ยูเวียอักเสบ การอักเสบของยูเวีย (Uveitis)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
- 10 เมษายน 2562
- Tweet
- บทนำ
- ยูเวียอักเสบมีอาการอย่างไร?
- โรคไม่ติดเชื้อที่มักพบร่วมกับยูเวียอักเสบมีโรคอะไรบ้าง?
- โรคติดเชื้ออะไรที่มักพบเป็นสาเหตุยูเวียอักเสบ?
- โรคทางภูมิคุ้มกันอะไรที่เป็นสาเหตุยูเวียอักเสบ?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
- แพทย์วินิจฉัยยูเวียอักเสบอย่างไร?
- รักษายูเวียอักเสบอย่างไร?
- ยูเวียอักเสบก่อผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
- ยูเวียอักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร? พบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
- ป้องกันยูเวียอักเสบอย่างไร?
- บรรณานุกรม
- โรคตา โรคทางตา (Eye disease)
- โรคติดเชื้อ ภาวะติดเชื้อ (Infectious disease)
- ซิฟิลิส (Syphilis)
- วัณโรค (Tuberculosis)
- พยาธิตืดหมู (Pork tapeworm) โรคติดเชื้อพยาธิตืดหมู (Cysticercosis)
- โรคภูมิแพ้ตนเอง หรือโรคภูมิต้านตนเอง (Autoimmune disease) และโรคภูมิแพ้ (Allergy)
- เริม (Herpes simplex)
- โรคหัดเยอรมัน (German measles)
- โรคติดเชื้อไวรัสเอ็บสไตบาร์ โรคติดเชื้ออีบีวี (Epstein-Barr virus infection)
บทนำ
คำว่า ยูเวีย (Uvea) เป็นภาษาละติน พจนานุกรมศัพท์แพทยศาสตร์ฉบับราชบัณฑิตย สถาน พ.ศ. 2547 แปลว่า ผนังลูกตาชั้นกลาง แต่ในบทความนี้ขอเรียกทับศัพท์ว่า ยูเวีย หมาย ถึง องุ่น (เพราะเนื้อเยื่อนี้มีลักษณะและสีคล้ายเนื้อองุ่นดำ) เป็นเปลือกลูกตาชั้นกลางซึ่งเนื้อเยื่อมีเซลล์ที่มีสารสี/สารให้สี (Pigment) ร่วมกับมีหลอดเลือดและเลือดไหลผ่านจำนวนมากที่ทำหน้าที่ให้อาหารเลี้ยงลูกตาส่วนอื่นๆ
ยูเวีย แบ่งได้เป็น 3 ส่วน ส่วนหน้าสุดคือ ม่านตา (Iris) ส่วนหลังสุดคือ เนื้อเยื่อคอรอยด์(Choroid) และส่วนตรงกลางคือเนื้อเยื่อ Ciliary body เนื่องจากยูเวียเป็นส่วนที่เลือดไหลผ่านมาก ความผิดปกติจากการติดเชื้อเซลล์มะเร็งจากบริเวณอื่นของร่างกาย ตลอดจนสารให้ภูมิคุ้ม กัน (Immune complex) อาจมาตามกระแสเลือดและก่อให้เกิดปฏิกิริยาหรือการอักเสบเกิดขึ้น กับยูเวียได้
การอักเสบของยูเวียเรียกรวมๆว่า Uveitis ซึ่งหมายถึงการอักเสบของยูเวียและอาจอัก เสบร่วมกับเนื้อเยื่อใกล้เคียง รวมถึงกับจอตาที่อยู่ชิดติดกับ Choroid
- เมื่อเป็นการอักเสบที่ม่านตาเรียกว่า ม่านตาอักเสบ(Iritis)
- หรือเมื่อเป็นการอักเสบที่ Ciliary body เรียกว่า Cyclitis
- แต่หากพบการอักเสบทั้งม่านตาและ Ciliary เรียกกันว่า Anterior uveitis (การอักเสบของยูเวียส่วนหน้า)
- แต่เมื่อเป็นการอักเสบที่คอรอยด์ (Choroid) ที่เป็นเนื้อเยื่อส่วนหลัง ซึ่งมักจะมีจอตาที่อยู่ชิดกับคอรอยด์มีการอักเสบร่วมด้วย เรียกว่า การอักเสบของยูเวียส่วนหลัง (Chorio retinitis หรือ choroiditis)
