ผู้สูงอายุ (Older person)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

นิยามเกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุ (Older person) เป็นวัยซึ่งมีความแตกต่างจากวัยอื่น เป็นวัยบั้นปลายของชีวิต ดังนั้นปัญหาของผู้สูงอายุในทุกด้านโดยเฉพาะด้านสังคม และสาธารณสุข จึงแตก ต่างจากคนในวัยอื่น ปัจจุบันจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ซึ่งรัฐบาลไทย และทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ จึงมีความพยายาม และมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง ให้ทุกคนตระหนัก เข้าใจ และพร้อมดูแลผู้สูงอายุให้ทัดเทียมเช่นเดียวกับการดูแลประชากรในกลุ่มอายุอื่น

บทความนี้ มีวัตถุประสงค์นำเสนอเรื่องราวของผู้สูงอายุในด้านทั่วไป เช่น คำนิยาม อายุคาดเฉลี่ย ปฏิญญาผู้สูงอายุ และสถิติต่างๆ เพื่อเป็นความรู้พื้นฐานในเรื่องที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุ หรือบางคนเรียกว่า ‘ผู้สูงวัย’ เป็นคำที่บ่งบอกถึงตัวเลขของอายุว่า มีอายุมาก โดยนิยมนับตามอายุตั้งแต่แรกเกิด (Chronological age) หรือ ทั่วไป เรียกว่า ‘คนแก่ หรือ คนชรา’ โดยพจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายของคำว่า ‘แก่’ คือ มีอายุมาก หรือ อยู่ในวัยชรา และ ให้ความ หมายของคำว่า ‘ชรา’ คือ แก่ด้วยอายุ ชำรุดทรุดโทรม นอกจากนั้น ยังมีการเรียกผู้สูงอายุว่า ราษฎรอาวุโส (Senior citizen) ส่วน องค์การอนามัยโลก (World Health Organization, WHO) และองค์การสหประชาชาติ (United Nations,UN) ใช้คำในภาษาอังกฤษของผู้สูงอายุว่า Older person or Elderly person แต่เท่าที่ผู้เขียนอ่านจากเอกสารต่างๆ ของจากทั้งองค์การอนามัยโลก และองค์การสหประชาชาติ มักใช้คำว่า Older person มากกว่า Elderly person

อนึ่ง คำในภาษาอังกฤษ ที่ใช้เรียกผู้สูงอายุยังมีคำอื่นๆอีก เช่น Old age, Old people, Senior, Elderly, Elder

องค์การสหประชาชาติ ได้ให้นิยามว่า "ผู้สูงอายุ" คือ ประชากรทั้งเพศชาย และเพศหญิงซึ่งมีอายุ มากกว่า 60 ปีขึ้นไป (60+) โดยเป็นการนิยาม นับตั้ง แต่อายุเกิด

ส่วนองค์การอนามัยโลก ยังไม่มีการให้นิยามผู้สูงอายุ โดยมีเหตุผลว่า ประเทศต่างๆทั่วโลกมีการนิยาม ผู้สูงอายุต่างกัน ทั้งนิยามตามอายุเกิด ตามสังคม (Social) วัฒนธรรม (Culture) และสภาพร่างกาย (Functional markers) เช่น ในประเทศที่เจริญแล้ว มักจัดผู้สูงอายุ นับจากอายุ 65 ปีขึ้นไป หรือบางประเทศ อาจนิยามผู้สูงอายุ ตามอายุกำหนดให้เกษียณงาน (อายุ 50 หรือ 60 หรือ 65 ปี) หรือนิยามตามสภาพของร่างกาย โดยผู้หญิงสูงอายุอยู่ในช่วง 45-55 ปี ส่วนชายสูง อายุ อยู่ในช่วง 55-75 ปี

*สำหรับประเทศไทย "ผู้สูงอายุ" ตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 หมายความว่า บุคคลซึ่ง มีอายุเกินกว่า 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และมีสัญชาติไทย

