ระบบหลักประกันสุขภาพไทย

ระบบสุขภาพ-1


      

      ผมเองมีความเห็นส่วนตัวว่าเกิดเป็นคนไทยนี้โชคดีที่สุดในโลก ดีกว่าประเทศใดๆ ในโลกนี้ถ้ามีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น ผมอยากให้คนไทยที่ได้อ่านเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้ไป ได้เข้าใจและมีความสุขที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย

      ถ้าทุกคนได้ลองนึกย้อนหลังไปในยุคก่อนที่คนไทยจะมีหลักประกันสุขภาพแบบในปัจจุบันนั้น เมื่อมีการเจ็บป่วย ไปรักษาในโรงพยาบาลของรัฐ ทุกคนก็ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล กรณีที่เป็นข้าราชการ ก็จะนำใบเสร็จรับเงินมาทำเรื่องเบิกเงินจากหน่วยงานของรัฐในภายหลัง แต่ถ้าไม่ใช่ข้าราชการ ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ต่อมามีระบบประกันสังคม และที่สำคัญต่อมามีระบบบัตรทอง ทำให้ช่วยลดและแก้ปัญหาการรักษาพยาบาลที่คนไทยทุกคนนั้นได้สิทธิ์ในการดูแลปัญหาสุขภาพ ลดการล้มละลายทางการเงินของครอบครัวไทยไปได้ แต่ก่อนนั้นผมยังเห็นการที่ผู้ป่วยและครอบครัวต้องขายวัว ควาย ที่นา กู้หนี้ยืมสินมาใช้เพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาล ใครไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล หรือเป็นโรคที่ค่าใช้จ่ายสูงก็ต้องปล่อยไปตามธรรมชาติของการดำเนินโรค ไม่สามารถให้การรักษาพยาบาลได้ แต่ปัจจุบันคนไทยมีหลักประกันด้านสุขภาพที่ครอบคลุมเกือบทุกคนแล้วในตอนนี้ คือ

      1. สิทธิข้าราชการ ที่คุ้มครองตนเอง คู่สามี ภรรยา บุตรที่อายุไม่เกิน 20 ปี และพ่อ แม่ของข้าราชการ

      2. สิทธิประกันสังคม ที่คุ้มครองตนเองเฉพาะผู้ทำงานบริษัท ห้างร้าน โรงงานอุตสาหกรรม

      3. สิทธิบัตรทอง ที่คุ้มครองคนไทยที่ไม่มีสิทธิด้านการรักษาพยาบาลในข้อ 1 และ 2 ข้างต้น

      ซึ่งทั้ง 3 สิทธิการรักษานั้นมีความแตกต่างกันในรายละเอียดบ้าง อย่างไรก็ตามทั้ง 3 สิทธินั้นครอบคลุมในความจำเป็นด้านการรักษาพยาบาลที่สำคัญไม่ต่างกัน ดังนั้นทุกคนไม่ต้องกังวลใจเลย แต่ก็จะเห็นได้ว่ายังมีความเข้าใจที่ไม่ตรงกันอยู่ตลอดเวลา ว่าสิทธิการรักษานั้นดีกว่าสิทธิการรักษานี้ สิทธิการรักษานี้ทำให้คนตายมากกว่า นานาปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้มองว่าสิทธิการรักษาโดยพาะบัตรทองนั้นช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาของคนไทยได้มากมายมหาศาลเพียงใด จนเป็นที่สนใจของต่างประเทศทั่วโลก ที่มาศึกษาความเป็นไปได้ที่จะนำไปใช้ในประเทศของเขา แต่คนไทยกลับไม่พอใจ ซึ่งผมมองว่าน่าจะเป็นเพราะการสื่อสารที่ยังทำให้มีความเข้าใจไม่ตรงกัน ดังนั้น blog ที่ผมจะเล่าให้เราฟังต่อจากนี้ไป ผมจะพยายามทำความเข้าใจในประเด็นต่างๆ ที่สังคมยังสงสัย ให้มีความเข้าใจที่ดีมากยิ่งขึ้น ต้องย้ำว่าสิ่งที่ผมเล่านั้น เป็นความคิดเห็นของผมจากประสบการณ์ที่เป็นหมอมานานกว่า 28 ปี ผ่านมาทั้งในยุคที่มีหลักประกัน และไม่มีหลักประกันด้านสุขภาพครับ