีเรียมีพิษบางชนิดจึงสร้างสารชีวพิษ(Toxin) ขึ้นมาในปริมาณมากส่งผลทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อเมือกที่บุลำไส้ใหญ่ เกิดเป็นการอักเสบของลำไส้ใหญ่เกิดขึ้น
จ. Ischemic colitis: โรคลำไส้ใหญ่อักเสบที่เกิดจากลำไส้ใหญ่ขาดเลือด เช่น จากโรคหลอดเลือดอักเสบ ภาวะช็อกที่รุนแรง โรคหลอดเลือดแดงแข็งรุนแรง หรือจากการผ่าตัดใหญ่ในช่องท้อง เป็นต้น
ฉ. Allergic colitis: เป็นโรคจากการแพ้อาหาร มักพบในเด็กเล็ก เช่น แพ้นมวัว แพ้นมถั่วเหลือง เป็นต้น
ช. โรคออโตอิมมูน (แนะนำอ่านรายละเอียดในเว็บ haamor.com)
ซ. ผลข้างเคียงจากการฉายรังสีรักษาบริเวณช่องท้อง: เช่น การรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก, โรคมะเร็งไส้ตรง เป็นต้น
ฌ. ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด: เช่น ยาในกลุ่ม NSAID, ยา Isotretinoin
ลำไส้ใหญ่อักเสบมีอาการอย่างไร?
อาการของลำไส้ใหญ่อักเสบแบ่งเป็น 3 กลุ่มอาการหลักคือ อาการหลักของลำไส้ใหญ่อักเสบที่พบในทุกสาเหตุ, อาการลำไส้ใหญ่อักเสบที่ขึ้นกับแต่ละสาเหตุ, และอาการทั่วไปที่เหมือนกับโรคทั่วๆไป
ก. อาการหลักของลำไส้ใหญ่อักเสบ: หมายถึงอาการลำไส้ใหญ่อักเสบที่เกิดในผู้ ป่วยลำไส้ใหญ่อักเสบทุกราย เช่น ท้องอืด, ปวดท้องทั่วๆไปไม่ปวดเฉพาะจุด, อุจจาระเป็นมูก อาจมีเลือดปน, ปวดอุจจาระตลอดเวลา, ท้องเสีย, กระหายน้ำ, และถ้าท้องเสียมากจะมีภาวะขาดน้ำ
ข. อาการทางลำไส้ใหญ่ที่ขึ้นกับแต่ละสาเหตุ: เช่น อาการในข้อ ก. ร่วมกับอุจจาระมีมูกเลือด อุจจาระมีกลิ่นเหม็นรุนแรง ปวดท้องรุนแรงเฉพาะจุด มีไข้ลอยและสูง ท้องเสียหลังบริโภคอาหารที่แพ้ (เช่น หลังดื่มนม) หรือปวดตามข้อต่างๆ เป็นต้น เช่น อาการของโรคบิดมีตัว โรคครห์น โรคเอชไอวี เป็นต้น
ค. อาการเช่นเดียวกับโรคอื่นๆทั่วไป: เช่น อาการในข้อ ก. + ข้อ ข. ร่วมกับอาการทั่วไป เช่น หนาวสั้นเมื่อมีไข้ ปวดหัว เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ร่วมกับปวดเนื้อตัว อ่อนเพลีย
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
เมื่อมีอาการผิดปกติต่างๆที่รวมถึงอาการที่กล่าวใน ‘หัวข้อ อาการฯ’ และอาการไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเองใน 2 - 3 วันควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอ แต่หากอาการเลวลงควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลโดยไม่ต้องรอถึง 2 - 3 วัน
แพทย์วินิจฉัยลำไส้ใหญ่อักเสบอย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยลำไส้ใหญ่อักเสบได้จาก
- การซักถามประวัติทางการแพทย์ต่างๆของผู้ป่วย เช่น อาการโรคที่เป็นอยู่ การใช้ยาต่างๆ
- การตรวจร่างกาย
- อาจมีการตรวจทางทวารหนัก
- ตรวจเลือดดูการอักเสบ เช่น ซีบีซี (CBC)
- การตรวจอุจจาระ
- การเพาะเชื้อจากอุจจาระ
- การตรวจภาพช่องท้อง/ลำไส้ด้วยอัลตราซาวด์ เอกซเรย์สวนแป้ง และ/หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์( ซีทีสแกน)
- การตรวจส่องกล้องทวารหนักและ/หรือ ลำไส้ ร่วมกับการตัดชิ้นเนื้อที่รอยโรคเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา และการตรวจเพาะเชื้อจากรอยโรค
รักษาลำไส้ใหญ่อักเสบอย่างไร?
แนวทางการรักษาลำไส้ใหญ่อักเสบประกอบด้วยการรักษาตามอาการ และ การรักษาสาเหตุ
ก. การรักษา(ประคับประคอง)ตามอาการ: เป็นการรักษาเช่นเดียวกันในผู้ป่วยลำไส้ใหญ่อักเสบทุกราย เช่น การให้ยาแก้ปวดท้อง (เช่น ยา Hyoscine), ยาลดการเคลื่อนไหวของลำไส้(เช่น ยา Loperamide) , ยาลดไข้ (เช่น ยาParacetamol), การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเมื่อร่างกายมีภาวะขาดน้ำ
ข. การรักษาสาเหตุ: การรักษาจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคลขึ้นกับสาเหตุ เช่น การหยุดยาต่างๆที่เป็นสาเหตุ, การให้ยาปฏิชีวนะเมื่อโรคเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย, การให้ยาฆ่าสัตว์เซลล์เดียวเมื่อเป็นโรคบิดมีตัว (เช่น ยา Metronidazole), การรักษาโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง หรือการรักษาโรคโครห์น เมื่อสาเหตุเกิดจากโรคดังกล่าว เป็นต้น
ลำไส้ใหญ่อักเสบมีผลข้างเคียงอย่างไร?
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้จากลำไส้ใหญ่อักเสบ เช่น
- โรคซีดจากอุจจาระเป็นเลือด
- ลำไส้อุดตันจากลำไส้ใหญ่เกิดอาการบวมมากหรือเกิดเป็นพังผืดจนช่องทางเดินลำไส้ตีบ แคบลง
- ลำไส้ใหญ่ทะลุ (ลำไส้ทะลุ)จากมีแผลกินลึกจนผนังลำไส้ฯทะลุ ส่งผลให้เกิดติดเชื้อรุนแรงในช่องท้อง(เยื่อบุช่องท้องอักเสบ)
- ภาวะขาดน้ำเมื่อท้องเสียรุนแรง
ลำไส้ใหญ่อักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
การพยากรณ์โรคในลำไส้ใหญ่อักเสบจะขึ้นกับแต่ละสาเหตุและความรุนแรงของแต่ละ สาเหตุ ซึ่งมีได้ตั้งแต่
- รักษาโรคได้หายในกรณีเป็นสาเหตุที่รักษาหายได้และโรคไม่รุนแรง เช่น ลำไส้ใหญ่อักเสบจากการติดเชื้อจากแบคทีเรียชนิดที่ไม่รุนแรง
- ไปจนถึงมีโอกาสตายได้ กรณีโรครุนแรงโดยเฉพาะกรณีเกิดผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ในโรคไทฟอยด์, โรคติดเชื้ออีโคไลสายพันธุ์รุนแรง, ลำไส้ทะลุจนเกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบติดเชื้อรุนแรง, ลำไส้อุดตัน, หรือเลือดออกรุนแรงจากแผลในลำไส้ใหญ่
ดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองเมื่อป่วยเป็นลำไส้ใหญ่อักเสบ ได้แก่
- ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
- กินยา/ใช้ยาที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วนถูกต้อง ไม่ขาดยา ไม่หยุดยาเอง
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
- ออกกำลังกายทุกวันตามควรกับสุขภาพ
- ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียงกับน้ำที่เสียไปกับอุจจาระอย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้วหรือตามแพทย์พยาบาลแนะนำ
- รักษาความสะอาดอาหารและน้ำดื่ม
- หลีกเลี่ยงอาหารเครื่องดื่มที่ก่ออาการแพ้ ท้องเสีย
- ไม่ซื้อยากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์เภสัชกร
- พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
เมื่อเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัด เมื่อ
- อาการต่างๆไม่ดีขึ้น เช่น ท้องเสีย อุจจาระเป็นเลือด ปวดท้อง
- อาการที่รักษาหายแล้วกลับมามีอาการอีกเช่น เป็นไข้ ท้องเสีย อุจจาระเป็นเลือด
- มีอาการใหม่ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เช่น ปวดท้องรุนแรง ท้องผูกรุนแรงโดยเฉพาะเมื่อร่วม กับปวดท้องมากและ/หรือไม่ผายลม เพราะเป็นอาการของลำไส้อุดตันที่ต้องรีบพบแพทย์ /ไปโรงพยาบาลฉุกเฉิน/ทันที
- เมื่อกังวลในอาการ
ป้องกันลำไส้ใหญ่อักเสบอย่างไร?
การป้องกันโรคลำไส้ใหญ่อักเสบคือ การป้องกันสาเหตุที่ป้องกันได้ซึ่งคือ
- สาเหตุจากการติดเชื้อที่การป้องกันสำคัญคือ
- การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
- และการรักษาความสะอาดอาหารและน้ำดื่ม เช่น ในโรคไทฟอยด์ โรคอาหารเป็นพิษจากติดเชื้ออีโคไล โรคบิดมีตัว
- รวมไปถึงรู้จักใช้ถุงยางอนามัยชายในการมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี
- นอกจากนั้นคือ
- กินยาต่างๆเฉพาะกรณีจำเป็น
- ไม่ซื้อยาใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อน ซึ่งยาสำคัญที่เป็นสาเหตุลำไส้ใหญ่อักเสบคือ ยาในกลุ่มยาปฏิชีวนะและยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAID ดังนั้นการซื้อยาต่างๆควรต้องปรึกษาแพทย์/เภสัชกรก่อนเสมอ
บรรณานุกรม
- Piccoli,D. et al. http://emedicine.medscape.com/article/927845-overview#showall [2020,May30]
- 2. https://en.wikipedia.org/wiki/Colitis [2020,May30]
- https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/001125.htm [2020,May30]