ส่วนคำว่า "สังคมผู้สูงอายุ" องค์การสหประชาชาติ แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ

  • ระดับ การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Ageing society หรือ Aging society)
  • ระดับ สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society) และ
  • ระดับ สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่(Super-aged society)

โดยให้นิยามของระดับต่างๆ ซึ่งทั้งประเทศไทย และรวมทั้งประเทศต่างๆทั่วโลก ใช้ความหมายเดียวกันในนิยามของทุกระดับของสังคมผู้สูงอายุ ดังนี้

  • การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คือ การมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปรวมทั้งเพศชายและเพศหญิงมากกว่า 10% ของประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปี เกิน 7% ของประชากรทั้งประเทศ
  • สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ คือ เมื่อประชากรอายุ 60+ปี เพิ่มขึ้นเป็น 20% หรือ ประชากรอายุ 65 ปี เพิ่มเป็น 14% ของประชากรโดยรวมทั้งหมดของทั้งประเทศ
  • สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ คือ สังคมที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ

อย่างไรก็ตาม ทุกประเทศทั่วโลกมีการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในช่วงเวลาแตกต่างกันตามความเจริญมั่งคั่ง ซึ่งมีผลต่อสุขภาพและการมีอายุยืนของประชาชน เช่น

*ในส่วนของประเทศไทย ได้’ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในปี พ.ศ.2547-2548 โดยมีจำนวนประชากรสูงอายุ 60+ คิดเป็นร้อยละ 10.2-10.4 ของประชากรไทยทั้งประเทศ’ และคาดว่าจะเข้าสู่ ‘สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ประมาณปี พ.ศ. 2567-2568’ แต่บางการศึกษาคาดว่าอาจภายในปี พ.ศ. 2570

อนึ่ง ในทางการแพทย์ สาขาวิชาเฉพาะทางที่ให้การรักษาผู้สูงอายุหรือวิทยาการด้านการแพทย์เกี่ยวกับผู้สูงอายุ เรียกว่า ‘Geriatrics หรือ Geriatric medicine’ โดยรากศัพท์มาจากภาษา ‘กรีก Geron แปลว่า คนแก่ และ iatros แปล ว่า ผู้รักษา’ แต่บางท่านเรียกว่า ‘Medical Gerontology’ และเรียก ‘การศึกษาเกี่ยว กับผู้สูงอายุ หรือวิทยาการว่าด้วยผู้สูงอายุว่า Gerontology’ เรียก ‘การพยาบาลเฉพาะทางผู้สูงอายุว่า Geriatric nursing หรือ Gerontological Nursing’

ความหมายของอายุขัย และอายุคาดเฉลี่ย

ผู้สูงอายุ

อายุนับตั้งแต่เกิดจนถึงตายของคนเรา หรือความยืนยาวของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย หรือช่วงชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย เรียกว่า ‘อายุขัย’ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามคำว่า ‘อายุขัย ว่า อัตรากำหนดอายุจนสิ้นอายุ การสิ้นอายุ ความตาย’ ศัพท์แพทยศาสตร์ อังกฤษ-ไทย ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2547 แปลคำ ’อายุขัย เป็นภาษาอัง กฤษว่า Life span’ และแปลคำ ‘Life expectancy ว่า การคาดหมายคงชีพ’ แต่สำนักสถิติแห่งชาติใช้คำว่า ‘อายุคาดเฉลี่ย’ ซึ่งความหมายคืออายุขัยเฉลี่ยที่คาดคะเนว่าน่าจะเป็นเท่าไร’

อนึ่ง อายุคาดเฉลี่ยแบ่งย่อยตามอายุต่างๆตามแต่ที่เราต้องการทราบหรือต้องการศึกษา เช่น

  • อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด (Life expectancy at birth) คือ อายุคาดเฉลี่ยนับตั้งแต่แรกเกิดจนถึงเสียชีวิตของแต่ละคน และ
  • อายุคาดเฉลี่ยเมื่ออายุ 60 ปี (Life expectancy at age 60) หมายถึง เมื่อมีอายุได้ 60 ปีแล้ว คาดว่าจะมีอายุต่อไปได้อีกกี่ปีจึงจะเสียชีวิต

อายุขัย และอายุคาดเฉลี่ยของคนทั่วโลกแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นกับ พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม สุขอนามัยพื้นฐาน การสาธารณสุข และฐานะทางเศรษฐกิจ ในปัจจุบันอายุขัยและอายุคาดเฉลี่ยของคนไทยและทั่วโลกเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยผู้หญิงจะมีอายุยืนกว่าผู้ชาย ทั้งนี้อาจเพราะการมีฮอร์โมนเพศที่ต่างกัน รวมทั้งลักษณะการใช้ชีวิตที่เพิ่มความเสี่ยงของเพศชาย เช่น ลักษณะงาน การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้ชีวิตนอกบ้าน

สำหรับประเทศไทย อายุขัยเฉลี่ย/อายุคาดเฉลี่ยแรกเกิดโดยการคาดประมาณประชากรไทย 2543 - 2573 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

สถิติผู้สูงอายุต่างประเทศและประเทศไทย

ก. จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยภาพรวม โลกก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้ง แต่ปี พ.ศ. 2548

อายุคาดเฉลี่ยแรกเกิดในปี ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) รายงานโดยองค์การอนามัยโลก

ประชากรสูงอายุของโลก (60 ปีขึ้นไป) มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกปี จาก 10% ในปีพ.ศ.2543 เป็น 10.4%, 11.1%, 12.3%, 13.6% และ 15.0% ในปี พ.ศ.2548, 2553, 2558, 2563 และ 2568 ตามลำดับ

ข. สถิติผู้สูงอายุในประเทศไทย ตามนิยามของการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คือมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 10% ของประชากรรวมทั้งประเทศ ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูง อายุตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 - 2548 กล่าวคือ มีประชากรผู้สูงอายุทั้งหมดคิดเป็น 10.2 - 10.4%

การแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุ

ปัจจุบัน แพทย์และองค์กรที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ ยังแบ่งผู้สูงอายุออกเป็นกลุ่มย่อย(Sub group) ตามสุขภาพร่างกาย สมอง และขีดความสามารถในการดูแลตนเอง/ต้องการการดูแลจากผู้อื่น เป็นกลุ่มย่อยๆได้อีก โดยมีการแบ่งตามช่วงอายุที่ต่างกันในแต่ละประเทศ ได้แก่

ก. รูปแบบที่1: กรณีนิยามผู้สูงอายุเริ่มที่อายุ60ปี แบ่งผู้สูงอายุตามขีดความสามารถในการทำงานและการดูแลตนเองที่ลดถอยลงจากน้อยไปหามากเป็น 3ระดับ คือ

  • สูงอายุตอนต้น(Young old) ได้แก่ อายุช่วง 60-69 ปี
  • สูงอายุตอนกลาง(Middle old) ได้แก่ อายุช่วง 70-79 ปี
  • สูงอายุตอนปลาย(Very old) ได้แก่ อายุช่วง ตั้งแต่ 80ปีขึ้นไป

ข. รูปแบบที่2: กรณีนิยามผู้สูงอายุเริ่มที่อายุ 65 ปี แบ่งผู้สูงอายุตามขีดความสามารถในการทำงานและการดูแลตนเองที่ลดถอยลงจากน้อยไปหามากเป็น 3ระดับเช่นกัน คือ

  • สูงอายุตอนต้น(Young old) ได้แก่ อายุช่วง 65-74 ปี
  • สูงอายุตอนกลาง(Middle old) ได้แก่ อายุช่วง 75-84 ปี
  • สูงอายุตอนปลาย(Oldest old) ได้แก่ อายุช่วง ตั้งแต่ 85 ปีขึ้นไป

