ยาเคมีบำบัด (Cancer chemotherapy) - Update
- โดย ดร.อรกัญญ์ ภูมิโคกรักษ์ และ นพ. ธัชชัย วิจารณ์
- 14 กันยายน 2568
- Tweet
สารบัญ
- เกริ่นนำ (Introduction)
- กลยุทธ์ในการรักษา (Treatment strategies)
- ประสิทธิผล (Effectiveness)
- ขนาดยา (Dosage)
- ประเภท (Type)
- กลุ่มยาอัลคีเลตติง (Alkylating agents)
- กลุ่มแอนติเมแทบอไลต์ (Antimetabolites)
- กลุ่มยาต้านไมโครทูบูล (Anti-microtubule agents)
- กลุ่มยายับยั้งโทโพไอโซเมอเรส (Topoisomerase inhibitors)
- กลุ่มยาปฏิชีวนะที่เป็นพิษต่อเซลล์ (Cytotoxic antibiotics)กา
- การนำส่ง (Delivery)
- ผลไม่พึงประสงค์ (Adverse effects)
- การกดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppression) และการกดไขกระดูก (Myelosuppression)
- ลำไส้ใหญ่อักเสบจากจากภาวะนิวโทรฟิลต่ำ (Neutropenic enterocolitis)
- อาการผิดปกติทางระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal distress)
- ภาวะเลือดจาง (Anemia)
- อาการล้า (Fatigue)
- อาการคลื่นไส้ (Nausea) และอาเจียน (Vomiting)
- อาการผมร่วง (Hair loss)
- เนื้องอกชนิดที่สอง (Secondary neoplasm)
- ความเป็นหมัน (Infertility)
- ความเป็นพิษต่อทารกในครรภ์ (Teratogenicity)
- โรคเส้นประสาทหลายเส้น (Peripheral neuropathy)
- ความบกพร่องทางสติปัญญา (Cognitive impairment)
- กลุ่มอาการมะเร็งถูกทำลาย (Tumor lysis syndrome)
- ความเสียหายของอวัยวะ (Organ damage)
- อาการข้างเคียงอื่นๆ (Other side-effects)
- ข้อจำกัดของเคมีบำบัด (Limitations)
- ตัวกั้นกลางระหว่างเลือดและสมอง (Blood-brain barrier)
- ระบบหลอดเลือดในเนื้องอก (Blood vessel in tumor) และการนำส่งยา (Drug delivery)
- การดื้อยาเคมีบำบัด (Resistance)
- ยาที่เป็นพิษต่อเซลล์ (Cytotoxcis) กับการบำบัดรักษาแบบกำหนดเป้าหมาย (Targeted therapies)
- กลไกการออกฤทธิ์ (Mechanism of action)
- ประโยชน์อื่นๆ (Other uses)
- การสัมผัสสารเคมีในการทำงาน (Occupational exposure) และการจัดการอย่างปลอดภัย (Safe handling)
- เส้นทางการสัมผัส (Route of exposure)
- ยาอันตราย (Hazards)
- การจัดการอย่างปลอดภัยในสถานพยาบาล (Safe handling in healthcare settings)
- การเตรียม (Preparation)
- การให้ยา (Administration)
- การฝึกอบรมพนักงาน (Employee training)
- การทำความสะอาด (Housekeeping) และการกำจัดขยะ (Waste disposal)
- การติดตามการทำงาน (Occupational monitor)
- สัตว์
เกริ่นนำ
เคมีบำบัด (มักเรียกย่อว่าคีโม หรือบางครั้งใช้คำว่า CTX และ CTx) คือประเภทของการรักษามะเร็งที่ใช้ยาต้านมะเร็ง (Chemotherapeutic agent) 1 ชนิดขึ้นไปตามแนวทางการรักษามาตรฐาน เคมีบำบัดอาจใช้เพื่อหวังผลรักษาให้หายขาดซึ่งจะต้องใช้ยาหลายชนิดร่วมกันเกือบทุกกรณี หรือเพียงเพื่อยืดอายุผู้ป่วยหรือบรรเทาอาการ (Palliative chemotherapy)
ปัจจุบันคำว่าเคมีบำบัดหมายถึงการใช้สารพิษภายในเซลล์อย่างไม่จำเพาะเพื่อยับยั้งกระบวนการแบ่งเซลล์ (Mitosis) หรือเพื่อก่อให้เกิดความเสียหายต่อดีเอ็นเอเพื่อให้กระบวนการซ่อมแซมดีเอ็นเอสามารถเสริมฤทธิ์เคมีบำบัดได้ ความหมายนี้ไม่รวมถึงยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งสัญญาณจากภายนอกเซลล์ (Signal transduction) ส่วนการบำบัดที่มีเป้าหมายเฉพาะทางโมเลกุลหรือพันธุกรรม ซึ่งยับยั้งสัญญาณที่กระตุ้นการเติบโตจากฮอร์โมนต่อมไร้ท่อแบบดั้งเดิมโดยเฉพาะเอสโทรเจนในมะเร็งเต้านมและแอนโดรเจนในมะเร็งต่อมลูกหมากนั้น ปัจจุบันเรียกว่าการบำบัดด้วยฮอร์โมน (Hormonal therapy) การยับยั้งสัญญาณการเติบโตแบบอื่นๆ อย่างเช่นสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับตัวรับชนิดไทโรซีนไคเนส (Receptor tyrosine kinase) จะเรียกว่าการบำบัดแบบมุ่งเป้า (Targeted therapy)
การใช้ยาไม่ว่าจะเป็นเคมีบำบัด การบำบัดด้วยฮอร์โมนหรือการบำบัดแบบมุ่งเป้าถือเป็นการรักษาทั่วกาย (Systemic therapy) สำหรับมะเร็ง กล่าวคือจะนำยาเข้าสู่กระแสเลือด จึงสามารถรักษามะเร็งได้ทุกที่ในร่างกาย การรักษาทั่วกายมักใช้ร่วมกับการรักษาเฉพาะที่ (Local therapy) แบบอื่นซึ่งออกฤทธิ์เฉพาะในบริเวณที่ใช้รักษา เช่น การฉายรังสี การผ่าตัด การใช้ความร้อน (Hyperthermia)
ยาต้านมะเร็งแบบดั้งเดิมเป็นพิษต่อเซลล์ (Cytotoxic) โดยการรบกวนกระบวนการแบ่งเซลล์ แต่เซลล์มะเร็งมีความแตกต่างกันมากในแง่ของความไวต่อยาประเภทนี้ โดยหลักการทั่วไป เคมีบำบัดเป็นวิธีหนึ่งในการทำลายหรือเพิ่มความเครียดให้แก่เซลล์ ซึ่งอาจทำให้เซลล์ตายหากเกิดกระบวนการตายของเซลล์โดยธรรมชาติ (Apoptosis) อาการข้างเคียงจำนวนมากของเคมีบำบัดสามารถบอกได้ว่าเกิดจากการที่ยาทำลายเซลล์ปกติที่แบ่งตัวอย่างรวดเร็วและไวต่อยาที่ต้านกระบวนการแบ่งเซลล์ ได้แก่ เซลล์ในไขกระดูก ทางเดินอาหาร และปุ่มรากผม (Hair follicle) ทำให้เกิดอาการข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดของเคมีบำบัด ได้แก่ การกดไขกระดูก (Myelosuppression, การสร้างเม็ดเลือดลดลง จึงกดภูมิคุ้มกันด้วย), การอักเสบของเยื่อเมือก (Mucositis, การอักเสบของเยื่อบุทางเดินอาหาร) และผมร่วง (Alopecia) เนื่องจากฤทธิ์ต่อเซลล์ภูมิคุ้มกัน (โดยเฉพาะลิมโฟไซต์) ยาเคมีบำบัดจึงมักนำไปใช้ในการรักษาโรคหลายชนิดที่เกิดจากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันต่อเนื้อเยื่อตนเองมากเกินไปจนเป็นอันตราย (เรียกว่าภูมิคุ้มกันต้านตนเอง) ซึ่งรวมถึงโรคข้ออักเสบรูมาทอยด์, โรคพุ่มพวง (Systemic lupus erythematosus), โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple sclerosis), หลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis) และอื่นๆ อีกมากมาย

กลยุทธ์ในการรักษา
ปัจจุบันการให้ยาต้านมะเร็งมีหลายกลยุทธ์ อาจมีเป้าหมายเพื่อรักษาให้หายขาด เพื่อประคับประคองให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยาวขึ้นหรือลดอาการของผู้ป่วย
- เคมีบำบัดแบบชักนำ (Induction chemotherapy) คือการรักษามะเร็งด้วยยาต้านมะเร็งเป็นหลักโดยมีจุดประสงค์หวังผลการรักษาให้หายขาด
- เคมีบำบัดแบบผสมผสาน (Combined modality chemotherapy) คือการใช้ยาร่วมกับการรักษาแบบอื่น เช่น การผ่าตัด รังสีบำบัด การบำบัดด้วยความร้อน
- เคมีบำบัดครั้งที่สอง (Consolidation chemotherapy) ใช้หลังจากผู้ป่วยเข้าสู่ระยะโรคทุเลา (Remission) โดยมีเป้าหมายเพื่อยืดระยะเวลาโดยรวมที่ปลอดโรคและเพิ่มโอกาสการรอดชีวิต ยาที่ใช้ในขั้นตอนนี้จะเป็นชนิดเดียวกับยาที่ทำให้เกิดระยะโรคทุเลา
- เคมีบำบัดแบบเพิ่มความเข้มข้น (Intensification chemotherapy) คล้ายกับเคมีบำบัดครั้งที่สอง แต่จะใช้ยาที่ต่างจากยาที่ใช้เป็นเคมีบำบัดแบบชักนำ
- เคมีบำบัดแบบผสม (Combination chemotherapy) จะรักษาผู้ป่วยด้วยยาหลายชนิดในเวลาเดียวกัน โดยจะใช้ยาที่มีกลไกและอาการข้างเคียงแตกต่างกัน ข้อดีข้อใหญ่ที่สุดคือช่วยลดโอกาสที่เซลล์มะเร็งจะดื้อต่อยาชนิดใดชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ยังมักสามารถใช้ขนาดยาต่ำลงได้ ทำให้ความเป็นพิษลดลงด้วย
- เคมีบำบัดก่อนการรักษาเฉพาะที่ (Neoadjuvant chemotherapy) เป็นการให้เคมีบำบัดก่อนการรักษาเฉพาะที่ เช่น การผ่าตัด โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดขนาดก้อนเนื้องอกแรก และยังใช้ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคแพร่กระจายขนาดเล็ก (Micrometastatic disease) ด้วย
- เคมีบำบัดเสริม (Adjuvant chemotherapy) เป็นการให้เคมีบำบัดหลังจากการรักษาเฉพาะที่ (รังสีบำบัดหรือการผ่าตัด) สามารถใช้ในกรณีที่ไม่พบมะเร็งชัดเจนแต่ยังมีความเสี่ยงที่มะเร็งจะกลับมาเกิดซ้ำได้ การให้เคมีบำบัดเสริมยังช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งที่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกายแล้วอย่างโรคแพร่กระจายขนาดเล็กและลดอัตราการกลับมาเป็นซ้ำที่เกิดจากเซลล์ที่กระจายเหล่านี้ได้ด้วย
- เคมีบำบัดต่อเนื่อง (Maintenance chemotherapy) คือการให้ยาเคมีบำบัดในปริมาณต่ำซ้ำๆ เพื่อยืดระยะโรคทุเลา เคมีบำบัดเมื่อมีการกลับเป็นซ้ำของรอยโรคหลังจากที่เคยได้รับยาเคมีบําบัดมาก่อน
- มีการดื้อยา (Salvage chemotherapy) หรือเคมีบำบัดเพื่อบรรเทาอาการจะเป็นการให้เคมีบำบัดโดยไม่ใช่เพื่อการรักษาให้หายขาดแต่เป็นการลดปริมาณมะเร็งและยืดอายุขัยของผู้ป่วย โดยทั่วไปสูตรยาประเภทนี้มักมีความเป็นพิษน้อยกว่าสูตรยารักษาโรคเต็มที่
การให้เคมีบำบัดทุกสูตรจำเป็นต้องประเมินความสามารถในการรับการรักษาของผู้ป่วยด้วย มักใช้สมรรถภาพของผู้ป่วยเป็นตัวชี้วัดเพื่อประเมินว่าผู้ป่วยสามารถรับเคมีบำบัดได้หรือไม่ หรือจำเป็นต้องลดขนาดยา เนื่องจากการให้เคมีบำบัดแต่ละครั้งจะสามารถฆ่าเซลล์ในเนื้องอกได้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น (Fractional kill) จึงจำเป็นต้องให้ยาหลายรอบเพื่อลดขนาดของเนื้องอกอย่างต่อเนื่อง สูตรยาเคมีบำบัดในปัจจุบันนี้จะให้ยาเป็นรอบๆ (Cycle) โดยความถี่และช่วงเวลาในการให้ยาจะจำกัดโดยความเป็นพิษที่เกิดขึ้น
-
- ประสิทธิผล
ประสิทธิผลของเคมีบำบัดขึ้นอยู่กับประเภทและระยะของมะเร็ง ประสิทธิผลโดยรวมจะมีตั้งแต่สามารถรักษามะเร็งบางชนิดให้หายขาดได้อย่างเช่นมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด ไปจนถึงไม่ได้ผลเลยในเนื้องอกสมองบางชนิด และในบางกรณีก็ไม่จำเป็นต้องใช้เลย เช่น มะเร็งผิวหนังชนิดที่ไม่ใช่เมลาโนมา
-
- ขนาดยา