- แต่เมื่อเป็นการอักเสบของยูเวียส่วนกลางที่เรียกว่า Pars plana เรียกว่า Intermediate uveitis หรือคำเดิมเรียกว่า Par planitis
การอักเสบของยูเวียเป็นโรคของผู้ใหญ่ พบได้บ่อยขึ้นในช่วงอายุ 20 - 50 ปี ผู้ชายและผู้ หญิงมีโอกาสเกิดได้เท่ากัน โดยมีรายงานในสหรัฐอเมริกาพบโรคได้ประมาณ 25-52 รายต่อประชากร 1 แสนคน
อนึ่ง แบ่งการอักเสบของยูเวียได้หลายรูปแบบ ได้แก่
ก. แบ่งการอักเสบของยูเวียตามกายวิภาค: โดยแบ่งได้เป็น
1. การอักเสบยูเวียส่วนหน้า (Anterior uveitis)
2. การอักเสบยูเวียส่วนกลาง (Intermediate uveitis)
3. การอักเสบของยูเวียส่วนหลัง (Posterior uveitis) ซึ่งอาจมีการอักเสบของจอตาร่วมด้วย
4. การอักเสบของเนื้อเยื่อทุกชั้นของยูเวีย เรียกว่า Panuveitis
ข. แบ่งการอักเสบของยูเวียตามการดำเนินโรค: แบ่งได้เป็น
1. แบบเฉียบพลัน (Acute) คือ เกิดการอักเสบอย่างรวดเร็วและกินเวลาไม่เกิน 3 เดือน
2. แบบเรื้อรัง (Chronic) คือ เป็นการอักเสบแบบต่อเนื่องเกิน 3 เดือน หรือเป็นๆหาย ๆนานเกิน 3 เดือน กล่าวคือไม่สามารถหยุดยาได้นานกว่า 3 เดือน
ค. แบ่งการอักเสบของยูเวียตามสาเหตุการเกิดโรค: แบ่งได้เป็น
1. เกิดหลังอุบัติเหตุบริเวณลูกตา ที่รวมถึงการอักเสบที่เกิดหลังผ่าตัด
2. เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อย ได้แก่ ซิฟิลิส วัณโรค หรือเชื้อไวรัส เช่น โรคหัดเยอรมัน เชื้อ CMV/Cytomegalo virus (โรคติดเชื้อไซโตเมกาโลไว รัส) แม้แต่ติดเชื้อราก็พบได้ เช่น เชื้อ Candida และตลอดจนการติดเชื้อปรสิต (Parasite) ก็พบได้ เช่น ตืดหมู เป็นต้น
3. เกิดจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติ เช่น โรคออโตอิมมูน (Autoim mune)
4. ไม่รู้สาเหตุ แพทย์หาสาเหตุไม่พบ (Idiopathic)
ยูเวียอักเสบมีอาการอย่างไร?
อาการจากยูเวียอักเสบได้แก่
ก. การอักเสบของยูเวียส่วนหน้า: อาการที่พบได้คือ
1. ปวดตา ตามัว ตาสู้แสงไม่ได้ ตาแดงในส่วนรอบๆตาดำ น้ำตาไหล
2. เมื่อตรวจภายในลูกตา จะพบมีเซลล์แสดงถึงการอักเสบในช่องด้านหน้าลูกตา(Anterior chamber) ถ้ามีการอักเสบมาก อาจเห็นเป็นหนอง (Hypopyon)ได้ และอาจมีเซลล์อักเสบติดที่กระจกตาด้านหลัง (Keratitic precipitate) อาจพบตุ่มอักเสบบริเวณม่านตาที่เรียก Iris nodule รูม่านตามีขนาดเล็ก อาจมีม่านตาดึงมาอยู่ติดกับแก้วตา (Posterior synechiae) หรือดึงมาติดกับกระจกตาบริเวณขอบๆตาดำ (Peripheral anterior synechiae)
ข. การอักเสบส่วนหลัง: อาการที่พบ คือ
1. ตามัว เห็นอะไรลอยไปมา ตาอาจแดงเล็กน้อยหรือปกติ ปวดตา ไม่ค่อยมีอาการสู้แสงไม่ได้
2. ตรวจพบเซลล์ แสดงถึงการอักเสบใน vitreous น้ำวุ้นตาขุ่น
3. อาจพบมีเลือดออกที่จอตาหรือมีน้ำ/ของเหลวรั่วออกใต้จอตา ทำให้จอตาหลุดลอกร่วมด้วย บางรายพบจอตาส่วนกลางบวม (Cystoid macular edema) ซึ่งเป็นสาเหตุของตามัวมาก และอาจมีการบวมของขั้ว/จานประสาทตา
โรคไม่ติดเชื้อที่มักพบร่วมกับยูเวียอักเสบมีโรคอะไรบ้าง?