ค. รูปแบบที่3: กรณีนิยามผู้สูงอายุเริ่มที่อายุ 65 ปีเช่นกัน แบ่งผู้สูงอายุตามขีดความสามารถในการทำงานและการดูแลตนเองที่ลดถอยลงจากน้อยไปหามากเป็น 3ระดับเช่นกัน คือ

  • สูงอายุตอนต้น(Young old) ได้แก่ อายุช่วง 65-74 ปี
  • สูงอายุตอนกลาง(Old) ได้แก่ อายุช่วง 75-84 ปี
  • สูงอายุตอนปลาย(Old old) ได้แก่ อายุช่วง ตั้งแต่ 85 ปีขึ้นไป

*หมายเหตุ: ปัจจุบัน ในประเทศที่มีการสาธารณสุขที่ดี ทางการแพทย์มีความเห็นตรงกันวา ประชากรที่เข้าวัยสูงอายุอย่างแท้จริง กล่าวคือมีความเสื่อมของเซลล์ต่างๆทั่วร่างกายรวมถึงเซลล์สมองที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตตามอายุ คือ วัยเริ่มจากอายุ 65ปี

*นอกจากนั้น ในทางคลินิก เพื่อใช้ช่วยในการดูแลผู้สูงอายุ และแพทย์ใช้ช่วยวินิจฉัยและตัดสินใจเลือกวิธีรักษาผู้สูงอายุเมื่อเจ็บป่วย เช่น ในโรคมะเร็งว่าสมควรจะใช้การรักษาที่ก้าวหน้าเพื่อการหายขาดที่จะมีผลข้างเคียงจากการรักษารุนแรง หรือจะเลือกเพียงการรักษาประคับประคองตามอาการ แพทย์จึงแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุนับจากอายุตั้งแต่หรือมากกว่า ‘65ปี’ ขึ้นไป เป็น2กลุ่ม คือ Fit elderly และ Frail elderly

ก. Fit elderly คือ ผู้ป่วยอายุมากกว่า 65ปี ที่อยู่คนเดียวได้ ดูแลตนเองในชีวิตประจำวันได้โดยไม่ต้องพึงพา ไม่มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่ต้องได้รับการรักษาต่อเนื่องจากแพทย์ โดยเฉพาะ โรคหัวใจ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคไต โรคตับ โรคสมอง โรคกลุ่มอาการเมตาโบลิก และ/หรือโรคกระดูกเสื่อมรุนแรงเรื้อรัง

ข. Frail elderly หรือ Fragile elderly คือ ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี ที่ต้องพึ่งพา ไม่สามารถดูแลตนเองในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ รวมถึงมีโรคประจำตัวเรื้อรังที่ต้องได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์อย่างต่อเนื่อง

สาเหตุที่ทำให้จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น

ปัจจุบัน ประชากรโลกรวมทั้งในประเทศไทย มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นตามลำดับ ซึ่งสาเหตุน่ามาจาก 3 สาเหตุสำคัญ ได้แก่ อัตราเกิดหรืออัตราเจริญพันธ์ อัตราเสียชีวิตหรืออัตราตาย และอายุขัย/อายุคาดเฉลียของประชากร

ก. สาเหตุจากอัตราเกิดของประชากรลดลงหรือคงที่ โดยอัตราเกิด หรือ อัตราเจริญพันธุ์รวม (Total fertility rate หมายถึง เฉลี่ยแล้วหนึ่งครอบครัวโดยรวมมีลูกกี่คน) ของประชากรโลกลดลง เช่น

  • ประชากรโลก ลดลงจาก 4.95 คน ในช่วงปี พ.ศ. 2493 – 2498 เป็น 2.36 คนในช่วงพ.ศ. 2553 – 2558
  • ส่วนประเทศไทย ลดจาก 6.3 คนในช่วงปีพ.ศ. 2507 - 2508 เป็น 1.52 คน ในช่วงปีพ.ศ. 2560

