ลมพิษ (Urticaria)
- โดย นายแพทย์ ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ
- 26 เมษายน 2554
- Tweet
สารบัญ
- ลมพิษคืออะไร? มีอาการอย่างไร?
- ลมพิษมีกี่ประเภท? มีสาเหตุจากอะไร?
- พบลมพิษได้บ่อยไหม?
- ความเครียดทำให้เป็นลมพิษได้ไหม?
- แพทย์วินิจฉัยลมพิษได้อย่างไร?
- รักษาลมพิษได้อย่างไร?
- ต้องงดอาหารบางอย่างไหม?
- ลมพิษหายขาดไหม?
- ควรพบแพทย์เมื่อไร?
- ป้องกันลมพิษได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
ลมพิษคืออะไร? มีอาการอย่างไร?
ลมพิษ (Urticaria หรือ Hives) เป็นกลุ่มอาการ ไม่ใช่โรค แต่มักเรียกว่าเป็นโรค โดยเป็นอาการที่เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่ง/สารที่ก่อการแพ้ อาจมีเฉพาะอาการซึ่งแสดงออกทางผิวหนัง หรือมีอาการทางเนื้อเยื่อ/อวัยวะระบบอื่นๆร่วมด้วย ทั้งนี้ขึ้นกับความรุน แรงของสาเหตุ เช่น บวม แน่นหน้าอก หรือ ความดันโลหิตต่ำ/หน้ามืด โดยลักษณะอาการทางผิวหนัง จะเป็นผื่นบวมนูน สีออกขาว ล้อมรอบด้วยผื่นสีแดง ผู้ป่วยมักมีอาการคันถึงคันมากในตำแหน่งผิวหนังบริเวณเกิดผื่น หรือถ้าเป็นมากจะรู้สึกแสบร้อนที่ผื่น แต่ผื่นมักหายได้เองภายใน 24 ชั่วโมง
ลมพิษมีกี่ประเภท? มีสาเหตุจากอะไร?
การจัดแบ่งประเภทของลมพิษสามารถแบ่งได้ 2 แบบ คือ
- แบ่งโดยอาศัยระยะเวลาที่เป็นโรค
ถ้ามีอาการไม่เกิน 6 สัปดาห์จัดเป็นลมพิษเฉียบพลัน แต่ถ้ามีอาการต่อเนื่องนานกว่า 6 สัปดาห์ จัดเป็นลมพิษเรื้อรัง
- แบ่งตามสาเหตุ โดยสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการลมพิษที่พบบ่อย ได้แก่
- สาเหตุทางกายภาพ (physical) สาเหตุจาก สสาร และ/หรือพลังงาน หรือ ได้แก่ ความเย็น ความร้อน แสงแดด การสั่นสะเทือน การกดทับ การขูดขีดที่ผิวหนัง
- การออกกำลังกาย เช่น การวิ่ง การเล่นเทนนิส
- การสัมผัสสารบางอย่าง เช่น ยาง เนื้อดิบ ปลา พืชผักบางชนิด
- การสัมผัส หรือ การดื่มแอลกอฮอล์
- จากการที่อุณหภูมิในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น เช่น จากการออกกำลังกาย
- การรับประทานอาหารบางชนิด เช่น อาหารทะเล หรือ อาหารรสจัด
- ยาบางชนิด เช่น ยาลดไข้แอสไพริน หรือ ยาปฏิชีวนะบางชนิด
- โรคบางชนิด เช่น โรคของต่อมไทรอยด์ (โรคไทรอยด์) โรคพยาธิ หรือติดเชื้อราบางชนิด
- บางครั้ง แพทย์หาสาเหตุไม่พบ
พบลมพิษบ่อยไหม?
ลมพิษเป็นกลุ่มอาการทางผิวหนังที่พบได้บ่อยมาก จากการศึกษาพบว่า ในผู้ใหญ่ประ มาณ 25% เคยมีอาการของลมพิษอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต แต่มีเพียงประมาณ 3% ที่เป็นลม พิษเรื้อรัง และประมาณ 35% ของลมพิษมีสาเหตุจากสาเหตุทางกายภาพ
อาการลมพิษ พบได้ทุกเพศทุกวัย พบได้บ่อยที่สุดในช่วงอายุ 20-40 ปี เพศหญิงพบลมพิษเรื้อรังมากกว่าเพศชาย และสาเหตุของลมพิษเรื้อรังอาจเกิดจากโรคทางภูมิคุ้มกันต้าน ทานโรค หรือจากสาเหตุทางกายภาพ เช่น จากการขูดขีดหรือการกดทับที่ผิวหนังเรื้อรัง
ความเครียดทำให้เป็นลมพิษได้ไหม?
มีการศึกษาวิจัยหลายชิ้นพบความเกี่ยวเนื่องระหว่างระบบประสาท-ระบบต่อมไร้ท่อ-ระ บบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค ที่อาจเป็นสาเหตุของลมพิษ โดยพบว่าความเครียดทำให้มีการหลั่งของสารเคมีบางชนิด และสารเคมีนั้นๆจะไปกระตุ้นเซลล์ชนิดหนึ่งในร่างกายที่อยู่ในเนื้อเยื่อผิว หนังและในเนื้อเยื่อต่างๆ ซึ่งเรียกว่าเซลล์มาสต์ (Mast cell) ทำให้เซลล์นี้แตกตัว หลั่งสารฮิสตามีน (Histamine) ออกมา ซึ่งสารฮิสตามีนเป็นสารสำคัญที่ทำให้เกิดลมพิษ
แพทย์วินิจฉัยลมพิษได้อย่างไร?