การกำหนดขนาดยาเคมีบำบัดอาจทำได้ยาก: หากขนาดยาต่ำเกินไปก็จะไม่ได้ผลในการต้านเนื้องอก แต่หากขนาดยาสูงเกินไป พิษหรืออาการข้างเคียงของยาจะรุนแรงจนผู้ป่วยไม่สามารถทนได้ วิธีมาตรฐานในการกำหนดขนาดยาเคมีบำบัดคือการคำนวณจากพื้นที่ผิวของร่างกาย (Body surface area, BSA) ซึ่งโดยปกติจะคำนวณโดยใช้สูตรทางคณิตศาสตร์หรือโนโมแกรม โดยอิงจากน้ำหนักและส่วนสูงของผู้ป่วยแทนที่จะวัดพื้นที่ร่างกายโดยตรง สูตรนี้มีที่มาจากการศึกษาใน ค.ศ. 1916 ที่พยายามแปลงขนาดยาที่ใช้กับสัตว์ทดลองให้เป็นขนาดที่เทียบเท่าสำหรับมนุษย์ โดยการศึกษานี้มีอาสาสมัครที่เป็นมนุษย์เพียง 9 คนเท่านั้น และเมื่อมีการนำเคมีบำบัดมาใช้ในช่วงทศวรรษ 1950s สูตรพื้นที่ผิวของร่างกายก็ได้มีการนำมาใช้เป็นมาตรฐานในการคำนวณขนาดยาอย่างเป็นทางการ เนื่องจากยังไม่มีวิธีที่ดีกว่า
ความถูกต้องในวิธีการคำนวณขนาดยาที่เหมาะสมกับทุกคนนี้เริ่มถูกตั้งคำถามขึ้น เนื่องจากสูตรนี้จะคำนวณเพียงแค่น้ำหนักและส่วนสูงของแต่ละบุคคลเท่านั้น ซึ่งความเป็นจริงการดูดซึมและการชำระยานั้นได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัยอย่างเช่นอายุ, เพศ, เมแทบอลิซึม, สถานะของโรค, การทำงานของอวัยวะต่างๆ, อันตรกิริยาระหว่างยา, พันธุกรรมและโรคอ้วนซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อความเข้มข้นที่แท้จริงของยาในกระแสเลือดของผู้ป่วย จึงส่งผลให้ความเข้มข้นของยาเคมีบำบัดทั่วกายของผู้ที่ได้รับยาตามสูตรพื้นที่ผิวของร่างกายนั้นมีความแปรปรวนสูง โดยความแปรปรวนนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามากกว่า 10 เท่าในยาหลายๆ ชนิด กล่าวคือ หากผู้ป่วย 2 รายได้รับยาชนิดเดียวกันในขนาดที่เท่ากันตามสูตรพื้นที่ผิวของร่างกายอาจทำให้ระดับยาในเลือดของคนหนึ่งสูงหรือต่ำกว่าของอีกคนถึง 10 เท่า ซึ่งความแปรปรวนนี้พบได้ทั่วไปในยาเคมีบำบัดหลายชนิดที่ให้โดยอิงตามสูตรพื้นที่ผิวของร่างกาย และการศึกษาหนึ่งเกี่ยวกับยาเคมีบำบัดที่ใช้บ่อย 14 ชนิดก็พบหลักฐานสนับสนุนประเด็นนี้
ผลที่ตามมาจากความแปรปรวนทางเภสัชจลนศาสตร์ในแต่ละบุคคลนี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากนั้นไม่ได้รับขนาดยาที่เหมาะสมเพื่อให้การรักษามีประสิทธิผลสูงสุดและมีอาการข้างเคียงที่เป็นพิษน้อยที่สุด ซึ่งบางคนได้รับยาเกินขนาดในขณะที่บางคนได้รับยาในขนาดที่น้อยเกินไป ตัวอย่างเช่น การทดลองทางคลินิกแบบสุ่มพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ต่อไส้ตรงระยะแพร่กระจายที่ได้รับการรักษาด้วยยา 5-ฟลูออโรยูราซิล (5-fluorouracil, 5-FU) มีถึง 85% ที่ไม่ได้รับขนาดยาทางการรักษาเมื่อให้ยาตามสูตรพื้นที่ผิวของร่างกาย โดย 68% ได้รับยาน้อยเกินไป และ 17% ได้รับยาเกินขนาด
มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการใช้สูตรพื้นที่ผิวของร่างกายในการคำนวณขนาดยาเคมีบำบัดสำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วน เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้มีค่าพื้นที่ผิวของร่างกายสูง ทำให้แพทย์ผู้รักษามักจะลดขนาดยาที่ควรได้รับตามสูตรพื้นที่ผิวของร่างกายโดยไม่ได้อ้างอิงจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เพราะกลัวว่าจะเกิดการให้ยาเกินขนาด ซึ่งในหลายกรณี การลดขนาดยาเช่นนี้อาจส่งผลให้ผลการรักษานั้นไม่เต็มประสิทธิภาพได้
มีการศึกษาทางคลินิกหลายฉบับที่แสดงให้เห็นว่า การปรับปริมาณการให้ยาเคมีบำบัดให้เหมาะกับแต่ละบุคคลเพื่อให้ความเข้มข้นของยาทั่วกายเหมาะสมนั้นจะทำให้ผลลัพธ์ของการรักษาดีขึ้นและอาการข้างเคียงที่เป็นพิษลดลง การศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับยา 5-ฟลูออโรยูราซิลดังกล่าวพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการปรับขนาดยาให้ได้ความเข้มข้นของยาที่ตั้งไว้มีอัตราการตอบสนองต่อการรักษาดีขึ้นถึง 84% และมีการรอดชีวิตโดยรวม (Overall survival) เพิ่มขึ้นอีก 6 เดือนเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้รับยาตามสูตรพื้นที่ผิวของร่างกาย
จากการศึกษาเดียวกันนี้ ผู้วิจัยได้เปรียบเทียบอัตราการเกิดพิษระดับ 3/4 ที่พบบ่อยจากยา 5-ฟลูออโรยูราซิล ระหว่างกลุ่มที่ได้รับการปรับขนาดยาเฉพาะบุคคลกับกลุ่มที่ได้รับยาตามสูตรพื้นที่ผิวของร่างกาย พบว่ามีอาการท้องเสียอย่างรุนแรงลดลงจาก 18% ในกลุ่มพื้นที่ผิวของร่างกายเหลือเพียง 4% ในกลุ่มที่ปรับขนาดยา และอาการข้างเคียงที่่รุนแรงทางโลหิตวิทยาก็หายไป เนื่องจากพิษยาที่ลดลงทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับการปรับขนาดยาสามารถรักษาได้เป็นระยะเวลานานขึ้น โดยกลุ่มพื้นที่ผิวของร่างกายได้รับการรักษารวม 680 เดือนในขณะที่กลุ่มปรับขนาดยาได้รับการรักษารวม 791 เดือน ซึ่งการรักษาให้ครบตามกำหนดนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีขึ้น
ผลที่คล้ายคลึงกันยังพบในการศึกษาผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงที่ได้รับการรักษาด้วยสูตรยาเคมีบำบัดยอดนิยมอย่างยา 5-ฟลูออโรยูราซิล + ลิวโคโวริน (Leucovorin) + ออกซาลิพลาติน (Oxaliplatin) (สูตร FOLFOX) ด้วย อุบัติการณ์อาการท้องเสียอย่างรุนแรงลดลงจาก 12% ในกลุ่มที่ได้รับยาตามสูตรพื้นที่ผิวของร่างกายเหลือเพียง 1.7% ในกลุ่มที่ได้รับการปรับขนาดยา และอุบัติการณ์เยื่อเมือกอักเสบรุนแรงลดลงจาก 15% เหลือเพียง 0.8%
การศึกษาด้วยสูตรยา 5-ฟลูออโรยูราซิล + ลิวโคโวริน + ออกซาลิพลาตินยังแสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงผลลัพธ์ของการรักษาด้วย อัตราการตอบสนองต่อการรักษาเพิ่มขึ้นจาก 46% ในกลุ่มที่ได้รับยาตามสูตรพื้นที่ผิวของร่างกายเป็น 70% ในกลุ่มที่ได้รับการปรับขนาดยา ทั้งค่ามัธยฐานของการรอดโดยไม่เกิดโรคลุกลาม (Progression free survival, PFS) และการรอดชีวิตโดยรวมต่างก็เพิ่มขึ้น 6 เดือนในกลุ่มที่ปรับขนาดยา
หนึ่งในแนวทางที่สามารถช่วยแพทย์ผู้รักษาในการปรับปริมาณการให้ยาเคมีบำบัดให้เหมาะกับแต่ละบุคคลได้คือการวัดระดับของยาในพลาสมาในช่วงเวลาต่างๆ และปรับขนาดยาตามสูตรหรืออัลกอริทึมเพื่อให้ได้ความเข้มข้นของตัวยาที่เหมาะสมที่สุด เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายของความเข้มข้นของยาไว้ล่วงหน้าเพื่อให้การรักษามีประสิทธิผลสูงสุดและให้ได้ความเป็นพิษที่ลดลง ก็จะสามารถปรับขนาดยาให้เหมาะกับแต่ละคนได้ ซึ่งอัลกอริธึมดังกล่าวมีการนำมาใช้ในงานวิจัยทางคลินิกที่กล่าวถึงข้างต้น และให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจุบันอายุรแพทย์โรคมะเร็งได้มีการปรับการให้ยามะเร็งบางชนิดให้เหมาะกับแต่ละบุคคลโดยอิงจากความเข้มข้นของยาในร่างกาย โดยการให้ยาคาร์โบพลาติน (Carboplatin) และบูซัลแฟน (Busulfan) จะพิจารณาจากผลตรวจเลือดเพื่อคำนวณขนาดยาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน นอกจากนี้ยังมีการตรวจเลือดเบื้องต้นสำหรับการปรับขนาดยาเมโทเทรกเซต (Methotrexate), 5-ฟลูออโรยูราซิล, แพคลิแทกเซล (Paclitaxel) และโดซีแทกเซล (Docetaxel) ด้วยเช่นกัน
ระดับของอัลบูมินในซีรัมก่อนเริ่มให้เคมีบำบัดเป็นตัวพยากรณ์อิสระที่มีความแม่นยำสำหรับการรอดชีวิตในมะเร็งหลายประเภท
-
- ประเภท
- กลุ่มยาอัลคีเลตติง
- ประเภท
กลุ่มยาอัลคีเลตติงเป็นกลุ่มที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาเคมีบำบัดที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน เดิมทีสกัดมาจากแก๊สมัสตาร์ดที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยในปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้มีหลากหลายประเภทขึ้น ชื่อของกลุ่มนี้มาจากความสามารถในการเติมหมู่อัลคิลให้แก่โมเลกุลต่างๆ ซึ่งรวมถึงโปรตีน อาร์เอ็นเอ และดีเอ็นเอ ซึ่งความสามารถในการสร้างพันธะโควาเลนต์กับดีเอ็นเอผ่านหมู่อัลคิลนี้เองคือกลไกหลักที่ทำให้ยามีผลต้านมะเร็ง โดยดีเอ็นเอจะประกอบด้วย 2 สาย และยาเหล่านี้อาจจะจับสายเดียวกัน 2 ครั้ง (ทำให้เกิดการเชื่อมโยงในสายเดียวกัน) หรือจับเพียงตำแหน่งเดียวในแต่ละสาย (การเชื่อมโยงระหว่างสาย) ซึ่งหากเซลล์พยายามถ่ายแบบดีเอ็นเอที่ถูกเชื่อมโยงนั้นในระหว่างการแบ่งเซลล์หรือพยายามซ่อมแซมดีเอ็นเอดังกล่าว สายดีเอ็นเออาจจะขาดได้ ส่งผลให้เกิดการตายของเซลล์โดยธรรมชาติ กลุ่มนี้สามารถออกฤทธิ์ได้ทุกระยะในวงจรของเซลล์ จึงจัดเป็นยาที่ไม่ขึ้นอยู่กับวงจรของเซลล์ ด้วยเหตุนี้ ผลต่อเซลล์จึงขึ้นอยู่กับขนาดยา โดยสัดส่วนของเซลล์ที่ตายจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับขนาดยา
ประเภทย่อยของกลุ่มยาอัลคีเลตติง ได้แก่ กลุ่มไนโตรเจนมัสตาร์ด ไนโทรโซยูเรีย เททราซีน อาซิริดีน ซิสพลาตินและอนุพันธ์ และยาอัลคีเลตติงไม่ตรงแบบ กลุ่มไนโตรเจนมัสตาร์ดนั้นรวมถึงยาเมคลอเรทามีน (Mechlorethamine), ไซโคลฟอสฟาไมด์ (Cyclophosphamide), เมลฟาแลน (Melphalan), คลอแรมบิวซิล (Chlorambucil), ไอฟอสฟาไมด์ (Ifosfamide) และบูซัลแฟน (Busulfan) กลุ่มไนโตรซูเรียรวมถึงยาไนโทรโซเมทิลยูเรีย (N-Nitroso-N-methylurea, NMU), คาร์มัสทีน (Carmustine, BCNU), โลมัสทีน (Lomustine, CCNU), ซีมัสทีน (Semustine, MeCCNU), โฟเทมัสทีน (Fotemustine) และสเตร็ปโทโซโทซิน (Streptozotocin) กลุ่มเททราซีนรวมถึงยาดาคาร์บาซีน (Dacarbazine), ไมโทโซโลไมด์ (Mitozolomide) และเทโมโซโลไมด์ (Temozolomide) กลุ่มอาซิริดีนรวมถึงยาไทโอทีพา (Thiotepa), ไมโทไมซิน (Mitomycin) และไดอะซิโควน (Diaziquone, AZQ) กลุ่มซิสพลาตินและอนุพันธ์รวมถึงยาซิสพลาติน คาร์โบพลาตินและออกซาลิพลาติน ยาเหล่านี้ทำให้การทำงานของเซลล์ผิดปกติโดยการสร้างพันธะโควาเลนต์กับหมู่อะมิโน คาร์บอกซิล ซัลไฟไฮดริลและฟอสเฟตในโมเลกุลที่สำคัญทางชีวภาพ ส่วนกลุ่มยาอัลคีเลตติงที่ไม่ตรงแบบรวมถึงยาโพรคาร์บาซีน (Procarbazine) และเฮกซะเมทิลเมลามีน (Hexamethylmelamine)
-
-
- กลุ่มแอนติเมแทบอไลด์
-
กลุ่มแอนติเมแทบอไลต์เป็นกลุ่มของโมเลกุลที่ไปขัดขวางการสังเคราะห์ดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ หลายชนิดมีโครงสร้างคล้ายกับหน่วยพื้นฐานของดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ ซึ่งหน่วยพื้นฐานเหล่านี้ก็คือนิวคลีโอไทด์ เป็นโมเลกุลที่ประกอบด้วยนิวคลีโอเบส น้ำตาล และหมู่ฟอสเฟต นิวคลีโอเบสแบ่งออกเป็นพิวรีน (กวานีนและอะดีนีน) และไพริมิดีน (ไซโทซีน ไทมีน และยูราซิล) แอนติเมแทบอไลต์มีลักษณะคล้ายกับนิวคลีโอเบสหรือนิวคลีโอไซด์ (นิวคลีโอไทด์ที่ไม่มีหมู่ฟอสเฟต) แต่มีหมู่เคมีที่เปลี่ยนแปลงไป ยาเหล่านี้ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งเอนไซม์ที่จำเป็นต่อการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ หรือโดยการรวมเข้ากันกับดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอ และเมื่อยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ดีเอ็นเอแล้ว กระบวนการแบ่งเซลล์จะถูกขัดขวางเนื่องจากดีเอ็นเอไม่สามารถสร้างตัวเองซ้ำขึ้นได้ นอกจากนี้ การแทรกของโมเลกุลผิดๆ เหล่านี้เข้าสู่ดีเอ็นเอยังอาจทำให้เกิดความเสียหายของดีเอ็นเอได้และกระตุ้นการตายของเซลล์โดยธรรมชาติด้วย แอนติเมแทบอไลต์เป็นกลุ่มที่ขึ้นอยู่กับวงจรของเซลล์ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มยาอัลคีเลตติง หมายความว่าแอนติเมแทบอไลต์จะออกฤทธิ์เฉพาะในช่วงระยะหนึ่งของวงจรของเซลล์เท่านั้นคือระยะเอส (S, ระยะสังเคราะห์ดีเอ็นเอ) ดังนั้น เมื่อปริมาณยาถึงจุดหนึ่ง ผลของยาจะถึงจุดอิ่มตัวและจะไม่ทำให้มีการตายของเซลล์เพิ่มขึ้นตามขนาดยาที่มากขึ้น ประเภทย่อยของแอนติเมแทบอไลต์ ได้แก่ กลุ่มแอนติโฟเลต ฟลูออโรไพริมิดีน สารเลียนแบบดีออกซีนิวคลีโอไซด์ และไทโอพิวรีน
กลุ่มแอนติโฟเลตรวมถึงยาเมโทเทรกเซต และเพมีเทรกเซด (Pemetrexed) โดยยาเมโทเทรกเซตจะไปยับยั้งเอนไซม์ไดโฮโดรโฟเลตรีดักเทส (Dihydrofolate reductase, DHFR) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำหน้าที่สร้างเททระไฮโดรโฟเลต (Tetrahydrofolate) จากไดไฮโดรโฟเลต เมื่อเอนไซม์นี้ถูกยับยั้งโดยยาเมโทเทรกเซต ระดับของโคเอนไซม์โฟเลตในเซลล์จะลดลง ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างไทมิดีเลต (Thymidylate) และพิวรีนที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของการสังเคราะห์ดีเอ็นเอและการแบ่งเซลล์ ส่วนยาเพมีเทรกเซดเป็นแอนติเมแทบอไลต์อีกชนิดหนึ่งที่มีผลต่อการสร้างพิวรีนและไพริมิดีน เพราะฉะนั้นจึงยับยั้งการสังเคราะห์ดีเอ็นเอเช่นกัน โดยยับยั้งเอนไซม์ไทมิดีเลตซินเทส (Thymidylate synthase) เป็นหลัก และยังมีผลต่อไดโฮโดรโฟเลตรีดักเทส, อะมิโนอิมิดาโซลคาร์บอกซาไมด์ไรโบนิวคลีโอไทด์ฟอร์มิลทรานส์เฟอเรส (Aminoimidazole carboxamide ribonucleotide formyltransferase) และไกลซินาไมด์ไรโบนิวคลีโอไทด์ฟอร์มิลทรานส์เฟอเรส (Glycinamide ribonucleotide formyltransferase) อีกด้วย
กลุ่มฟลูออโรไพริมิดีนรวมถึงยาฟลูออโรยูราซิล และแคพีไซทาบีน (Capecitabine) โดยยาฟลูออโรยูราซิลเป็นสารเลียนแบบนิวคลีโอเบสที่ถูกเมแทบอไลส์ในเซลล์ให้กลายเป็นสารออกฤทธิ์อย่างน้อย 2 ชนิด ได้แก่ ฟลูออโรยูริดีนโมโนฟอสเฟต (5-fluorouridine monophosphate, FUMP) และฟลูออโรดีออกซียูริดีนฟอสเฟต (5-fluoro-2'-deoxyuridine 5'-phosphate) ฟลูออโรยูริดีนโมโนฟอสเฟตจะแทรกเข้าไปในอาร์เอ็นเอ ส่วนฟลูออโรดีออกซียูริดีนฟอสเฟตจะไปยับยั้งไทมิดีเลตซินเทส ซึ่งทั้งสองกระบวนการนี้นำไปสู่การตายของเซลล์ ยาแคพีไซทาบีนเป็นโพรดรัก (Prodrug) ของยา 5-ฟลูออโรยูราซิล ซึ่งจะถูกย่อยสลายในเซลล์เพื่อให้กลายเป็นยาที่ออกฤทธิ์ ก
-
-
- กลุ่มยาต้านไมโครทูบูล
-
กลุ่มยาต้านไมโครทูบูลเป็นสารเคมีที่ได้จากพืชที่ไปยับยั้งการแบ่งเซลล์โดยยับยั้งการทำงานของไมโครทูบูลที่เป็นโครงสร้างสำคัญของเซลล์ซึ่งประกอบด้วยโปรตีน 2 ชนิด ได้แก่ แอลฟา-ทูบูลิน (α-tubulin) และบีตา-ทูบูลิน (β-tubulin) โปรตีนทั้งสองมีโครงสร้างรูปแท่งกลวง จำเป็นต่อการแบ่งเซลล์และการทำงานอื่นๆ ของเซลล์ ไมโครทูบูลเป็นโครงสร้างที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาซึ่งหมายความว่ามีการประกอบตัวและแยกตัวอย่างต่อเนื่อง กลุ่มยาต้านไมโครทูบูลมีกลุ่มย่อย 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มวินคาอัลคาลอยด์และแทกเซน แม้ว่าทั้งสองกลุ่มนี้จะรบกวนการทำงานของไมโครทูบูล แต่กลไกการออกฤทธิ์ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งกลุ่มวินคาอัลคาลอยด์จะยับยั้งการประกอบตัวของไมโครทูบูล ส่วนกลุ่มแทกเซนนั้นจะไปยับยั้งการแยกตัวของไมโครทูบูล ผลของการกระทำนี้อาจทำให้เกิดการหยุดชะงักในกระบวนการแบ่งเซลล์มะเร็งได้ และตามมาด้วยการหยุดชะงักของวงจรของเซลล์ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการตายของเซลล์โดยธรรมชาติ ยาเหล่านี้ยังสามารถส่งผลต่อการเติบโตของหลอดเลือดด้วย ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่เนื้องอกใช้ในการเติบโตและแพร่กระจาย
กลุ่มวินคาอัลคาลอยด์สกัดมาจากแพงพวยฝรั่ง (Catharanthus roseus) เดิมทีรู้จักกันในชื่อ Vinca rosea ยาเหล่านี้จะจับกับตำแหน่งจำเพาะบนโปรตีนทูบูลินและยับยั้งการประกอบตัวของทูบูลินให้กลายเป็นไมโครทูบูล โดยกลุ่มวินคาอัลคาลอยด์ดั้งเดิมที่ได้จากธรรมชาติรวมถึงยาวินครีสทีน (Vincristine) และวินบลาสทีน (Vinblastine) หลังจากที่ยาเหล่านี้ประสบความสำเร็จจึงเกิดการผลิตวินคาอัลคาลอยด์กึ่งสังเคราะห์ขึ้น ได้แก่ ยาไวโนเรลบีน (Vinorelbine) ที่ใช้รักษามะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก, ยาวินดีไซน์ (Vindesine) และวินฟลูนิน (Vinflunine) ซึ่งยาเหล่านี้มีลักษณะจำเพาะต่อวงจรของเซลล์ โดยจะจับกับทูบูลินในช่วงระยะเอสและป้องกันการสร้างไมโครทูบูลที่จำเป็นสำหรับระยะเอ็ม (M) ของการแบ่งเซลล์
กลุ่มแทกเซนเป็นยาที่ได้จากธรรมชาติและกึ่งสังเคราะห์ ยาแพลคิแทกเซลซึ่งเป็นยาชนิดแรกในกลุ่มนั้นเดิมสกัดจากต้นยิวแปซิฟิก (Taxus brevifolia หรือ Pacific yew) ปัจจุบันยาชนิดนี้และโดซีแทกเซลซึ่งเป็นยาอีกชนิดหนึ่งในกลุ่มนี้จะผลิตในรูปแบบกึ่งสังเคราะห์จากสารเคมีที่พบในเปลือกของต้นยิวอีกชนิดหนึ่ง คือ ยิวอังกฤษ (Taxus baccata)
ยาโพโดฟิลโลทอกซิน (Podophyllotoxin) เป็นสารลิกแนนต้านมะเร็งที่ได้จากอเมริกันเมย์แอปเปิล (Podophyllum peltatum) และฮิมาลายันเมย์แอปเปิล (Sinopodophyllum hexandrum) เป็นหลัก สารนี้มีฤทธิ์ต้านไมโครทูบูลโดยมีกลไกคล้ายกับกลุ่มวินคาอัลคาลอยด์คือจับกับทูบูลินและยับยั้งการสร้างไมโครทูบูล นอกจากนี้ ยาโพโดฟิลโลทอกซินยังใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาต้านมะเร็งอีก 2 ชนิดที่มีกลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกัน ได้แก่ ยาอีโทโพไซด์ (Etoposide) และเทนิโพไซด์ (Teniposide)
-
-
- กลุ่มยายับยั้งโทโพไอโซเมอเรส
-
กลุ่มยายับยั้งโทโพไอโซเมอเรสมีผลต่อฤทธิ์ของเอนไซม์ 2 ชนิด ได้แก่ โทโพไอโซเมอเรส I และโทโพไอโซเมอเรส II เมื่อเกลียวคู่ของดีเอ็นเอคลายตัวอย่างเช่นในระหว่างการถ่ายแบบหรือการถอดรหัสดีเอ็นเอ ส่วนของดีเอ็นเอที่ไม่ได้คลายตัวก็จะม้วนตัวแน่นขึ้น (Supercoil) คล้ายกับการแกะกลางเชือกที่บิดพันกัน โดยผลจากความตึงเครียดนี้ได้รับการช่วยเหลือส่วนหนึ่งจากเอนไซม์โทโพไอโซเมอเรส โดยจะสร้างการตัดดีเอ็นเอทั้งแบบสายเดี่ยวหรือสายคู่เพื่อลดความตึงในสายดีเอ็นเอ ซึ่งทำให้การคลายตัวของดีเอ็นเอเป็นไปตามปกติในระหว่างการถ่ายแบบหรือการถอดรหัสดีเอนเอ โดยการยับยั้งโทโพไอโซเมอเรส I หรือ II จะรบกวนทั้งสองกระบวนการนี้
กลุ่มยายับยั้งโทโพไอโซเมอเรส I จำนวน 2 ชนิด ได้แก่ ยาไอริโนทีแคน (Irinotecan) และโทโพทีแคน (Topotecan) ได้จากการสังเคราะห์กึ่งธรรมชาติจากแคมป์โตธีซิน (Camptothecin) ที่ได้จาก Camptotheca acuminata ซึ่งเป็นต้นไม้ประดับจีน ส่วนยาที่มุ่งเป้าที่โทโพไอโซเมอเรส II สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มแรกคือกลุ่มพิษต่อโทโพไอโซเมอเรส II ที่ทำให้ระดับเอนไซม์ที่จับกับดีเอ็นเอเพิ่มขึ้น จะขัดขวางการถ่ายแบบและการถอดรหัสดีเอ็นเอ ทำให้สายดีเอ็นเอแตกหักและนำไปสู่การตายของเซลล์โดยธรรมชาติ โดยกลุ่มนี้ได้แก่ ยาอีโทโพไซด์, ด็อกโซรูบิซิน (Doxorubicin), ไมโตแซนโทรน (Mitoxantrone) และเทนิโพไซด์ กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มยายับยั้งตัวเร่งปฏิกิริยาที่ไปขัดขวางการทำงานของโทโพไอโซเมอเรส II ดังนั้นจะป้องกันการสังเคราะห์และการแปลรหัสดีเอ็นเอ เนื่องจากดีเอ็นเอไม่สามารถคลายตัวได้อย่างถูกต้อง โดยกลุ่มนี้จะประกอบด้วยยาโนโวไบโอซิน (Novobiocin), เมอร์บาโรน (Merbarone) และอะคลารูบิซิน (Aclarubicin) ซึ่งต่างก็มีกลไกการออกฤทธิ์ที่สำคัญอื่นๆ ด้วย
-
-
- กลุ่มยาปฏิชีวนะที่เป็นพิษต่อเซลล์
-
มียาต่างๆ ที่มีกลไกการออกฤทธิ์หลายกลไก จุดร่วมของกลุ่มยาปฏิชีวนะที่มีข้อบ่งใช้เป็นเคมีบำบัดคือการหยุดการแบ่งเซลล์ ซึ่งกลุ่มย่อยที่สำคัญที่สุดคือกลุ่มแอนทราไซคลีนและบลีโอไมซิน และตัวอย่างเด่นๆ อื่นๆ ได้แก่ ยาไมโทไมซินซี (Mitomycin C) และแอ็กทิโนไมซิน (Actinomycin)
ในกลุ่มแอนทราไซคลีน ยาด็อกโซรูบิซิน และดอโนรูบิซิน (Daunorubicin) เป็นยา 2 ชนิดแรกซึ่งได้จากแบคทีเรีย Streptomyces peucetius อนุพันธ์ของสารเหล่านี้รวมถึงยาอีพิรูบิซิน (Epirubicin) และไอดารูบิซิน (Idarubicin) ส่วนยาชนิดอื่นๆ ที่ใช้ทางคลินิกในกลุ่มแอนทราไซคลีนได้แก่ ยาไพรารูบิซิน (Pirarubicin), อะคลารูบิซิน และไมโตแซนโทรน โดยกลไกการออกฤทธิ์ของกลุ่มแอนทราไซคลีนรวมถึงการแทรกเข้าไปในดีเอ็นเอ (โมเลกุลจะถูกแทรกเข้าไประหว่าง 2 สายของดีเอ็นเอ), การสร้างสารอนุมูลอิสระที่ไวปฏิกิริยาสูงที่ทำลายโมเลกุลภายในเซลล์ และการยับยั้งโทโพไอโซเมอเรสดังที่กล่าวถึงข้างต้น