ข. สาเหตุจากอัตราเสียชีวิตของประชากรจากภาวะทางการแพทย์ลดลง ส่งผลให้เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราเกิด ประชากรไทย/ทั่วโลกจึงมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่น

  • รายงานจาก World Bank อัตราเสียชีวิตของประชากรโลกในปีพ.ศ. 2503 คือ 18รายต่อประชากร1พันคน ลดลงเป็น 8รายต่อประชากร1พันคนในปีพ.ศ. 2559
  • ส่วนประเทศไทยอัตราเสียชีวิตในปีพ.ศ. 2543 คือ 7.53รายต่อประชากร1พันคน และในปีพ.ศ. 2554 คือ 7.29รายต่อประชากร1พันคน

ค. สาเหตุจากอายุขัย/อายุคาดเฉลี่ย ของประชากรที่เพิ่มขึ้นทั้ง 2 เพศ ผู้สูงอายุจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น

  • ทั่วโลกอายุคาดเฉลี่ยแรกเกิดประมาณ 66ปีในช่วงพ.ศ. 2543-2558 และจะเพิ่มเป็นประมาณ 70 ปีในพ.ศ. 2553-2568
  • ส่วนในประเทศไทย อายุคาดเฉลี่ยในปีพ.ศ. 2558 คือ 75 ปี และในปีพ.ศ.2560 คือ75.4ปี

วันผู้สูงอายุสากลและของประเทศไทย

เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ องค์การสหประชาชาติได้ลงมติให้มี ‘วันผู้สูงอายุสากล หรือวันผู้สูงอายุโลก (International day of older persons)’ เมื่อ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1990 (พ.ศ.2533) โดยกำหนดให้ตรงกับ ‘วันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปี’ และเริ่มทั่วโลกเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534) นอกจากนั้นยังได้จัดให้ปี ค.ศ. 1999 (พ.ศ.2542) เป็นปีผู้สูงอายุสากล (International year of older persons)

ในประเทศไทย เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ และปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้น เมื่อ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2525 ในสมัย พล. เอก เปรม ตินสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติกำหนดให้ ‘วันที่ 13 เมษายน ของทุกปี เป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ’ ทั้งนี้เพราะความสำคัญของวันสงกรานต์สื่อความหมายตรงกับความสำคัญของผู้สูงอายุ โดยเริ่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2526 และมี ‘ดอกลำดวน (Lamdman, White cheesewood, Devil tree มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Melodorum fruticosum lour และมีชื่อวงศ์ว่า Annonaceae)’ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของผู้สูงอายุ เนื่องจาก ลำดวน เป็นไม้ยืนต้นที่มีอายุยืน ให้ความร่มเย็น ให้ร่มเงาดี มีใบเขียวตลอดปี ดอกมีกลิ่นหอม กลีบดอกแข็ง ไม่ร่วงง่าย และยังใช้เป็นสมุนไพรไทย มีสรรพคุณบำรุงหัว ใจ ซึ่งทั้งหมดเปรียบเหมือนกับผู้สูงอายุที่คงคุณธรรมความดีงามไว้ เป็นตัวอย่างต่อบุตรหลานตลอดไป

ปฏิญญาผู้สูงอายุไทย

คำว่า "ปฏิญญา" ตามความหมายจากพจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง คำมั่นสัญญา หรือ แสดงการยืนยัน โดยถือเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ ความสุจริตใจเป็นที่ตั้ง