การอักเสบของยูเวียที่มักเกิดร่วมกับโรคทางกาย (การอักเสบของยูเวียส่วนหน้ามักพบร่วมกับโรคทางกายได้หลายโรค) ที่พบบ่อย เช่น
1. โรค Ankylosing spondylitis / ข้อสันหลังอักเสบยึดติด(โรคกระดูกอักเสบชนิดหนึ่ง): เป็นโรคที่พบในชายมากกว่าหญิง ตรวจเลือดจะพบสารทางภูมิคุ้มกัน HLA–B27 (HLA = human leucocyte antigen) ได้ถึง 90% ของผู้ป่วย โดยมีอาการปวดหลังบริเวณเอวส่วนล่างไปถึงก้นกบ อาการมากตอนตื่นนอนเช้าและอาการดีขึ้นเมื่อเริ่มเคลื่อนไหว บางรายอาจมีอาการที่เอ็นร้อยหวาย (Achilles tendon) ถ่ายภาพเอกซเรย์กระดูกสันหลัง จะเห็นลักษณะผิดปกติที่เรียก Bamboo spine (กระดูกสันหลังลักษณะคล้ายปล้องไม้ไผ่) อาการทางตาเป็นการอักเสบของยูเวียส่วนหน้า นอกจากอาการทางข้อและทางตา ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการของโรคทางหัวใจและโรคหลอดเลือด อาจมีเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบได้ หรือแม้แต่ความผิดปกติทางปอดและไตก็อาจพบได้
2. Reiter’s syndrome: มีอาการหลัก 3 อย่าง ได้แก่ ข้ออักเสบ, ม่านตาอักเสบหรือเยื่อบุตาอักเสบ, และท่อปัสสาวะอักเสบ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักตรวจเลือดพบสาร HLA-B27 เช่น กัน ภาวะม่านตาอักเสบที่พบในโรคนี้มักจะไม่ค่อยรุนแรง
3. โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis): นอกจากมีผื่นสะเก็ดเงินชัดเจน อาจมีอาการทางข้อและม่านตาอักเสบได้ อาการทางตามักจะไม่ค่อยรุนแรง โรคนี้การตรวจเลือดพบสาร HLA-B27 เช่นกัน
4. ลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory bowel disease): โดยมีอาการของระบบทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้อง มีท้องเดินสลับท้องผูก บางรายมีลักษณะลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง (Ulcerative colitis) อาการอักเสบของยูเวียมักจะสัมพันธ์กับอาการทางลำไส้ อาจพบการอัก เสบของยูเวียส่วนหลังได้ และการตรวจเลือดพบสาร HLA-B27 เช่นกัน
5. โรคข้ออักเสบที่ไม่ทราบสาเหตุในเด็ก (Juvenile idiopathic arthritis - JIA) และ Juvenile rheumatoid arthritis (JRR): มีบางรายตรวจเลือดพบสาร HLA-B27 ด้วย มีทั้งที่ปวดบางข้อและปวดหลายข้อ มักมีอาการทางตาหลังปวดข้อหลายปี แต่บางรายอาจเกิดก่อนอาการทางข้อก็ได้ เด็กภาวะ JIA หรือ JRA จึงควรรับการตรวจตาดูภาวะการอัก เสบของยูเวียด้วย
6. Sarcoidosis: เป็นภาวะที่เกิดการอักเสบในร่างกายหลายระบบ อาการเริ่มต้นคือ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด พบความผิดปกติที่ปอด (Interstitial lung disease) มีตุ่มที่ผิวหนัง อาจมีอาการทางหัวใจ ความผิดปกติของระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร ไต โรคเลือด ปวดข้อ และโรคทางตา มักพบม่านตาอักเสบ ตาแห้ง สาเหตุของโรคนี้ยังไม่ทราบชัดเจน บางการศึกษา เชื่อว่าน่าจะเป็นจากภูมิคุ้มกันตัวเองผิดปกติ บางการศึกษาเชื่อว่ามีการติดเชื้อในร่างกาย และมีพันธุกรรมผิดปกติที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
7. โรคเบเซ็ท(Behcet’s disease) : เชื่อว่าเป็นโรคหนึ่งในกลุ่มโรคออโตอิมมูน มีลักษณะ 3 ประการ ได้แก่
- มีแผลที่ปาก/แผลร้อนใน (Aphthous)แผลที่อวัยวะเพศ
- มีตุ่มที่ผิวหนัง
- และโรคทางตา คือมียูเวียอักเสบส่วนหน้าหรือส่วนหลัง รวมทั้งการอักเสบของจอตาและขั้วประสาทตาได้
ทั้งนี้ อาการอื่นที่อาจพบได้ เช่น
- ปวดศีรษะ
- ข้ออักเสบ
- ปวดท้อง
- ระบบขับถ่ายผิดปกติ
โรคติดเชื้ออะไรที่มักพบเป็นสาเหตุยูเวียอักเสบ?
ยูเวียอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อ มักพบในการอักเสบของยูเวียส่วนหลัง และเชื้อที่เป็นสาเหตุและโรคที่พบร่วมด้วยที่พบบ่อย ได้แก่
1. วัณโรค: อาจทำให้เกิดการอักเสบในลูกตาจากเชื้อโดยตรง หรือจากปฏิกิริยาภูมิ คุ้มกันของร่างกายต่อเชื้อวัณโรคที่เกิดบริเวณอื่นในร่างกายก็ได้ เป็นได้ทั้งการอักเสบของยูเวียส่วนหน้าและส่วนหลัง บางรายมีอาการทางตาหลังจากเป็นวัณโรคที่ปอด หรือบางรายเกิดอา การทางตาหลังจากวัณโรคที่ปอดหายดีแล้ว การเอกซเรย์ภาพปอดอย่างเดียวจึงวินิจฉัยวัณโรคไม่ได้ จำเป็นต้องตรวจอย่างอื่น เช่น ทำ Tuberculin test, การตรวจเชื้อเสมหะ, การตรวจย้อมเชื้อจากเสมหะ และอาจต้องตรวจทางพันธุกรรมจากสารน้ำในลูกตาด้วยเทคนิคที่เรียกว่า PCR (Polymerase chain reaction)
2. ซิฟิลิส: อาการทางตาจะมีอาการคล้ายจากการติดเชื้อวัณโรค การวินิจฉัยส่วนใหญ่ได้จากการตรวจเลือดดูสารภูมิต้านทานโรคนี้
3. Toxoplasma: เป็นเชื้อปรสิตในแมว คนเราอาจติดเชื้อจากกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อนี้จากอุจจาระสัตว์หรือในน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ หรือผ่านทางรกจากมารดาสู่บุตร (Congenital toxoplasma) การอักเสบภายในตา ซึ่งจะเป็นมากที่จอตาและที่น้ำวุ้นตา
4. ติดเชื้อไวรัส : เช่น เริม (Herpes), หัดเยอรมัน , เชื้ออีวีบี (โรคติดเชื้อ อีบีวี)
5. ติดเชื้อรา: เช่น Candida , Histoplasmosis, Aspergillous, Coccidioidomycosis
6. เชื้อปรสิต: เช่น Toxocara, Cysticercosis/ตืดหมู, โรคเจียอาร์ไดอาซิส/ Giardia lambia เป็นต้น
โรคทางภูมิคุ้มกันอะไรบ้างที่เป็นสาเหตุยูเวียอักเสบ?