ยาแอ็กทิโนไมซินเป็นโมเลกุลเชิงซ้อนที่แทรกเข้าไปในดีเอ็นเอและยับยั้งการสังเคราะห์อาร์เอ็นเอ
ยาบลีโอไมซินเป็นไกลโคเพปไทด์ที่แยกได้จากเชื้อ Streptomyces verticillus แทรกเข้าไปในดีเอ็นเอเช่นกัน แต่สร้างสารอนุมูลอิสระที่ทำลายดีเอ็นเอ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อยาบลีโอไมซินจับกับไอออนของโลหะ ถูกรีดิวซ์ทางเคมี และทำปฏิกิริยากับออกซิเจน
ยาไมโทไมซินเป็นยาปฏิชีวนะที่เป็นพิษต่อเซลล์ที่มีความสามารถในการเติมหมู่อัลคิลให้แก่ดีเอ็นเอ
-
- การนำส่ง
เคมีบำบัดส่วนใหญ่จะนำส่งทางหลอดเลือดดำแม้ว่ายาบางชนิดสามารถให้โดยการรับประทานได้ (เช่น ยาเมลฟาแลน บูซัลแฟน แคพีไซทาบีน) การทบทวนอย่างเป็นระบบเมื่อไม่นานมานี้ใน ค.ศ. 2016 พบว่า การบำบัดรักษาด้วยการรับประทานเป็นความท้าทายเพิ่มเติมสำหรับผู้ป่วยและทีมดูแลผู้ป่วยในการคงและการสนับสนุนการปฏิบัติตามแผนการรักษา
มีการให้ยาทางหลอดเลือดดำหลายวิธี ที่รู้จักกันในชื่ออุปกรณ์ที่ใช้ในการให้ของเหลวทางหลอดเลือดดำ ทั้งนี้รวมถึงอุปกรณ์ฉีดยาเข็มผีเสื้อ, สายสวนหลอดเลือดดำส่วนปลาย, สายสวนส่วนกลาง, สายสวนหลอดเลือดดำใหญ่โดยผ่านทางหลอดเลือดดำส่วนปลาย (Peripherally inserted central catheter, PICC), สายสวนทางหลอดเลือดดำส่วนกลาง และพอร์ตที่ฝังในร่างกาย โดยอุปกรณ์เหล่านี้มีการใช้งานที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของการรักษาด้วยเคมีบำบัด วิธีการนำส่ง และประเภทของยาต้านมะเร็ง
การให้เคมีบำบัดทางหลอดเลือดดำอาจจะทำได้ทั้งในผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกโดยขึ้นอยู่กับบุคคล มะเร็ง ระยะของมะเร็ง ประเภทของเคมีบำบัด และขนาดยาที่ใช้ สำหรับการให้เคมีบำบัดทางหลอดเลือดดำที่ต่อเนื่อง บ่อยครั้งหรือยาวนาน อาจจะต้องผ่าตัดใส่ระบบต่างๆ เข้าไปในระบบหลอดเลือดเพื่อให้เข้าถึงหลอดเลือดได้ตลอดเวลา โดยระบบที่ใช้บ่อยได้แก่ สายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง (Hickman line), พอร์ตในการให้ยาเคมีบำบัด (Port-a-Cath) และสายสวนหลอดเลือดดำใหญ่โดยผ่านทางหลอดเลือดดำส่วนปลาย ซึ่งต่างก็มีความเสี่ยงในการติดเชื้อต่ำ มีแนวโน้มที่จะเกิดการอักเสบของหลอดเลือดดำหรือการที่ยารั่วออกนอกหลอดเลือดน้อยลงมาก และไม่จำเป็นต้องใส่หลอดคาหลอดเลือดส่วนปลายซ้ำๆ
การนำยาเข้าเส้นเลือดแขนขาข้างเดียวซึ่งมักใช้ในมะเร็งเมลาโนมา หรือการให้ยาเคมีบำบัดในตับหรือปอดแบบเพียงอวัยวะเดียว มีการนำมาใช้ในการรักษามะเร็งบางชนิด จุดประสงค์หลักของวิธีเหล่านี้คือเพื่อนำส่งเคมีบำบัดในขนาดสูงมากไปยังจุดมะเร็งโดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายที่กระทบต่อทั่วร่างกาย ซึ่งวิธีเหล่านี้สามารถช่วยควบคุมการแพร่กระจายก้อนเดียวหรือการแพร่กระจายในวงจำกัดได้ แต่โดยนิยามแล้วพวกไม่ใช่วิธีที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย ทำให้ไม่สามารถรักษาการแพร่กระจายในวงกว้างหรือโรคแพร่กระจายขนาดเล็กได้
เคมีบำบัดที่ใช้ภายนอกอย่างเช่น ยา 5-ฟลูออโรยูราซิล ใช้ในการรักษามะเร็งผิวหนังที่ไม่ใช่มะเร็งเมลาโนมาในบางกรณี
หากมะเร็งมีการลุกลามไปยังระบบประสาทกลางหรือมีโรคที่เกี่ยวข้องกับเยื่อหุ้มสมองก็อาจจะให้เคมีบำบัดทางไขสันหลังด้วย
ผลไม่พึงประสงค์
เทคนิคการให้เคมีบำบัดต่างๆ มีอาการข้างเคียงที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับประเภทของยาที่ใช้ ยาที่ใช้กันบ่อยที่สุดนั้นมีผลกับเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วในร่างกาย เช่น เซลล์เม็ดเลือด, เซลล์บุช่องปาก กระเพาะอาหารและลำไส้ ความเป็นพิษของเคมีบำบัดที่เกิดจากการรักษาสามารถนั้นเกิดขึ้นได้อย่างเฉียบพลันหลังจากการให้ยา ภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน หรือในระยะยาวตั้งแต่หลาย
- การกดภูมิคุ้มกันและการกดไขกระดูก
สูตรเคมีบำบัดเกือบทุกสูตรสามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงได้โดยหยุดการทำงานของไขกระดูกและทำให้เกิดการลดจำนวนเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด โดยที่ภาวะเลือดจางและภาวะเกล็ดเลือดต่ำอาจจะต้องการการให้สาวนประกอบของเลือด ภาวะนิวโทรฟิลต่ำ (Neutropenia, การลดจำนวนแกรนูโลไซต์ชนิดนิวโทรฟิลลงเหลือต่ำกว่า 0.5 x 109/ลิตร) สามารถดีขึ้นได้ด้วยการใช้แกรนูโลไซต์โคโลนีสติมูเลติงแฟคเตอร์ (G-CSF) สังเคราะห์ เช่น ยาฟิลแกรสทิม (Filgrastim), ลีโนแกรสทิม (Lenograstim), เอฟบีมาเลโนแกรสทิม แอลฟา (Efbemalenograstim alfa)
ในกรณีที่มีการกดไขกระดูกอย่างรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นในบางสูตร เซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูก (ที่ผลิตเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดง) เกือบทั้งหมดจะถูกทำลาย ซึ่งหมายความว่าจำเป็นต้องปลูกถ่ายเซลล์ไขกระดูกของบุคคลอื่นหรือของตัวเอง โดยในกรณีการปลูกถ่ายไขกระดูกของตัวเอง เซลล์จะถูกนำออกจากตัวผู้ป่วยก่อนรับการรักษา เพิ่มจำนวนและฉีดกลับเข้าไปใหม่ในภายหลัง ส่วนแหล่งที่มาของเซลล์ในกรณีการปลูกถ่ายไขกระดูกของผู้อื่นคือผู้บริจาค อย่างไรก็ตาม บางคนยังคงเกิดโรคเนื่องจากการรบกวนไขกระดูกนี้
แม้ว่าผู้ที่รับเคมีบำบัดจะได้รับคำแนะนำให้ล้างมือ อยู่ให้ห่างจากผู้ที่ป่วยและทำตามขั้นตอนอื่นๆ เพื่อลดการติดเชื้อ แต่ประมาณ 85% ของการติดเชื้อเกิดจากจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในทางเดินอาหาร (รวมถึงช่องปาก) และผิวหนังของผู้ป่วยเอง การติดเชื้อเหล่านี้อาจแสดงออกเป็นการติดเชื้อทั่วร่างกายอย่างเช่นภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) หรือการเกิดขึ้นเฉพาะที่อย่างเช่นเริม (Herpes simplex), งูสวัด หรือไวรัสอื่นๆ ในตระกูล Herpesviridae ซึ่งความเสี่ยงของการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตสามารถลดลงได้โดยการใช้ยาปฏิชีวนะทั่วไปอย่างเช่นกลุ่มควิโนโลน หรือยาไทรเมโทพริม/ซัลฟาเมทอกซาโซล (Trimethoprim/sulfamethoxazole) ก่อนที่อาการไข้หรืออาการแสดงของการติดเชื้อจะปรากฏขึ้น กลุ่มควิโนโลนจะได้ผลในการป้องกันโดยเฉพาะกับมะเร็งทางโลหิตวิทยา อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วทุกๆ 5 รายที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากการได้รับเคมีบำบัดที่ใช้ยาปฏิชีวนะนั้นจะสามารถป้องกันไข้ได้ 1 ราย และทุก 34 รายที่ใช้ยาปฏิชีวนะจะสามารถป้องกันการเสียชีวิตได้หนึ่งราย โดยบางครั้งการรักษาด้วยเคมีบำบัดอาจถูกเลื่อนออกไปเพราะระบบภูมิคุ้มกันถูกกดจนต่ำอยู่ในช่วงอันตราย
ในประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลได้อนุมัติการใช้เห็ดสมุนไพรบางชนิดอย่างเช่นเห็ดหางไก่งวง (Trametes versicolor) แล้ว เพื่อช่วยต้านการกดภูมิคุ้มกันในผู้ที่ได้รับเคมีบำบัด
ยาไทรลาไซคลิบ (Trilaciclib) เป็นยายับยั้งการทำงานของไซคลินดีเพนเดนท์ไคเนส 4/6 ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในการป้องกันภาวะการกดไขกระดูกซึ่งเกิดจากการได้รับเคมีบำบัด ยาชนิดนี้จะให้ก่อนการรักษาด้วยเคมีบำบัดเพื่อปกป้องการทำงานของไขกระดูก
- ลำไส้ใหญ่อักเสบจากภาวะนิวโทรฟิลต่ำ
เนื่องมาจากการกดระบบภูมิคุ้มกัน ลำไส้ใหญ่อักเสบจากภาวะนิวโทรฟิลต่ำ หรือที่เรียกว่ากระพุ้งไส้ใหญ่อักเสบ (Typhlitis) จะเป็น "ภาวะแทรกซ้อนทางระบบทางเดินอาหารที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตจากการให้เคมีบำบัด" กระพุ้งไส้ใหญ่อักเสบเป็นการติดเชื้อในลำไส้ที่อาจแสดงออกผ่านอาการต่างๆ ที่รวมถึงคลื่นไส้ อาเจียน อาการท้องร่วง ท้องอืด ไข้ หนาวสั่น หรือปวดและกดเจ็บที่ท้อง
กระพุ้งไส้ใหญ่อักเสบถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่มีการพยากรณ์โรคที่ไม่ดีนักและมักทำให้เสียชีวิตได้หากไม่สามารถตรวจพบและรักษาอย่างรวดเร็ว การรักษาที่ประสบความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ ในผู้ป่วยรายที่สงสัย และการใช้ซีทีสแกน การรักษาโดยไม่ผ่าตัดในกรณีที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน และการผ่าตัดลำไส้ใหญ่ด้านขวาออก (Right hemicolectomy) ในภายหลัง เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
- อาการผิดปรกติทางระบบทางเดินอาหาร
อาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อาการท้องร่วง ตะคริวที่ท้องและท้องผูกนั้นเป็นอาการข้างเคียงที่พบบ่อยจากการใช้ยาเคมีบำบัดที่ฆ่าเซลล์ที่แบ่งตัวเร็ว โดยการขาดสารอาหารและการขาดน้ำอาจเกิดขึ้นได้หากผู้ป่วยไม่รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำให้เพียงพอ หรือหากผู้ป่วยอาเจียนบ่อยเนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในทางเดินอาหาร ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักลดอย่างรวดเร็วหรือบางครั้งอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นหากผู้ป่วยรับประทานอาหารมากเกินไปเพื่อพยายามบรรเทาอาการคลื่นไส้หรืออาการแสบร้อนกลางอก น้ำหนักเพิ่มขึ้นยังสามารถเกิดจากการใช้ยาสเตียรอยด์บางชนิดด้วย อาการข้างเคียงเหล่านี้มักจะสามารถลดหรือขจัดได้ด้วยยาแก้อาเจียน โดยมีหลักฐานที่ยังไม่แน่นอนแนะนำว่า โพรไบโอติกส์มีผลในการป้องกันและรักษาอาการท้องร่วงที่เกี่ยวข้องกับเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียวและกับรังสีบำบัดได้ อย่างไรก็ตาม ควรสงสัยไว้ว่าอาการท้องร่วงและท้องอืดอาจเป็นอาการของไส้ใหญ่อักเสบจากภาวะนิวโทรฟิลต่ำซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ร้ายแรงมากและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งต้องการการรักษาทันที
- ภาวะเลือดจาง
ภาวะเลือดจางนั้นอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่ เคมีบำบัดที่กดการทำงานของไขกระดูก และสาเหตุที่เป็นไปได้ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง เช่น การมีเลือดออก, การทำลายเม็ดเลือด (การแตกของเม็ดเลือดแดง), โรคทางพันธุกรรม, การทำงานผิดปกติของไต, การขาดสารอาหาร, ภาวะเลือดจางที่เกิดจากโรคเรื้อรัง โดยการรักษาเพื่อบรรเทาภาวะเลือดจางรวมถึงการใช้ฮอร์โมนเพื่อเพิ่มการผลิตเลือด (ยาอีริโทโพอีทิน), การเสริมธาตุเหล็ก และการให้สาวนประกอบของเลือด การบำบัดรักษาที่กดไขกระดูกนั้นสามารถทำให้เกิดแนวโน้มเลือดออกง่าย ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดจาง โดยยาที่ฆ่าเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วหรือเม็ดเลือดสามารถลดจำนวนเกล็ดเลือดในเลือดได้ซึ่งอาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำและเลือดออก เกล็ดเลือดในระดับที่ต่ำมากอาจถูกทำให้เพิ่มขึ้นชั่วคราวผ่านทางการถ่ายเกล็ดเลือด และยาชนิดใหม่เพื่อเพิ่มจำนวนเกล็ดเลือดในระหว่างเคมีบำบัดก็กำลังได้รับการพัฒนา โดยบางครั้งการรักษาด้วยเคมีบำบัดอาจถูกเลื่อนออกไปเพื่อให้จำนวนเกล็ดเลือดกลับเป็นปกติ
- อาการอ่อนเพลีย
อาจเป็นผลมาจากมะเร็งหรือการรักษามะเร็งก็ได้ซึ่งสามารถคงอยู่นานหลายเดือนหรือหลายปีหลังจากได้รับการรักษา หนึ่งในสาเหตุทางสรีรวิทยาของอาการล้าคือภาวะเลือดจางซึ่งอาจเกิดจากเคมีบำบัด การผ่าตัด รังสีบำบัด มะเร็งชนิดแรกและการแพร่กระจายของมะเร็ง หรือการขาดสารอาหาร การออกกำลังกายแบบแอโรบิกพบว่ามีประโยชน์ในการลดอาการล้าในผู้ที่มีก้อนเนื้องอก
- อาการคลื่นไส้และอาเจียน
อาการคลื่นไส้และอาเจียนเป็นอาการข้างเคียง 2 ประการที่ผู้ป่วยและครอบครัวกลัวกันมากที่สุดในการรักษามะเร็ง ใน ค.ศ. 1983 โคทส์ (Coates) และคณะพบว่า ผู้ที่ได้รับเคมีบำบัดจัดอันดับอาการคลื่นไส้และอาเจียนเป็นอาการข้างเคียงที่รุนแรงที่สุดเป็นอันดับแรกและอันดับที่สอง ตามลำดับ ซึ่งผู้ป่วยสูงสุดถึง 20% ที่ได้รับยาเคมีบำบัดที่มีระดับความรุนแรงต่อการเกิดการอาเจียนสูงในช่วงเวลานั้นได้เลื่อนการเข้ารับการรักษาหรือแม้กระทั่งปฏิเสธการรักษาที่อาจรักษามะเร็งให้หายขาดได้ อาการคลื่นไส้และอาเจียนที่เกิดจากเคมีบำบัด (Chemotherapy-induced nausea and vomiting, CINV) พบบ่อยในหลายการรักษาและในมะเร็งหลายรูปแบบ ตั้งแต่ทศวรรษ ค.ศ. 1990 กลุ่มยาแก้อาเจียนใหม่หลายกลุ่มก็ได้รับการพัฒนาและจำหน่ายซึ่งกลายเป็นมาตรฐานที่เกือบจะเป็นสากลในสูตรเคมีบำบัดและช่วยจัดการกับอาการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในคนจำนวนมาก โดยการจัดการกับอาการที่ไม่พึงประสงค์และบางครั้งทำให้ผู้ป่วยอ่อนเพลียได้สำเร็จส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้รับการรักษาดีขึ้น และรอบการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธการรักษาน้อยลง
- อาการผมร่วง
อาการผมร่วง (Alopecia) สามารถเกิดขึ้นได้จากเคมีบำบัดที่ฆ่าเซลล์ที่แบ่งตัวอย่างรวดเร็ว ส่วนยาชนิดอื่นๆ ก็อาจทำให้ผมบางลงได้ ซึ่งมักจะเป็นผลชั่วคราว โดยผมจะเริ่มงอกใหม่หลังจากการรักษาครั้งสุดท้ายไม่กี่สัปดาห์ แต่บางครั้งอาจมีการเปลี่ยนแปลงสี เนื้อสัมผัส ความหนาหรือสไตล์ของเส้นผม ในบางครั้งผมอาจมีแนวโน้มที่จะหยิกหลังจากงอกใหม่ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "เคมีบำบัดแล้วผมหยิก" ซึ่งอาการผมร่วงอย่างรุนแรงมักจะเกิดจากยาบางชนิด เช่น ยาด็อกโซรูบิซิน ดอโนรูบิซิน แพคลิแทกเซล โดซีแทกเซล ไซโคลฟอสฟาไมด์ ไอฟอสฟาไมด์ อีโทโพไซด์ อาการผมบางหรือผมร่วงถาวรอาจเกิดขึ้นจากสูตรเคมีบำบัดมาตรฐานบางสูตร
- อาการศีรษะล้านจากเคมีบำบัด
อาการศีรษะล้านจากเคมีบำบัดเกิดขึ้นโดยกลไกที่ไม่เกี่ยวกับฮอร์โมนเพศชาย และสามารถแสดงออกในลักษณะผมร่วงเป็นหย่อมที่เป็นมากจนผมร่วงทั่วศีรษะหรือเกือบทั่วศีรษะ (Alopecia totalis), โรคผมร่วงเฉียบพลัน (Telogen effluvium) หรือในบางครั้งเป็นโรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areata) มักจะเกี่ยวข้องกับการรักษาทั่วร่างกายจากอัตรากระบวนการแบ่งเซลล์ที่สูงของปุ่มรากผมและมักจะสามารถฟื้นตัวได้มากกว่าอาการผมร่วงจากแอนโดรเจน แต่กรณีที่เป็นถาวรก็สามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งอาการผมร่วงจากเคมีบำบัดมักเกิดขึ้นในผู้หญิงบ่อยกว่าผู้ชาย
- การทำให้หนังศีรษะเย็น
การทำให้หนังศีรษะเย็นเป็นหนึ่งในวิธีที่สามารถป้องกันผมร่วงทั้งแบบถาวรและชั่วคราวได้ แต่ก็ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับวิธีนี้เช่นกัน
- เนื้องอกชนิดที่สอง
การเกิดเนื้องอกชนิดที่สองหลังจากการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดสำเร็จนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ เนื้องอกชนิดที่สองที่พบบ่อยที่สุดคือมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดไมอีลอยด์เฉียบพลันซึ่งเกิดมากหลังจากการรักษาโดยเฉพาะยาอัลคีเลตติงหรือยายับยั้งโทโพไอโซเมอเรส ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งในวัยเด็กมีความเสี่ยงมากกว่า 13 เท่าในการเกิดเนื้องอกชนิดที่สองในระหว่าง 30 ปีหลังจากการรักษาเมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป โดยไม่สามารถกล่าวได้ว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้ทั้งหมดเป็นผลมาจากเคมีบำบัด
- ความเป็นหมัน
เคมีบำบัดบางประเภทเป็นพิษต่ออวัยวะสืบพันธุ์และอาจทำให้เป็นหมัน เคมีบำบัดที่มีความเสี่ยงสูงรวมถึงยาโพรคาร์บาซีน และยาอัลคีเลตติงชนิดอื่นๆ เช่น ยาไซโคลฟอสฟาไมด์, ไอฟอสฟาไมด์, บูซัลแฟน, เมลฟาแลน, คลอแรมบิวซิล, คลอร์เมทีน (Chlormethine) ส่วนยาที่มีความเสี่ยงปานกลางรวมถึงยาด็อกโซรูบิซิน และสารเลียนแบบแพลตินัม เช่น ยาซิสพลาติน คาร์โบพลาติน ในทางตรงกันข้าม การบำบัดรักษาที่มีความเสี่ยงต่ำต่อความเป็นพิษต่ออวัยวะสืบพันธุ์ได้แก่ อนุพันธ์จากพืช เช่น ยาวินคริสทีน วินบลาสทีน, ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาบลีโอไมซิน แดกทิโนไมซิน, กลุ่มแอนติเมแทบอไลต์ เช่น ยาเมโทเทรกเซต เมอร์แคปโทพิวรีน 5-ฟลูออโรยูราซิล
- ความเป็นหมันในผู้หญิงจากเคมีบำบัด
ความเป็นหมันในผู้หญิงจากเคมีบำบัดนั้นดูเหมือนจะเกิดขึ้นจากภาวะรังไข่ล้มเหลวก่อนวัยอันควร ซึ่งเกิดจากการสูญเสียฟอลลิเคิลดั้งเดิม การสูญเสียนี้อาจไม่ได้เป็นผลโดยตรงจากยาต้านมะเร็ง แต่อาจเป็นผลมาจากอัตราการเริ่มต้นการเติบโตที่เพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนฟอลลิเคิลที่กำลังพัฒนาที่ได้รับความเสียหาย
ผู้ป่วยสามารถเลือกวิธีการเก็บถนอมภาวะเจริญพันธุ์ได้หลายวิธีก่อนการให้เคมีบำบัดซึ่งรวมถึงการแช่แข็งน้ำอสุจิ เนื้อเยื่อรังไข่ เซลล์ไข่หรือเอ็มบริโอ เนื่องจากผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้สูงอายุ ผลไม่พึงประสงค์นี้จึงเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยเพียงส่วนน้อยเท่านั้น การศึกษาหนึ่งในประเทศฝรั่งเศสในช่วง ค.ศ. 1999 ถึง 2011 พบว่า การแช่แข็งเอ็มบริโอก่อนการใช้ยาที่เป็นพิษต่ออวัยวะสืบพันธุ์ในผู้หญิงทำให้การรักษาล่าช้าใน 34% ของกรณีการรักษา และทำให้มีการคลอดที่มีชีวิตใน 27% ของกรณีที่รอดชีวิตและต้องการตั้งครรภ์ โดยเวลาติดตามผลแปรผันกันไปในช่วง 1 ถึง 13 ปี
สารที่อาจมีผลป้องกันหรือบรรเทาได้แก่ สารเลียนแบบฮอร์โมน GnRH ซึ่งมีหลายการศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงผลป้องกันในร่างกายมนุษย์ แต่ในบางการศึกษาก็ไม่พบผลเช่นนั้น สฟิงโกซีน-1-ฟอสเฟต (S1P) ก็แสดงผลที่คล้ายคลึงกัน แต่กลไกของมันในการยับยั้งเส้นทางการตายของเซลล์โดยธรรมชาติของสฟิงโกไมอีลินอาจรบกวนการทำงานของยาเคมีบำบัดที่ทำให้เซลล์ตายโดยธรรมชาติ
ในการใช้เคมีบำบัดเป็นสูตรเตรียมการก่อนการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดทางโลหิตวิทยานั้น การศึกษาผู้ที่ได้รับการเตรียมด้วยยาไซโคลฟอสฟามายด์เพียงอย่างเดียวสำหรับโรคไขกระดูกฝ่อรุนแรงพบว่า การฟื้นตัวของรังไข่เกิดขึ้นในผู้หญิงทุกคนที่อายุต่ำกว่า 26 ปี ณ เวลาที่ปลูกถ่าย แต่เกิดขึ้นในเพียง 5 จาก 16 คนที่มีอายุมากกว่า 26 ปี
- ความเป็นพิษต่อทารกในตรรภ์
เคมีบำบัดสามารถทำให้เกิดความเป็นพิษต่อทารกในครรภ์ได้โดยเฉพาะในไตรมาสแรก ซึ่งมักแนะนำให้ทำแท้งหากพบการตั้งครรภ์ในระยะเวลานี้ในระหว่างที่ทำเคมีบำบัด การได้รับเคมีบำบัดในไตรมาสที่สองและสามจะไม่ค่อยเพิ่มความเสี่ยงของความเป็นพิษต่อทารกในครรภ์หรือผลไม่พึงประสงค์ต่อพัฒนาการด้านสติปัญญา แต่อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ของการตั้งครรภ์และการกดไขกระดูกในทารกในครรภ์ได้
ผู้ป่วยหญิงที่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ควรใช้การคุมกำเนิดที่ได้ผลในระหว่างการทำเคมีบำบัดและอีกสองสามเดือนหลังจากรับยาครั้งสุดท้าย (เช่น 6 เดือนสำหรับยาด็อกโซรูบิซิน)
ในผู้ชายที่เคยทำเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดมาก่อน ความบกพร่องทางพันธุกรรมหรือความพิการตั้งแต่กำเนิดไม่เพิ่มขึ้นในเด็กที่ปฏิสนธิหลังจากการบำบัดรักษา ซึ่งการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยการสืบพันธุ์และเทคนิคการแยกเซลล์เดี่ยวอาจเพิ่มความเสี่ยงนี้ โดยในผู้หญิงที่เคยทำเคมีบำบัดนั้น การแท้งบุตรและความพิการตั้งแต่กำเนิดจะไม่เพิ่มขึ้นจากในการปฏิสนธิที่ตามมา อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการปฏิสนธิเทียมในหลอดแก้วและการแช่แข็งเอ็มบริโอระหว่างหรือหลังจากการรักษาแล้วไม่นาน อาจมีความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อเซลล์ไข่ที่กำลังเติบโตได้ จึงแนะนำให้ตรวจคัดกรองทารก
- โรคเส้นประสาทผิดปกติหลายเส้น
ระหว่าง 30 ถึง 40% ของผู้ที่ทำเคมีบำบัดจะประสบกับโรคเส้นประสาทผิดปกติหลายเส้นที่เกิดจากเคมีบำบัด (ฉhemotherapy-induced peripheral neuropathy, CIPN) ซึ่งเป็นภาวะที่จะค่อยๆ เกิดขึ้นและมักจะถาวร ทำให้เกิดอาการปวด เป็นเหน็บ ชา และไวต่อความเย็นโดยเริ่มจากมือและเท้า และบางครั้งลามไปที่แขนและขา ยาเคมีบำบัดที่เกี่ยวข้องกับโรคเส้นประสาทหลายเส้นที่เกิดจากเคมีบำบัดรวมถึงยาทาลิโดไมด์ กลุ่มเอโพทิโลน กลุ่มวินคาอัลคาลอยด์ กลุ่มแทกแซน กลุ่มยายับยั้งโปรติเอโซม และยาที่มีส่วนประกอบของแพลตินัม
โรคเส้นประสาทผิดปกติหลายเส้นที่เกิดจากเคมีบำบัดจะเกิดขึ้นหรือไม่และถึงระดับไหนจะขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ยา ช่วงเวลาในการใช้ ปริมาณรวมที่บริโภค และผู้ป่วยมีปัญหาโรคเส้นประสาทหลายเส้นอยู่แล้วหรือไม่ แม้ว่าอาการส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับประสาทรับความรู้สึก แต่ในบางกรณีประสาทสั่งการและระบบประสาทอัตโนมัติอาจได้รับผลกระทบ โรคเส้นประสาทผิดปกติหลายเส้นที่เกิดจากเคมีบำบัดมักจะเกิดขึ้นหลังจากการให้เคมีบำบัดครั้งแรกและทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อการรักษาดำเนินต่อไป
แต่การลุกลามของโรคมักจะเข้าสู่ระดับคงที่เมื่อเสร็จสิ้นการรักษา ซึ่งยาที่มีส่วนประกอบของแพลตินัมเป็นข้อยกเว้น โดยที่ยาเหล่านี้อาจทำให้การรับความรู้สึกแย่ลงต่อไปอีกหลายเดือนหลังจากสิ้นสุดการรักษา ซึ่งโรคเส้นประสาทหลายเส้นที่เกิดจากเคมีบำบัดบางกรณีอาจไม่สามารถฟื้นฟูได้ อาการปวดมักจะสามารถดูแลรักษาได้ด้วยยาหรือการรักษาอื่น แต่อาการชามักจะดื้อต่อการรักษา
- ความบกพร่องทางสติปัญญา
บางคนที่ได้รับเคมีบำบัดรายงานว่ามีอาการล้าหรือมีปัญหาทางสติปัญญาอย่างไม่จำเพาะ เช่น ไม่สามารถจดจ่อได้ บางครั้งอาการนี้เรียกว่า ความบกพร่องทางสติปัญญาหลังจากเคมีบำบัด หรือที่เรียกกันในสื่อที่เป็นที่นิยมและสื่อสังคมว่า "ภาวะสมองล้า (Chemo brain)"
- กลุ่มอาการมะเร็งถูกทำลาย
บางคนเกิดกลุ่มอาการมะเร็งถูกทำลายโดยเฉพาะในเนื้องอกขนาดใหญ่และมะเร็งที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาวสูง เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง, เนื้องอกเทอราโตมา (Teratoma), มะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด การแตกตัวอย่างรวดเร็วของเซลล์มะเร็งทำให้สารเคมีจากภายในเซลล์ถูกปล่อยออกมา หลังจากนั้นจะพบระดับกรดยูริก โพแทสเซียมและฟอสเฟตสูงในเลือด ซึ่งระดับฟอสเฟตที่สูงจะทำให้เกิดภาวะพาราไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำแบบทุติยภูมิ ส่งผลให้ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายที่ไต และระดับโพแทสเซียมที่สูงสามารถทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ โดยแม้จะมีการป้องกันและมักจะเริ่มในผู้ป่วยที่มีเนื้องอกขนาดใหญ่ แต่ก็เป็นอาการข้างเคียงที่อันตรายที่อาจทำให้เสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษา
- ความเสียหายของอวัยวะ
ความเป็นพิษต่อหัวใจ (ความเสียหายที่หัวใจ) จะเด่นเป็นพิเศษเมื่อใช้ยากลุ่มแอนทราไซคลีน เช่น ด็อกโซรูบิซิน อีพิรูบิซิน, ไอดารูบิซิน ด็อกโซรูบิซินในรูปไลโปโซม สาเหตุของภาวะนี้มีโอกาสสูงที่จะเกิดจากการผลิตอนุมูลอิสระในเซลล์และความเสียหายของดีเอ็นเอที่เป็นผลตามมา โดยยาต้านมะเร็งชนิดอื่นๆ ที่ทำให้เกิดความเป็นพิษต่อหัวใจแต่มีอุบัติการณ์ต่ำกว่าได้แก่ ยาไซโคลฟอสฟาไมด์ โดซีแทกเซล และโคลฟาราบีน
ความเป็นพิษต่อตับ (ความเสียหายที่ตับ) สามารถเกิดขึ้นได้จากยาหลายชนิดที่เป็นพิษต่อเซลล์ ความไวต่อความเสียหายที่ตับของแต่ละบุคคลอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยประการอื่นๆ ด้วย เช่น ตัวมะเร็งเอง โรคไวรัสตับอักเสบ การกดภูมิคุ้มกัน การขาดสารอาหาร ความเสียหายที่ตับอาจประกอบด้วยความเสียหายต่อเซลล์ตับ, กลุ่มอาการไซนูซอยด์ของตับ (การอุดกั้นของหลอดเลือดดำในตับ), ภาวะน้ำดีคั่ง (ภาวะที่น้ำดีไม่สามารถไหลจากตับไปยังลำไส้) และตับแข็ง
ความเป็นพิษต่อไต (ความเสียหายที่ไต) สามารถเกิดขึ้นได้จากกลุ่มอาการมะเร็งถูกทำลายและผลโดยตรงจากการกำจัดยาผ่านไต ยาต่างชนิดกันจะมีผลต่อส่วนที่ต่างกันของไต และอาจไม่แสดงอาการของความเป็นพิษ (แค่เห็นได้จากการตรวจเลือดหรือปัสสาวะ) หรืออาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ไตเฉียบพลันได้
ความเป็นพิษต่อหู (ความเสียหายที่หูชั้นใน) เป็นอาการข้างเคียงที่พบบ่อยจากการใช้ยาที่มีส่วนประกอบของแพลตินัมที่สามารถทำให้เกิดอาการอย่างเช่นวิงเวียนศีรษะและอาการบ้านหมุน พบว่าเด็กที่ได้รับการรักษาด้วยกลุ่มสารเลียนแบบแพลตินัมนั้นมีความเสี่ยงในการเกิดการสูญเสียการได้ยิน
- อาการข้างเคียงอื่นๆ
อาการข้างเคียงที่พบบ่อยน้อยลงมารวมถึงอาการผิวหนังแดง (Erythema), ผิวแห้ง, เล็บมือเสียหาย, ปากแห้ง (Xerostomia), ภาวะคั่งน้ำ และการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ยาบางชนิดสามารถกระตุ้นปฏิกิริยาภูมิแพ้หรือภูมิแพ้เทียม (Pseudoallergic) ได้
ยาต้านมะเร็งบางชนิดที่จำเพาะมีความสัมพันธ์กับความเป็นพิษที่จำเพาะกับอวัยวะซึ่งรวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด (เช่น ยาด็อกโซรูบิซิน), โรคเนื้อเยื่อปอดอักเสบ (เช่น ยาบลีโอไมซิน) และบางครั้งอาจทำให้เกิดมะเร็งชนิดที่สอง (เช่น การบำบัดรักษาด้วยสูตรยาเมคลอเรทามีน วินคริสทีน โพรคาร์บาซีนและเพร็ดนิโซนสำหรับมะเร็งฮอดจ์คิน)
กลุ่มอาการมือและเท้าอักเสบเป็นอาการข้างเคียงอีกประการหนึ่งของเคมีบำบัดที่เป็นพิษต่อเซลล์
ภาวะทุพโภชนาการมักพบในผู้ป่วยมะเร็งในช่วงที่ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาด้วยเคมีบำบัด การวิจัยเสนอแนะว่า ในเด็กและเยาวชนที่ได้รับการรักษามะเร็ง การให้อาหารทางหลอดเลือดดำอาจช่วยในเรื่องนี้ได้โดยทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และการนำแคลอรี่และโปรตีนเข้าไปในร่างกายเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการให้อาหารเข้าทางเดินอาหาร
ข้อจำกัดของเคมีบำบัด
การให้เคมีบำบัดไม่ได้ผลเสมอไป และแม้เมื่อการให้เคมีบำบัดได้ผลก็อาจจะไม่สามารถทำลายมะเร็งทั้งหมดได้ หลายคนไม่เข้าใจถึงข้อจำกัดของเคมีบำบัด โดยในการศึกษาหนึ่งที่ทำกับผู้ที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัยมะเร็งระยะที่ 4 ที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้พบว่า มากกว่าสองในสามของผู้ป่วยมะเร็งปอด และมากกว่าสี่ในห้าของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ยังคงเชื่อว่าเคมีบำบัดจะรักษามะเร็งให้ขายหาดได้
- ตััวกั้นกลางระหว่างเลือดและสมอง
ตัวกั้นกลางระหว่างเลือดและสมองถือเป็นอุปสรรคในการนำส่งเคมีบำบัดไปยังสมอง เนื่องจากสมองมีระบบป้องกันที่ซับซ้อนในการป้องกันสารเคมีที่เป็นอันตราย โดยตัวลำเลียงยาสามารถสูบยาออกจากเซลล์สมองและหลอดเลือดเข้าสู่น้ำไขสันหลังและระบบไหลเวียนเลือดได้ ตัวลำเลียงเหล่านี้จะขับยาเคมีบำบัดส่วนใหญ่ ทำให้ลดประสิทธิผลการรักษาเนื้องอกสมอง ซึ่งกลุ่มยาอัลคีเลตติงที่ชอบไขมันอย่างเช่นเช่นยาโลมัสทีนหรือเทโมโซโลไมด์สามารถผ่านตัวกั้นนี้ได้
- ระบบหลอดเลือดในเนื้องอกและการนำส่งยา
หลอดเลือดในเนื้องอกนั้นมีลักษณะที่แตกต่างจากหลอดเลือดในเนื้อเยื่อปกติ โดยเมื่อเนื้องอกโตขึ้น เซลล์เนื้องอกที่ห่างจากหลอดเลือดที่สุดจะมีภาวะมีออกซิเจนน้อย (Hypoxic) ในการรับมือกับภาวะนี้เซลล์เนื้องอกจะส่งสัญญาณเพื่อให้หลอดเลือดใหม่เติบโต แต่หลอดเลือดที่เกิดขึ้นใหม่ในเนื้องอกมักจะมีการสร้างที่ไม่สมบูรณ์และไม่สามารถนำส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงทุกพื้นที่ของเนื้องอกได้ดีพอ ส่งผลให้เกิดปัญหาในการนำส่งยา เนื่องจากยาหลายชนิดต้องพึ่งพาระบบไหลเวียนเพื่อไปถึงเนื้องอก
การดื้อยาเคมีบำบัด
การดื้อยาเคมีบำบัดเป็นสาเหตุสำคัญของความล้มเหลวในการรักษาด้วยเคมีบำบัด โดยมีสาเหตุหลายประการที่ทำให้เกิดการดื้อยาในเซลล์มะเร็ง หนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยคือการมีปั๊มขนาดเล็กบนผิวของเซลล์มะเร็งที่ปั๊มยาเคมีบำบัดออกจากเซลล์ เซลล์มะเร็งสร้างปั๊มเหล่านี้ที่เรียกว่าพีไกลโคโปรตีนขึ้นในปริมาณมากโดยเพื่อปกป้องตัวเองจากยาเคมีบำบัด ซึ่งงานวิจัยเกี่ยวกับพีไกลโคโปรตีนและปั๊มขับยาเคมีบำบัดอื่นๆ กำลังดำเนินอยู่ แต่การพัฒนายาเพื่อมายับยั้งปั๊มเหล่านี้ยังเป็นเรื่องที่ยากเนื่องจากมีพิษและอันตรกิริยาที่อาจเกิดขึ้นกับการรักษามะเร็งอื่นๆ
การดื้อยาอีกประเภทหนึ่งคือการเพิ่มจำนวนของยีน โดยเซลล์มะเร็งผลิตยีนซ้ำในปริมาณมาก ทำให้เซลล์สามารถเอาชนะผลของยาเคมีบำบัดที่มุ่งเป้าที่ยีนที่เกี่ยวข้องได้ ด้วยการมีจำนวนของยีนมากขึ้นนี้ทำให้ยาจะไม่สามารถยับยั้งการแสดงออกของยีนทั้งหมดได้ และเซลล์มะเร็งจะสามารถฟื้นฟูความสามารถในการแบ่งตัว นอกจากนี้ เซลล์มะเร็งยังสามารถทำให้กระบวนการตายของเซลล์โดยธรรมชาติบกพร่องได้ ทำให้เซลล์สามารถอยู่รอดแม้จะได้รับเคมีบำบัด ยาเคมีบำบัดหลายชนิดทำงานโดยการชักนำให้เกิดความเสียหายต่อดีเอ็นเอ แต่เซลล์มะเร็งนั้นสามารถซ่อมแซมความเสียหายเหล่านี้ได้โดยการเพิ่มการแสดงออกของเอนไซม์ที่ซ่อมแซมดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นการป้องกันการชักนำกระบวนการตายของเซลล์โดยธรรมชาติ การกลายพันธุ์ในยีนที่ผลิตโปรตีนเป้าหมายของยา (เช่น ทูบูลิน) อาจทำให้ยาเคมีบำบัดหยุดการจับกับโปรตีนเหล่านั้นได้ ทำให้เกิดการดื้อยาประเภทนี้ นอกจากนี้ ความเครียดที่เกิดจากยาเคมีบำบัดสามารถกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของยีนที่ทำให้เกิดการดื้อยาหลายประเภท รวมถึงในมะเร็งปอดที่การแสดงออกของทรานสคริปชันแฟคเตอร์ชื่อเอ็นเอฟแคปปาบี (NFκB) มีบทบาทในการดื้อยาผ่านเส้นทางการอักเสบ
ยาที่เป็นพิษต่อเซลล์กับการบำบัดรักษาแบบกำหนดเป้าหมาย
การบำบัดรักษาแบบกำหนดเป้าหมายนั้นเป็นกลุ่มยามะเร็งชนิดกลุ่มค่อนข้างใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเอาชนะปัญหาหลายประการที่สัมพันธ์กับยาที่เป็นพิษต่อเซลล์ แบ่งออกเป็น2 กลุ่ม ได้แก่ ยาขนาดโมเลกุลเล็กและแอนติบอดีชนิดโมโนโคลนัล โดยความเป็นพิษสูงที่เห็นได้จากยาที่เป็นพิษต่อเซลล์เกิดจากการขาดความเฉพาะเจาะจงต่อเซลล์เนื่องจากยาเหล่านี้จะทำลายเซลล์ที่แบ่งตัวอย่างรวดเร็วทั้งที่เป็นเซลล์มะเร็งหรือเซลล์ปกติ ในทางกลับกัน การบำบัดรักษาแบบกำหนดเป้าหมายนั้นออกแบบมาเพื่อส่งผลต่อโปรตีนหรือกระบวนการในเซลล์ที่เซลล์มะเร็งที่ใช้ประโยชน์โดยเฉพาะ ทำให้สามารถให้ยาในปริมาณสูงแก่เซลล์มะเร็งได้โดยตรงโดยมีความเสี่ยงต่ำต่อเนื้อเยื่อที่แข็งแรง อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตนั้นยังสามารถเกิดขึ้นได้ โดยแรกเริ่มเชื่อว่าการบำบัดรักษาแบบเป้ากำหนดหมายจะเลือกสรรโปรตีนเพียง 1 ชนิด แต่ขณะนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การบำบัดรักษาแบบกำหนดเป้าหมายหลายชนิดมีผลต่อโปรตีนหลายชนิด ตัวอย่างของเป้าหมายคือโปรตีนบีซีอาร์-เอบีแอล1 ที่ผลิตจากโครโมโซมฟิลาเดลเฟีย (ซึ่งพบในมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเรื้อรังซึ่งเกิดในไขกระดูกและบางกรณีของมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันชนิดลิมโฟบลาสต์) การใช้ยาอิมาทินิบ (Imatinib) ซึ่งเป็นยาโมเลกุลเล็กจะยับยั้งฤทธิ์เอนไซม์ของโปรตีนชนิดนี้
กลไกการออกฤทธิ์
มะเร็งเป็นการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ร่วมกับพฤติกรรมร้ายแรง เช่น การรุกราน การแพร่กระจาย รวมถึงคุณสมบัติอื่นๆ มะเร็งเกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างความไวรับโรคทางพันธุกรรมและปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดการสะสมของการกลายพันธุ์ในยีนมะเร็ง (ยีนที่ควบคุมอัตราการเติบโตของเซลล์) และยีนยับยั้งเนื้องอก (ยีนที่ช่วยป้องกันมะเร็ง) ซึ่งทำให้เซลล์มะเร็งมีลักษณะร้ายแรง เช่น การเติบโตที่ไม่สามารถควบคุมได้
กล่าวกว้างๆ คือยาเคมีบำบัดส่วนใหญ่จะทำงานโดยการขัดขวางกระบวนการแบ่งเซลล์ซึ่งเป็นการมุ่งเป้าที่เซลล์ที่แบ่งตัวอย่างรวดเร็วอย่างได้ผล เนื่องจากยากลุ่มนี้จะทำให้เซลล์ได้รับความเสียหาย จึงมีชื่อเรียกว่ายาที่เป็นพิษต่อเซลล์ ซึ่งยาจะไปขัดขวางกระบวนการแบ่งเซลล์ด้วยกลไกต่างๆ ซึ่งรวมถึงการทำลายดีเอ็นเอและการยับยั้งกลไกที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์ โดยหนึ่งในทฤษฎีที่ยากลุ่มนี้ฆ่าเซลล์มะเร็งได้คือยาจะกระตุ้นให้เกิดกระบวนการตายของเซลล์โดยธรรมชาติ
เนื่องจากเคมีบำบัดนั้นส่งผลต่อการแบ่งเซลล์ เนื้องอกที่มีอัตราการเติบโตสูง (เช่น พวกมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันที่เกิดในไขกระดูก มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดรุนแรงซึ่งรวมถึงมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน) จึงไวต่อเคมีบำบัดมากกว่าเนื่องจากสัดส่วนของเซลล์ที่เป็นเป้าหมายจำนวนมากกำลังอยู่ในกระบวนการแบ่งเซลล์ในทุกช่วงเวลา มะเร็งที่มีอัตราการเติบโตช้ากว่าอย่างมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ไม่รุนแรงมักจะตอบสนองต่อเคมีบำบัดได้น้อยกว่ามาก โดยเนื้องอกที่มีลักษณะต่างกันอาจแสดงความไวต่อยาเคมีบำบัดที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประชากรเซลล์ย่อยภายในเนื้องอก
เซลล์จากระบบภูมิคุ้มกันยังมีส่วนสำคัญในการต่อต้านเนื้องอกเสริมจากเคมีบำบัดอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ยาเคมีบำบัดออกซาลิพลาตินและไซโคลฟอสฟาไมด์สามารถทำให้เซลล์เนื้องอกตายในลักษณะที่ระบบภูมิคุ้มกันตรวจจับได้ (เรียกว่าการตายของเซลล์ที่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน) ซึ่งจะกระตุ้นการเคลื่อนที่ของเซลล์ภูมิคุ้มกันที่มีหน้าที่ต่อต้านเนื้องอก ยาเคมีบำบัดที่ทำให้เกิดการตายของเซลล์ที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันสามารถทำให้เนื้องอกที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษากลับไวต่อการบำบัดรักษาด้วยการควบคุมกลไกการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ (Immune checkpoint therapy)
ประโยชน์อืนๆ
ยาเคมีบำบัดบางชนิดนั้นใช้ในการรักษาโรคที่ไม่ใช่มะเร็งด้วย เช่น ในโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง ความผิดปกติของพลาสมาเซลล์ที่ไม่ใช่มะเร็ง ในบางกรณีมักจะใช้ในปริมาณยาที่ต่ำกว่าซึ่งหมายความว่าจะทำให้อาการข้างเคียงลดลงขณะที่ในบางกรณีก็ใช้ปริมาณยาที่ใกล้เคียงกับปริมาณที่ใช้ในการรักษามะเร็ง อย่างยาเมโทเทรกเซตที่ใช้ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาทอยด์ (Rheumatoid arthritis, RA), สะเก็ดเงิน, ข้อกระดูกสันหลังอักเสบ และโรคปลอกประสาทเสื่อม (Multiple sclerosis, MS) โดยคาดว่าการตอบสนองที่ยับยั้งการอักเสบในโรคข้ออักเสบรูมาทอยด์เกิดจากการเพิ่มของสารอะดีโนซีนซึ่งทำให้ภูมิคุ้มกันถูกยับยั้ง, ผลต่อวิถีของเอนไซม์ไซโคลออกซีจีเนส-2, การลดสารไซโทไคน์ที่กระตุ้นการอักเสบ และคุณสมบัติในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนเซลล์ แม้ว่าจะใช้เมโทเทรกเซตในการรักษาทั้งโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งและข้อกระดูกสันหลังอักเสบ แต่ประสิทธิผลของยานี้ในโรคเหล่านี้ยังไม่แน่ชัด บางครั้งยาไซโคลฟอสฟาไมด์นั้นจะใช้ในการรักษาไตอักเสบลูปัสซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยของโรคลูปัส (Systemic lupus erythematosus, SLE) ยาเดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) ร่วมกับยาบอร์เทโซมิบ (Bortezomib) หรือเมลฟาแลนมักใช้ในการรักษาโรคแอมีลอยด์ชนิดเอแอล (AL amyloidosis) เมื่อไม่นานมานี้การใช้บอร์เทโซมิบร่วมกับไซโคลฟอสฟาไมด์และเดกซาเมทาโซนก็แสดงให้เห็นความหวังในการรักษาโรคแอมีลอยด์ชนิดเอแอล ส่วนยาอื่นๆ ที่ใช้รักษาเนื้องอกไขกระดูกอย่างเช่นยาลีนาลิโดไมด์ (Lenalidomide) เป็นความหวังในการรักษาโรคแอมีลอยด์ชนิดเอแอลเช่นกัน
ยาเคมีบำบัดมะเร็งยัง ใช้ในโปรแกรมการปรับสภาพผู้ที่รับการปลูกถ่ายไขกระดูก (การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เม็ดเลือด) ด้วย โปรแกรมการปรับสภาพเหล่านี้ใช้กดภูมิคุ้มกันของผู้รับเพื่อให้สามารถปลูกถ่ายเข้าไปได้ ซึ่งยาไซโคลฟอสฟาไมด์เป็นยาที่เป็นพิษต่อเซลล์ที่ใช้บ่อยในลักษณะนี้และมักจะใช้ร่วมกับการฉายรังสีทั่วร่างกาย ยาเคมีบำบัดมะเร็งอาจใช้ในปริมาณที่สูงเพื่อขจัดเซลล์ไขกระดูกของผู้รับอย่างถาวร (Myeloablative conditioning) หรือใช้ในปริมาณที่ต่ำลงที่จะป้องกันการสูญเสียไขกระดูกถาวร (Non-myeloablative and reduced intensity conditioning) ซึ่งเมื่อใช้ยาเคมีบำบัดในกรณีที่ไม่ใช่การรักษามะเร็ง การรักษานี้ก็ยังคงเรียกว่า "เคมีบำบัด" และมักจะทำในศูนย์การรักษาเดียวกันกับที่ใช้สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง
การสัมผัสสารเคมีในการทำงานและการจัดการอย่างปลอดภัย
ในทศวรรษ ค.ศ. 1970 ยาต้านมะเร็ง (เคมีบำบัด) ถูกระบุว่าเป็นยาอันตราย และสมาคมเภสัชกรในระบบสุขภาพอเมริกัน (American Society of Health-System Pharmacists, ASHP) ก็ได้นำแนวคิดเกี่ยวกับยาที่เป็นอันตรายเข้ามาหลังจากที่ได้เผยแพร่คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการกับยาที่เป็นอันตรายใน ค.ศ. 1983 การปรับกฎระเบียบของรัฐบาลกลางเกิดขึ้นเมื่อสํานักงานบริหารความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งชาติ (Occupational Safety and Health Administration, OSHA) ได้เผยแพร่แนวทางใน ค.ศ. 1986 เป็นครั้งแรก และปรับปรุงใน ค.ศ. 1996, 1999 และล่าสุดใน ค.ศ. 2006
สถาบันความปลอดภัยและอนามัยในการทำงานแห่งชาติประเทศสหรัฐอเมริกา (National Institute for Occupational Safety and Health, NIOSH) ได้ประเมินสถานที่ทำงานเกี่ยวกับยาที่เป็นอันตรายเหล่านี้ตั้งแต่นั้นมา การสัมผัสกับยาต้านมะเร็งจากการทำงานถูกเชื่อมโยงกับผลกระทบทางสุขภาพหลายประการ รวมถึงความเป็นหมันและผลที่อาจเกิดขึ้นจากสารก่อมะเร็ง ซึ่งมีรายงานการแจ้งเตือนของ NIOSH สองสามกรณี เช่นกรณีหนึ่งที่เภสัชกรหญิงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งชนิด papillary transitional cell carcinoma ก่อนที่จะได้รับการวินิจฉัยภาวะนี้ 12 ปี เภสัชกรหญิงได้ทำงานในโรงพยาบาลมาแล้วเป็นระยะเวลา 20 เดือนโดยรับผิดชอบการเตรียมยาต้านมะเร็งหลายชนิด ซึ่งเภสัชกรหญิงไม่ได้มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ สำหรับมะเร็งเลย ด้วยเหตุนี้จึงสันนิษฐานได้ว่า มะเร็งเกิดจากการสัมผัสกับยาต้านมะเร็ง ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลในเอกสารทางวิทยาศาสตร์ก็ตาม และอีกกรณีหนึ่งเกิดความผิดปกติในตู้ชีวนิรภัยซึ่งเชื่อว่าทำให้พนักงานพยาบาลสัมผัสกับยาต้านมะเร็ง โดยการตรวจสอบพบหลักฐานของตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่บ่งชี้ถึงพิษทางพันธุกรรมหลังจากการสัมผัสดังกล่าว 2 และ 9 เดือน
- เส้นทางการสัมผัส
ยาต้านมะเร็งมักจะให้โดยการฉีดเข้าในหลอดเลือดดำ กล้ามเนื้อ ไขสันหลังหรือใต้หนัง ในกรณีส่วนใหญ่นั้น ก่อนที่จะให้ยาแก่ผู้ป่วยก็จำเป็นต้องมีการเตรียมและจัดการยาโดยเจ้าหน้าที่หลายคน ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องในการจัดการ เตรียมหรือให้ยา หรือการทำความสะอาดสิ่งของที่สัมผัสกับยาต้านมะเร็งนั้นมีความเสี่ยงที่จะสัมผัสกับยาที่เป็นอันตรายได้ บุคลากรสุขภาพอาจต้องสัมผัสกับยาในสถานการณ์ต่างๆ เช่น เมื่อเภสัชกรและเจ้าหน้าที่เภสัชกรรมเตรียมและจัดการกับยาต้านมะเร็ง เมื่อพยาบาลและแพทย์ให้ยาแก่ผู้ป่วย นอกจากนี้ ผู้ที่รับผิดชอบในการกำจัดยาต้านมะเร็งในสถานพยาบาลก็มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสยาเช่นกัน
- ยาอันตราย
ยาที่เป็นอันตรายทำให้บุคลากรสุขภาพมีความเสี่ยงด้านสุขภาพอย่างร้ายแรง หลายการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ยาต้านมะเร็งอาจมีอาการข้างเคียงหลายประการต่อระบบสืบพันธุ์ เช่น การสูญเสียทารกในครรภ์ การเกิดความผิดปกติแต่กำเนิด ความเป็นหมัน ซึ่งบุคลากรสุขภาพที่สัมผัสกับยาต้านมะเร็งหลายครั้งเกิดผลไม่พึงประสงค์ต่อระบบสืบพันธุ์ เช่น การแท้งบุตร การคลอดบุตรเสียชีวิต ความผิดปกติแต่กำเนิด นอกจากนี้ การศึกษายังแสดงให้เห็นว่า การสัมผัสกับยาดังกล่าวสามารถทำให้มีความผิดปกติของรอบประจำเดือน ยาต้านมะเร็งยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดปกติทางการเรียนรู้ของบุตรของบุคลากรสุขภาพที่สัมผัสกับสารอันตรายเหล่านี้อีกด้วย
นอกจากนี้ ยาเหล่านี้ยังมีผลเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วย ในช่วง 5 ทศวรรษที่ผ่านมา หลายการศึกษาได้แสดงให้เห็นถึงผลจากการสัมผัสกับยาต้านมะเร็งที่เป็นสารก่อมะเร็ง เช่นเดียวกับการศึกษาวิจัยที่เชื่อมโยงกลุ่มยาอัลคีเลตติงเข้ากับการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวในมนุษย์ และการศึกษายังได้รายงานความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อมะเร็งเต้านม มะเร็งผิวหนังที่ไม่ใช่เมลาโนมาและมะเร็งลำไส้ใหญ่ในพยาบาลที่สัมผัสกับยาเหล่านี้ ซึ่งการสืบสวนอื่นๆ ก็ได้เผยให้เห็นว่า ยาต้านมะเร็งอาจส่งผลที่เป็นพิษต่อพันธุกรรมได้ในในสถานพยาบาล
- การจัดการอย่างปลอดภัยในสถานพยาบาล
ตั้งแต่ ค.ศ. 2018 เป็นต้นมา ยังไม่มีการกำหนดขีดจำกัดในการสัมผัสยาต้านมะเร็งในการทงานเอาไว้ กล่าวคือ สํานักงานบริหารความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งชาติ หรือสมาคมนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรมภาครัฐแห่งสหรัฐอเมริกา (American Conference of Governmental Industrial Hygienists, ACGIH) นั้นยังไม่ได้กำหนดแนวทางความปลอดภัยในที่ทำงาน
- การเตรียม
สถาบันความปลอดภัยและอนามัยในการทำงานแห่งชาติประเทศสหรัฐอเมริกาแนะนำให้ใช้ตู้ที่มีการระบายอากาศซึ่งออกแบบมาเพื่อลดการสัมผัสของเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ยังแนะนำให้มีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ทุกคน การใช้ตู้ การประเมินเทคนิคของโปรแกรมความปลอดภัยเริ่มต้น และการสวมถุงมือและเสื้อคลุมป้องกันเมื่อเปิดบรรจุภัณฑ์ยา จัดการกับขวดยาหรือติดฉลากยา ซึ่งเมื่อสวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลก็ควรตรวจสอบถุงมือด้วยเพื่อหาข้อบกพร่องก่อนใช้งาน และต้องสวมถุงมือสองชั้นและเสื้อคลุมป้องกันเสมอ นอกจากนี้บุคลากรสุขภาพยังต้องล้างมือด้วยน้ำและสบู่ทั้งก่อนและหลังการทำงานกับยาต้านมะเร็ง, เปลี่ยนถุงมือทุกๆ 30 นาทีหรือเมื่อถุงมือมีรอยฉีกขาด และทิ้งถุงมือในภาชนะขยะเคมีบำบัดทันที
เสื้อคลุมที่ใช้ควรเป็นเสื้อคลุมที่ใช้แล้วทิ้ง ซึ่งทำจากโพลีโพรพิลีนเคลือบด้วยโพลีเอทิลีน เมื่อสวมเสื้อคลุม บุคคลควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเสื้อคลุมปิดมิดชิดและมีแขนยาว เมื่อการเตรียมเสร็จสิ้น ผลิตภัณฑ์สุดท้ายควรได้รับการปิดผนึกในถุงพลาสติก
บุคลากรสุขภาพควรเช็ดทำความสะอาดภาชนะบรรจุขยะทั้งหมดภายในตู้ระบายอากาศก่อนที่จะนำออกจากตู้ ประการสุดท้าย บุคลากรควรถอดอุปกรณ์ป้องกันทั้งหมดใส่ในถุงเพื่อทิ้งไว้ภายในตู้ระบายอากาศ
- การให้ยา
ยาเหล่านี้ควรให้โดยใช้เครื่องมือแพทย์ที่มีการป้องกัน เช่น รายการเข็ม และระบบและเทคนิคแบบปิด เช่น การเตรียมสายให้ยาเข้าในหลอดเลือดดำ (IV) โดยบุคลากรเภสัชกรรมภายในตู้ระบายอากาศ บุคลากรควรสวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลอย่างเช่นถุงมือสองชั้น แว่นตานิรภัยและเสื้อคลุมป้องกันเมื่อเปิดถุงชั้นนอกและประกอบระบบการนำส่งยาเพื่อนำส่งยาให้แก่ผู้ป่วย และเมื่อทิ้งวัสดุทั้งหมดที่ใช้ในการให้ยา
บุคลากรในโรงพยาบาลไม่ควรนำสายออกจากถุงยาต้านมะเร็งสำหรับให้เข้าหลอดเลือดดำ และเมื่อมีการถอดสายในระบบ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสายได้รับการล้างอย่างทั่วถึงแล้ว หลังจากนำถุงยาสำหรับให้เข้าในหลอดเลือดดำออกแล้ว บุคลากรควรใส่ถุงนั้นไว้ด้วยกันกับวัสดุใช้แล้วทิ้งอื่นๆ ในภาชนะขยะเคมีบำบัดสีเหลืองโดยตรงโดยปิดฝาให้เรียบร้อย อุปกรณ์ป้องกันควรถอดและทิ้งในภาชนะบรรจุขยะเคมีบำบัดชนิดใช้แล้วทิ้ง หลังจากนั้น ควรใส่ถุงบรรจุขยะเคมีบำบัดสองชั้นก่อนหรือหลังการถอดถุงมือชั้นใน นอกจากนี้ ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำทุกครั้งก่อนออกจากพื้นที่ให้ยา
- การฝึกอบรมพนักงาน
พนักงานทุกคนที่ทำงานในสถานพยาบาลและสัมผัสกับยาที่เป็นอันตรายนั้นล้วนต้องได้รับการฝึกอบรม ซึ่งการฝึกอบรมควรรวมถึงพนักงานที่ขนส่งและรับสินค้า คนทำความสะอาด เภสัชกร ผู้ช่วย และบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการขนส่งและเก็บรักษายาต้านมะเร็งด้วย บุคคลเหล่านี้ควรได้รับข้อมูลและการฝึกอบรมเกี่ยวกับอันตรายจากยาที่อยู่ในพื้นที่การทำงานของตน ควรได้รับข้อมูลและการฝึกอบรมเกี่ยวกับการดำเนินงานและขั้นตอนต่างๆ ในพื้นที่ทำงานที่อาจพบอันตราย วิธีการต่างๆ ที่ใช้ในการตรวจหาการมีอยู่ของยาที่เป็นอันตรายและวิธีที่อันตรายเหล่านั้นจะถูกปล่อยออกมา รวมทั้งอันตรายทางร่างกายและสุขภาพจากยาเหล่านั้น เช่น โอกาสของยาที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อการสืบพันธุ์และการก่อมะเร็ง นอกจากนี้ยังควรได้รับข้อมูลและการฝึกอบรมเกี่ยวกับมาตรการที่ควรใช้ในการหลีกเลี่ยงและปกป้องตนเองจากอันตรายเหล่านี้ ซึ่งข้อมูลนี้ควรได้รับเมื่อบุคลากรสุขภาพนั้นมีการสัมผัสกับยา กล่าวคือเมื่อมอบหมายงานครั้งแรกในพื้นที่ที่มีการใช้ยาที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ยังควรมีการฝึกอบรมเมื่อมีอันตรายใหม่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับเมื่อนำยา ขั้นตอนหรืออุปกรณ์ใหม่ๆ เข้ามา
- การทำความสะอาดและการกำจัดขยะ
เมื่อทำความสะอาดและกำจัดการปนเปื้อนในพื้นที่ทำงานที่มีการใช้ยาต้านมะเร็งแล้ว ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการระบายอากาศที่เพียงพอเพื่อป้องกันการสะสมความเข้มข้นของยาในอากาศ เมื่อทำความสะอาดพื้นผิวทำงาน บุคลากรโรงพยาบาลควรใช้สารทำให้เสื่อมฤทธิ์และสารทำความสะอาดทั้งก่อนและหลังแต่ละกิจกรรม รวมทั้งเมื่อสิ้นสุดกะงานด้วย การทำความสะอาดควรทำโดยใช้ถุงมือป้องกันสองชั้นและเสื้อคลุมที่ใช้แล้วทิ้งเสมอ โดยหลังจากพนักงานเสร็จสิ้นการทำความสะอาดแล้วควรทิ้งวัสดุที่ใช้ในกิจกรรมลงในภาชนะขยะเคมีบำบัดสีเหลืองโดยยังคงสวมถุงมือป้องกัน หลังจากถอดถุงมือแล้วควรล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ สิ่งใดก็ตามที่สัมผัสหรือมีร่องรอยของยาต้านมะเร็งอย่างเช่นเข็ม ขวดยาเปล่า กระบอกฉีดยา เสื้อคลุมและถุงมือควรทิ้งลงในภาชนะขยะเคมีบำบัดด้วย
- การติดตามการทำงาน
โปรแกรมการเฝ้าระวังทางการแพทย์จะต้องได้รับการจัดตั้งขึ้น ในกรณีที่มีการสัมผัสสารอันตรายนั้น เจ้าหน้าที่อาชีวอนามัยจะต้องสอบถามประวัติและดำเนินการตรวจร่างกายอย่างละเอียด ซึ่งควรตรวจปัสสาวะของบุคลากรที่อาจจะได้รับสัมผัสโดยการใช้แถบตรวจปัสสาวะหรือการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยเน้นที่การตรวจหาเลือดในปัสสาวะเป็นหลัก เนื่องจากยาต้านมะเร็งหลายชนิดสามารถทำให้เกิดความเสียหายต่อกระเพาะปัสสาวะได้
การกลายพันธุ์ในทางเดินปัสสาวะเป็นตัวบ่งชี้การสัมผัสกับยาต้านมะเร็ง ซึ่งถูกนำมาใช้ครั้งแรกโดยเฟล์ค (Falck) และคณะใน ค.ศ. 1979 และใช้การทดสอบการกลายพันธุ์ในแบคทีเรีย การทดสอบนี้ไม่เฉพาะเจาะจงและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น การรับประทานอาหาร การสูบบุหรี่ ดังนั้นจึงควรใช้ในการทดสอบอย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม การทดสอบดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการใช้ตู้ยาแบบกระแสลมแนวนอนให้เป็นตู้ยานิรภัยชีวภาพแบบกระแสลมแนวตั้งในระหว่างการเตรียมยาต้านมะเร็งเนื่องจากตู้ยาแบบแรกทำให้บุคลากรสุขภาพต้องสัมผัสกับยาในระดับสูง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดการสัมผัสของบุคลากรต่อยาต้านมะเร็งอย่างได้ผล
ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่บ่งชี้การสัมผัสกับยาต้านมะเร็งมักรวมถึงแพลตินัมในปัสสาวะ ยาเมโทเทรกเซต ยาไซโคลฟอสฟาไมด์และยาไอฟอสฟาไมด์ในปัสสาวะ และสารเมแทบอไลต์ของยา 5-ฟลูออโรยูราซิลในปัสสาวะ นอกจากนี้ยังมียาอื่นๆ ที่ใช้ในการวัดปริมาณยาโดยตรงในปัสสาวะ แม้ว่าจะไม่ได้ใช้บ่อยนักก็ตาม การวัดยาเหล่านี้ในปัสสาวะของบุคคลโดยตรงเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงระดับการสัมผัสที่สูง และแสดงถึงการดูดซึมยาผ่านการสูดดมหรือทางผิวหนังได้
สัตว์
เคมีบำบัดใช้ในทางสัตวแพทยศาสตร์เช่นเดียวกับที่ใช้ในเวชศาสตร์มนุษย์
แปลและเรียบเรียงจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Chemotherapy [2025, September 13] โดย ดร. อรกัญญ์ ภูมิโคกรักษ์
อ่านตรวจทานโดย นพ. ธัชชัย วิจารณ์