ในปี พ.ศ. 2525 องค์การสหประชาชาติ ได้จัดประชุมครั้งแรกในแผนปฏิบัติการเกี่ยวกับผู้สูงอายุ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และในปี พ.ศ. 2541 ได้จัดประชุมที่เมืองมาเก๊าประเทศจีน และได้ออกปฏิญญามาเก๊าในเรื่องผู้สูงอายุในเอเชียและแปซิฟิก เพื่อประเทศต่างๆทั่วโลก ตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ รับรองสิทธิ และดำเนินการในเรื่องเกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ โดยอยู่บนพื้นฐานของ การมีอิสสระ การมีส่วนร่วม การได้รับการดูแลเอาใจใส่ ความพึงพอใจ และมีศักดิ์ศรีในตนเอง

ประเทศไทย ในปี 2542 เป็นวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุ 72 พรรษา ประกอบกับองค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้เป็นปีสากลของผู้สูงอายุ และเพื่อให้สอดคล้องกับปฏิญญาผู้สูงอายุมาเก๊า ผู้แทนจากองค์กรต่างๆที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุทั้งภาครัฐและเอกชน องค์กรผู้สูงอายุ และผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมกันจัดทำ ‘ปฏิญญาผู้สูงอายุไทย’ขึ้น เพื่อให้ถือปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน และให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้สูงอายุไทย และทัดเทียมกับคนในทุกวัย ซึ่งคณะรัฐมนตรี ในสมัย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบ และประกาศเป็น ปฏิญญาผู้สูงอายุไทยเมื่อ 23 มีนาคม 2542 ซึ่งปฏิญญาผู้สูงอายุไทยมีทั้งหมด 9 ข้อ โดยสรุป คือ

1. มีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรี

2. การยอมรับได้อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข

3. การมีโอกาสได้มีการศึกษาอย่างต่อเนื่องตามความต้องการ เพื่อการพัฒนา ศักยภาพ

4. มีโอกาสได้ทำงานถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ของตนเอง โดยได้รับค่าตอบแทน

5. มีโอกาสได้เรียนรู้การดูแลสุขภาพอนามัยของตนเอง และได้รับหลักประกันในการบริการด้านสุขภาพ

6. ได้รับโอกาสให้มีส่วนร่วมในครอบครัวและสังคม

7. รัฐ และองค์กรต่างๆต้องดำเนินการในการจัดการดูแลผู้สูงอายุ ให้เป็นไปตามเป้าหมายรัฐ และประชาคมโลก

8. ต้องมีกฎหมายเพื่อการคุ้มครองผู้สูงอายุในด้านต่างๆ

9. รัฐและสังคมต้องรณรงค์ และปลูกฝังค่านิยมให้สังคมตระหนักถึงคุณค่าของผู้สูงอายุ

พระราชบัญญัติผู้สูงอายุไทย

เพื่อสิทธิการคุ้มครองและสวัสดิการ รัฐจึงได้ออกกฎหมาย พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 120 ตอนที่ 130 วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2546 และมีผลบัง คับใช้เมื่อ 1 มกราคม 2547 พระราชบัญญัตินี้มีทั้งหมด 24 มาตรา โดยสรุป คือ คุ้มครอง ส่ง เสริม และสนับสนุน ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและมีสัญชาติไทยในด้านต่างๆ ที่สำคัญคือ การแพทย์และการสาธารณสุข การศาสนา ข้อมูลข่าวสาร การประกอบอาชีพ การพัฒนาตนเอง การศึกษา การอำนวยความสะดวก ความปลอดภัย การช่วยเหลือ การยกเว้น การลดหย่อนค่าธรรมเนียม และภาษีอากร เบี้ยเลี้ยงชีพ ที่อยู่อาศัย การสงเคราะห์การจัดงานศพตามประเพณี และอื่นๆตามประกาศของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นกรรมการและเลขานุการ

ต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2553 ในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553 และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 15 กันยายน พ.ศ. 2553 โดยสรุปที่เพิ่มเติม คือ ให้มีการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ ให้มีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพเป็นรายเดือนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม และให้มีสิทธิได้รับสวัสดิการสิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะอย่างสมศักดิ์ศรี และความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากรัฐ และล่าสุดได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม เป็นฉบับที่3 เมื่อ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ทำไมต้องเฉพาะผู้สูงอายุ?

ผู้สูงอายุเป็นประชากรซึ่งมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว กล่าวคือ เป็นแหล่งความรู้ ความชำนาญที่มีคุณค่า เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งประเพณี วัฒนธรรม และเป็นสายใยแห่งครอบครัว เชื่อมต่อระ หว่างบุคคลในช่วงวัยต่างๆ แต่ขณะเดียวกัน มีปัญหาในด้านสุขภาพ อนามัย ปัญหาด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นกว่าวัยอื่นๆ

ปัญหาด้านสุขภาพ เกิดเนื่องจากเป็นวัยชรา เซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆเสื่อมลงตามธรรมชาติ ทำให้เกิดโรคการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ เกิดภาวะสมรรถภาพทดถอย ไร้แรงงาน หรือไร้สมรรถภาพ (Disability) เช่น โรคกระดูกเสื่อม โรคข้อเสื่อม หรือความจำ สติปัญญาเสื่อมถอย สับสนง่าย เกิดการทรงตัวไม่ดี เชื่องช้า ล้มได้ง่าย กระดูกหักง่าย เกิดโรคขาดอาหารได้ง่ายจากการเสื่อมสภาพของเหงือกและฟัน รวมทั้งภูมิต้านทานคุ้มกันโรคลดลง มีการติดเชื้อได้ง่าย และมักเป็นการติดเชื้อรุนแรง มีโอกาสเกิดโรคมะเร็งสูงกว่าวัยอื่น ต้องได้รับการดูแลช่วยเหลือจากบุคคลอื่น รวมทั้งในด้านการรักษาพยาบาล มีภาระด้านค่ารักษาพยาบาลสูงกว่าในวัยอื่น เป็นปัญหาสาธารณสุขในระดับชาติ

ในด้านสังคม ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่มีรายได้ ต้องพึ่งพา เป็นภาระทั้งต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ ทั้งด้านสุขภาพ การเงิน ความเสื่อมจากเซลล์สมอง การขาดแคลนคนดูแล คนเข้าใจ และแรงทรัพย์ เป็นเหตุให้ผู้สูงอายุมักมีอาการซึมเศร้าได้ง่าย

ดังนั้น ถ้าไม่ตระหนัก ถึงข้อดี ถึงปัญหาของผู้สูงอายุ และให้การดูแลอย่างถูกต้อง ผู้สูงอายุจะกลาย เป็นปัญหาใหญ่หลวงของประเทศชาติในทุกด้าน

การดูแลผู้สูงอายุ

ดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ ‘นิยามฯ’และหัวข้ออื่นๆ ผู้สูงอายุเป็นประชากรที่มีการเสื่อมถอยตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต/ของมนุษย์ทุกคนทั้ง ร่างกาย สมอง จิตใจ ที่ส่งผลให้ผู้สูงอายุต้องการความช่วยเหลือเพื่อการดำรงชีวิตประจำวัน ดังนั้นในการดูแลผู้สูงอายุ ผู้ให้การดูแลจึงควรต้อง

  • ตระหนักและเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาตินี้ รวมถึงช่วยให้ผู้สูงอายุตระหนักในเรื่องนี้ด้วย
  • ช่วยดูแลพัฒนาให้การเสื่อมถอยตามธรรมชาตินี้ ให้เกิดได้ช้าที่สุด เพื่อให้ผู้สูงอายุได้เข้าใจ ยอมรับ ปรับตัว อย่างมีศักดิ์ศรี เพราะผู้สูงอายุเป็นผู้มีประสพการณ์ชีวิตมาก่อน ที่รวมถึงการอยู่ในสถานะที่เป็นหลัก เป็นที่พึ่งของผู้อื่น คือต้องเปลี่ยนจากผู้ให้มาเป็นผู้รับ
  • ให้การดูแลผู้สูงอายุด้วย ความเข้าใจ เมตตา การเคารพในศักด์ศรีของความเป็นมนุษย์ และด้วยความรู้

*อนึ่ง แนะนำอ่านรายละเอียดใน ‘การดูแลผู้สูงอายุ’ เพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง’การดูแลผู้สูงอายุ’

บรรณานุกรม

  1. กุศล สุนทรธาดา. สิทธิผู้สูงอายุตามกฎหมาย. สถาบันประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.popterms.mahidol.ac.th/newsletter/showarticle.php?articleid=54 [2018,Nov10]
  2. ความเป็นมาของวันผู้สูงอายุ. สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง http://www.lib.ru.ac.th/journal/apr/apr13_op_def_history.html [2018,Nov10]
  3. คำนิยาม คำจำกัดความต่างๆเกี่ยวกับผู้สูงอายุ. สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง http://www.lib.ru.ac.th/journal/apr/apr13_op_def.html [2018,Nov10]
  4. โชติชัย สุวรรณาภรณ์. ปัญหาโครงสร้างประชากรผู้สูงอายุ เราจะจัดการอย่างไรกับภาระการคลังในอนาคต(2). สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง http://www.fpo.go.th/FPO/index2.php?mod=Content&file=contentview&contentID=CNT0002919&categoryID=CAT0000146 [2018,Nov10]
  5. ดอกลำดวน. http://www.sisaket.go.th/Luamdoun.html [2018,Nov10]
  6. ปัทมา ว่าพัฒนวงศ์ และ ปราโมทย์ ประสาทกุล. ประชากรไทยในอนาคต http://www.ipsr.mahidol.ac.th/IPSR/AnnualConference/ConferenceII/Article/Article02.htm [2018,Nov10]
  7. ปรีชา กิจโมกข์. การเกษียณอายุสิ่งที่ทุกคนต้อง https://www.set.or.th/set/financialplanning/knowledgedetail.do?contentId=562 [2018,Nov10]
  8. พรบ.ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2553 http://www.dop.go.th/th/laws/2/10/785 [2018,Nov10]
  9. อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด. http://social.nesdb.go.th/SocialStat/StatReport_Final.aspx?reportid=88&template=2R1C&yeartype=M&subcatid=4 [2018,Nov10]
  10. K.W. Woodhouse et al. Quarterly Journal of Medicine 1988;68(255):505-506
  11. Rungsak Siriniyomchai.ปฏิญญาผู้สูงอายุไทย. https://www.gotoknow.org/posts/15140 [2018,Nov10]
  12. http://www.who.int/healthinfo/survey/ageingdefnolder/en/index.html [2018,Nov10]
  13. http://www.un.org/esa/population/publications/worldageing19502050/pdf/8chapteri.pdf [2018,Nov10]
  14. https://en.wikipedia.org/wiki/Geriatrics [2018,Nov10]
  15. http://www.un.org/en/events/olderpersonsday/resources.shtml [2018,Nov10]
  16. https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_life_expectancy [2018,Nov10]
  17. http://www.monitoringris.org/documents/norm_reg/unescap-macao.pdf [2018,Nov10]
  18. http://en.wikipedia.org/wiki/Old_age [2018,Nov10]
  19. http://www.un.org/en/sections/issues-depth/ageing/ [2018,Nov10]
  20. https://www.worldlifeexpectancy.com/thailand-life-expectancy [2018,Nov10]
  21. https://en.wikipedia.org/wiki/Total_fertility_rate [2018,Nov10]
  22. https://data.worldbank.org/indicator/sp.dyn.cdrt.in [2018,Nov10]
  23. https://www.indexmundi.com/g/g.aspx?c=th&v=26 [2018,Nov10]
  24. https://en.wikipedia.org/wiki/Life_expectancy [2018,Nov10]
  25. https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99/64045 [2018,Nov10]
  26. http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/131/36.PDF [2018,Nov10]