การอักเสบของยูเวีย ที่การศึกษาเชื่อว่าเกิดจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกันหรือที่ไม่ทราบสาเหตุ เช่น
1. Vogt - Koyanagi - Harada (VKH): การศึกษาเชื่อว่าเป็นโรคจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ เป็นเหตุให้เกิดโรคในร่างกายหลายระบบ เช่น มีไข้ คอแข็งคล้ายไข้สมองอักเสบ (บางรายอาจมีอาการเหล่านี้น้อยมาก) การสูญเสียการได้ยิน มีอาการทางตาคือมีการอักเสบของยู เวียได้ทั้งส่วนหน้าและส่วนหลัง
2. Synpathetic ophthalmia: เป็นภาวะที่มีการอักเสบของยูเวียได้ทุกชั้นในตา 2 ข้าง ในกรณีที่ตาได้รับอุบัติเหตุข้างหนึ่ง โดยอุบัติเหตุนั้นรุนแรงจนมีเนื้อเยื่อชั้นยูเวียทะลุออก มาข้างนอกลูกตา เป็นเหตุที่ในสมัยก่อน หากผู้ป่วยได้รับอุบัติเหตุตาข้างหนึ่งรุนแรงมากจนไม่มีสายตาเหลืออยู่ หมอมักแนะนำให้เอาตาข้างได้รับอุบัติเหตุออกเพื่อป้องกันตาดี กล่าวกันว่าเป็น เพราะเนื้อเยื่อของยูเวียเข้าไปในกระแสเลือด ก่อให้เกิดปฏิกิริยาในตาดีที่ออกมาในรูปการอัก เสบของยูเวียทั้ง 2 ตา การตัดวงจรนี้ออกยิ่งเร็ว การเสี่ยงต่อภาวะนี้ยิ่งน้อยลง ในปัจจุบันภาวะนี้พบน้อยลงด้วยกระบวนการรักษาที่ดีขึ้น เก็บเนื้อเยื่อยูเวียที่ออกมาข้างนอก เย็บซ่อมแผลได้ดีขึ้นภายใต้กล้องจุลทรรศน์ รวมทั้งมีการใช้ยากดภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติที่เป็นยาที่ดีกว่าในอดีต
3. ยังมีภาวะการอักเสบของยูเวียส่วนหลังร่วมกับจอตาที่ไม่ทราบสาเหตุ เช่น โรค Serpigenous choroiditis, Birdshot retinochoroiditis เป็นต้น
4. Lens induced uveitis: ในผู้ป่วยโรคต้อกระจกบางรายที่ละเลยไม่รับการผ่าตัด จนต้อสุก จนมีโปรตีนในแก้วตารั่วออกมาข้างนอกแก้วตา ก่อให้เกิดภาวะยูเวียอักเสบได้ ซึ่งจำ เป็นต้องแก้ไขรักษาโดยผ่าตัดเอาต้อกระจกออก
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
โดยทั่วไป ภาวะอักเสบของยูเวียมักจะเรื้อรัง มีตาพร่ามัว ตาแดง เมื่อมีอาการเหล่านี้ ควรต้องพบแพทย์/จักษุแพทย์ทันที เพราะภาวะยูเวียอักเสบนี้อาจทำให้ตามัวลงและทำให้ตาบอดได้ หากไม่แก้ไขรักษาอย่างทันท่วงที
แพทย์วินิจฉัยยูเวียอักเสบอย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นยุเวียอักเสบและหาสาเหตุของการอักเสบ ได้จาก
- ประวัติอาการ ประ วัติทางการแพทย์ต่างๆ (เช่น โรคประจำตัว อุบัติเหตุ)
- การตรวจร่างกาย
- การตรวจตา
- และการตรวจสืบค้นเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ เช่น
- ตรวจเลือดหาสารภูมิคุ้มกัน/สารภูมิต้านทาน และ/หรือ สารก่อภูมิต้านทานต่างๆตามโรคที่แพทย์สงสัยว่าเป็นสาเหตุ เช่น ซิฟิลิส
- ตรวจเลือดดูค่าสาร HLA
- ตรวจเลือดเพื่อการวินิจฉัยโรคซิฟิลิส
- เอกซเรย์ภาพปอด
- เอกซเรย์ภาพกระดูกสันหลังส่วนที่มีอาการปวดหลัง
- การตรวจสารทางพันธุกรรมด้วยเทคนิคที่เรียกว่า PCR (Polymerase chain reaction)
- และอื่นๆตามดุลพินิจของแพทย์และอาการของผู้ป่วย เพื่อตรวจหาโรคต่างๆที่อาจพบร่วมกับการอักเสบของยูเวีย
รักษายูเวียอักเสบอย่างไร?