สิ่งสำคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรคลมพิษคือ การสอบถามประวัติอาการ ประวัติการแพ้สิ่งต่างๆ และการตรวจร่างกาย ทั้งนี้เพื่อพยายามหาสาเหตุและปัจจัยกระตุ้น บางรายอาจจำเป็น ต้องมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจเลือดทั่วไปเพื่อดูความเข้มข้นของเลือดและปริมาณเม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ ตรวจเลือดเกี่ยวกับโรคทางภูมิคุ้มกันต้านทาน ตรวจเลือดดูโรคไทรอยด์ ตรวจอุจจาระหาพยาธิ และ/หรือ ทำการทดสอบที่ผิวหนังเพื่อหาสารก่ออาการ ที่เรียก ว่า สะกินเทส (Skin test) หรือเจาะเลือดส่งตรวจภาวะแพ้อาหาร (Food allergy) ทั้งนี้การตรวจเพิ่มเติมต่างๆจะขึ้นกับอาการผู้ป่วย และดุลพินิจของแพทย์
รักษาลมพิษได้อย่างไร?
สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาลมพิษคือ ต้องพยายามหาและหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดลมพิษ ดังนั้นสิ่งที่มีความสำคัญมากคือ ข้อมูลจากผู้ป่วย ถึงกระนั้นก็ตาม ส่วนใหญ่จะไม่สามารถระบุสาเหตุที่ทำให้เกิดลมพิษได้แน่นอน ถึงแม้ว่าจะถามประวัติ ตรวจร่างกายอย่างละ เอียด และส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการดังกล่าวแล้ว ดังนั้นมักต้องใช้ยาในการรักษาเพื่อบรรเทาอาการคันของผู้ป่วย โดยทั่วไปจะเริ่มต้นจากยาทาประเภทคาลาไมน์โลชั่น (Calamine lotion) ซึ่งเป็นแป้งน้ำผสมเมนทอลเพื่อให้เย็น เพื่อลดอาการคัน หรือทาแป้งเย็นหรือประคบผ้าเย็นก็ได้ ถ้ายังมีผื่นขึ้นอยู่ก็รับประทานยาต้านฮิสตามีน โดยรับประทานชนิดที่ไม่ง่วงในตอนเช้า เพื่อไม่รบกวนการทำงาน และรับประทานชนิดที่ทำให้ง่วงในตอนกลางคืน เพื่อจะได้ไม่เกาเวลานอนหลับ ถ้ายังไม่สามารถควบคุมอาการได้ หรือมีอาการทางเนื้อเยื่อ/อวัยวะระบบอื่นๆร่วมด้วย เช่น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก ปวดท้องหรือถ่ายเหลว เป็นลมหน้ามืด ควรปรึกษาแพทย์ หรือพบแพทย์เป็นการฉุกเฉิน ขึ้นกับความรุนแรงของอาการ
ต้องงดอาหารบางอย่างไหม?
มีงานวิจัยพบว่าผู้ป่วยลมพิษประมาณ 30% มีอาการดีขึ้นเมื่อหลีกเลี่ยงอาหารที่มีวัตถุเจือปนประเภทที่แต่งสี กลิ่น รส นอกจากนั้น ควรหลีกเลี่ยงสุรา และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม
ลมพิษหายขาดไหม?
พบว่าผู้ป่วยจำนวนมากอาจเป็นลมพิษเป็นๆหายๆต่อเนื่องได้นานถึง 1-5 ปี บางการศึก ษารายงานว่าผู้ป่วยประมาณ 50% หายจากลมพิษหลังจาก 3 เดือน และ 80% หายหลังจาก 1 ปี อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วยประมาณ 11% หายหลังเป็นลมพิษนานถึง 5 ปี ส่วนใหญ่ลมพิษที่เกี่ยวกับโรคทางภูมิคุ้มกันต้านทาน จะเป็นต่อเนื่องนานกว่าลมพิษเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุ
ควรพบแพทย์เมื่อไร?
เมื่อมีผื่นคัน ลักษณะคล้ายลมพิษ ควรรีบพบแพทย์ เมื่อ
- มีผื่นลมพิษรุนแรง หรือ คันมาก อาการไม่หาย หรือไม่ดีขึ้น ด้วยการดูแลตนเองในเบื้องต้นดังกล่าวแล้ว
- มีอาการบวมตามเนื้อตัวมาก
- มีผื่น นานเกิน 1-2 วัน
- ร่วมกับมีไข้
- เมื่อกังวลในอาการ
ควรพบแพทย์ฉุกเฉิน เมื่อ
- มีผื่นร่วมกับอาการบวมบริเวณลำคอจนหายใจติดขัด
- รู้สึกหน้ามืด เป็นลม
ป้องกันลมพิษได้อย่างไร?
การป้องกันลมพิษ ที่สำคัญ คือ
- หลีกเลี่ยงสิ่ง หรือ สารต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ที่รู้ว่าเป็นสาเหตุ
- สังเกตตนเองเสมอในเรื่องต่างๆ เพื่อหาสิ่ง หรือ สารที่อาจกระตุ้นให้เกิดลมพิษ
- ระมัดระวังการกินยาต่างๆ เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด เพราะอาจเป็นสาเหตุได้
- ควรแจ้งแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และเจ้าหน้าที่แผนกเอกซเรย์ (การตรวจทางเอกซเรย์บางชนิด อาจมีการฉีดสี ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดลมพิษได้) เสมอว่า เคยเป็นลมพิษ เพื่อหลีกเลี่ยงการกินยา หรือ การตรวจที่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดลมพิษ
บรรณานุกรม
- The EAACI/GALEN/EDF/WAO guideline : definition, classification and diagnosis of urticaria. Allergy 64 Issue 10, 1417-26 (Oct 2009).
- Urticatia: an update. http://www.allergyclinic.co.nz/guides/73.html (April, 2011).
- สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย. Clinical practice guideline: urticaria/angioedema.