การรักษายูเวียอักเสบ ประกอบด้วย
- การรักษาโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุหรือที่เกิดร่วมกับการอักเสบของยูเวีย ดังได้กล่าวแล้วใน ‘หัวข้อเรื่อง โรคต่างๆที่พบร่วมกับยูเวียอักเสบฯ’ เช่น
- การรักษาโรคซิฟิลิส
- การรักษาวัณโรค
- การรักษาตืดหมู
- และร่วมกับการรักษาภาวะยูเวียอักเสบ
- โดยการรักษาการอักเสบของยูเวียประกอบด้วย
- การใช้ยาในกลุ่ม Corticosteroid (ยาสเตียรอยด์) ทั้งในรูปแบบ ยาหยอดตา ยารับประทาน ตลอดจนยาฉีด
- ใช้ยา Cyto toxic agent (ยาในกลุ่มยาเคมีบำบัด) เช่นยา Methotrexate, Cyclophosphamide, Chlorambucil
ยูเวียอักเสบก่อผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้จากยูเวียอักเสบ เช่น
1. ต้อกระจก: การอักเสบของยูเวียส่วนหน้า ซึ่งจะนำมาซึ่งต้อกระจกชนิด Posterior subcapsular
2. ต้อหิน: เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เซลล์ในช่องด้านหน้าของลูกตาไปอุดช่อง ทางที่เรียกว่า Trabecular meshwork จึงขัดขวางการไหลเวียนของสารน้ำในลูกตา และการอัก เสบเรื้อรังของยูเวียทำให้เกิดพังผืด (Synechias) ในบางรายอาจร่วมกับการอักเสบของ Trabe cular meshwork (Trabeculitis)
3. มีการหลุดลอกของ Choroid: ทำให้ความดันตาลดลง (Hypotony) ส่งผลให้การมองเห็นภาพผิดปกติ
4. อาจมีพังพืดในช่องด้านหน้าลูกตา: เช่น Iiris pupillary หรือ Cyclitic mem brane ส่งผลให้การมองเห็นภาพผิดปกติ
5. อาจเกิดภาวะจอตาบวม (Retina edema): จอตาหลุดลอก หรือ ภาวะ optic neuri tis ส่งผลให้ตามัวอาจถึงตาบอดได้
6. ผลแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงจากยาที่รักษา: เช่น เม็ดเลือดขาวต่ำ ส่งผลให้ติดเชื้อได้ง่ายทั้งในลูกตาและในร่างกายส่วนต่างๆ รวมไปถึงการเกิดต้อหิน
ยูเวียอักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
ยูเวียอักเสบมีความรุนแรงของโรค/การพยากรณ์โรคต่างๆกัน บางคนเป็นน้อยและหาสา เหตุพบ โรคมักจะหายขาดหลังการรักษา แต่บางคนหาสาเหตุไม่ได้ หรือเป็นร่วมกับโรคทางกาย ที่เรื้อรัง มักจะต้องรักษาต่อเนื่องและมีแนวโน้มสูญเสียสายตาไปเรื่อยๆ การหมั้นตรวจรักษาและพบแพทย์/จักษุแพทย์สม่ำเสมอ จะช่วยชะลอไม่ให้มีการสูญเสียสายตาได้
ดูแลตนเองอย่างไร?พบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
การดูแลตนเองเมื่อเป็นยูเวียอักเสบคือ
- ปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาลแนะนำ ทั้งแพทย์ พยาบาลที่ดูแลโรคต่างๆ และจักษุแพทย์ พยาบาลที่ดูแลอาการทางตา
- กินยาต่างๆที่แพทย์ทุกท่านสั่งให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
- ควบคุม รักษาโรคที่เป็นสาเหตุอย่างจริงจัง
- พบแพทย์ทุกๆท่านตามนัดเสมอ
- พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเสมอ เมื่อ
- อาการต่างๆเลวลง รวมถึงอาการจากโรคต่าง ๆ และ/หรืออาการทางตา
- มีอาการใหม่เกิดขึ้น
- มีผลข้างเคียงจากยาที่แพทย์สั่งจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ระคายเคืองตามากจากการหยอดยาหยอดตาทุกๆครั้ง
- และ/หรือเมื่อกังวลในอาการ
ป้องกันยูเวียอักเสบอย่างไร?
การป้องกันยูเวียอักเสบที่ป้องกันได้คือ เรื่องของการติดเชื้อ ส่วนสาเหตุอื่นยังไม่มีวิธีป้องกัน
โดยการป้องกันการติดเชื้อจะเช่นเดียวกับการติดเชื้อจากทุกๆโรค ซึ่งที่สำคัญ คือ
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
- กิน อาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตามควรกับสุขภาพ ทุกวัน