นานาสาระ ตอน ชีวิตนักศึกษาแพทย์

นานาสาระกับหมอสมศักดิ์-4


      

      ย้อนกลับไป 34 ปี คือเมื่อ พ.ศ. 2527 ผมโชคดีสอบได้เข้ามาเป็นนักศึกษาแพทย์ที่คณะแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งผมไม่เคยมาจังหวัดขอนแก่นมาก่อนเลยในชีวิต แต่ก็มีความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มาเรียนคณะแพทย์ เพื่อการเป็นแพทย์ที่ดีในอนาคต ผมจำได้วันที่อาจารย์ได้สอบสัมภาษณ์ผม ผมถูกอาจารย์ถามด้วยคำถามที่ตรงไปตรงมา คือ ที่มาเรียนแพทย์เพราะอะไร แล้วผมก็ตอบอาจารย์ไปจากใจจริง มิใช่ตอบแบบเอาคะแนน คือที่ผมมาเรียนแพทย์ เพราะต้องการช่วยเหลือคนเจ็บป่วย เพราะผมได้เห็นภาพเตี่ยผมที่ป่วยเป็นโรคปอด เวลาที่มีอาการแต่ละครั้งมีความทรมานอย่างมาก แล้วยิ่งไม่มีค่าใช้จ่ายในการรักษา ก็ยิ่งมีความทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้น ดังนั้นผมมาเรียนแพทย์ เพราะผมมีแรงจูงใจ มีแรงบันดาลใจอย่าง ไม่ได้เรียนเพราะเรียนเก่ง หรือใครบอกให้เรียน ผมจึงมีความตั้งใจเรียนอย่างเต็มกำลัง ผมอยากเล่าให้เด็กมัธยมที่ต้องการเรียนแพทย์ และนักศึกษาแพทย์ที่กำลังเรียนอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือรุ่นลูกผม จึงอยากใช้คำว่าสอนลูก ๆ ให้เกิดความเข้าใจชีวิตนักศึกษาแพทย์ ดังนี้

      1. การเรียนแพทย์แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ เรียนชั้นปรีคลินิกในปีที่ 1-3 และชั้นคลินิกในปีที่ 4-6 การเรียนในชั้นปรีคลินิกนั้น เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายเรา แล้วก็มีการเรียนกายวิภาคอวัยวะระบบต่าง ๆ กับครูใหญ่ การเรียนก็ตั้งแต่เช้าจนเย็นทุกวัน แล้วก็มีการสอบทุก 4-6 สัปดาห์ แต่ก็ไม่ถือว่าหนักมากนักยังมีเวลาหยุดในวันหยุดเสาร์ อาทิตย์เหมือนกับคณะอื่น ๆ แต่ช่วงปิดเทอมก็จะมีการเรียนภคการศึกษาฤดูร้อนเสมอ ร่วมกับการออกชุมชน ลงพื้นที่ไปกิน นอนอยู่กับคนในชุมชนเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ แต่พวกเราก็มีความสนุกสนานในการเรียน ไม่ได้คิดว่าทำไมไม่ได้ปิดเทอมแบบคณะอื่น ๆ

      2. การใช้ชีวิตนักศึกษาแพทย์ช่วงปีที่ 1-3 เราก็พักที่หอพักส่วนกลางอยู่ร่วมกับเพื่อน ๆ คณะอื่น ๆ ไม่ได้อยู่ที่หอพักนักศึกษาแพทย์โดยเฉพาะ บางครั้งหอพักก็ไม่เพียงพอ เราก็ใช้วิธีสิงหอพักกัน คือ เขาจัดให้อยู่ห้องละ 2 คน เราก็อยู่เป็น 3-4 คน ในยุคนั้นไม่มีใครอยู่หอนอกมหาวิทยาลัยหรอกครับ หอพักรวมก็ต้องใช้ห้องน้ำรวม ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เย็น มีแต่พัดลมในห้องพัก แต่ในบางห้องก็แอบมีตู้เย็นเล็ก ๆ กับทีวีได้บ้าง ย้ำว่าส่วนน้อยมาก ๆ เครื่องทำน้ำดื่มรวมของหอพัก ซึ่งพวกเราทุกคนก็ผ่านช่วงชีวิตแบบนี้มาได้สบาย ๆ โดยไม่ได้คิดอะไร แล้วก็สนุกกับการใช้ชีวิตแบบนี้ ทำให้เราได้เรียน ได้เล่น ได้รู้จักเพื่อนต่างคณะด้วย เวลาดูการถ่ายทอดแข่งขันกีฬาก็ดูทีวีใต้หอ เชียร์กันสนุกมาก ๆ

      3. การเรียนชั้นคลินิกปีที่ 4-6 นั้น ชีวิตเปลี่ยนไปจากปรีคลินิกอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือ เราต้องเรียนกับคนไข้จริง ๆ ดังนั้นพวกเราต้องได้รับการฝึกฝนทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติอย่างหนัก เพื่อให้เรามีความรู้ ความสามารถมากที่สุดจะได้รักษาผู้ป่วยได้จริง ๆ เราไม่มีการเรียนกับหุ่นจำลอง หรือผู้ป่วยจำลองแบบสมัยนี้ เราเรียนกับผู้ป่วยจริง ๆ ดังนั้นเราจึงมีความตื่นเต้น ความกระตือรือร้น และความตั้งใจอย่างมาก ๆ ในการเรียน ซึ่งการเรียนในชั้นคลินิกนั้น เรียนหนักมาก ๆ ครับ ต้องขึ้นดูผู้ป่วยตั้งแต่ 6 โมงเช้า เสาร์ อาทิตย์ก็ไม่มีการหยุด ด้วยเหตุผลที่ผมเข้าใจ คือ ผู้ป่วยก็ไม่มีวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ดังนั้นเราที่เป็นนักศึกษาแพทย์ก็ต้องมาเรียน มาฝึกปฏิบัติทุกวัน นอกเวลาราชการก็ต้องมีการอยู่เวร ตอนเป็นปีที่ 4 ก็เริ่มอยู่เวรถึง 22.00 น. ปีที่ 5 ก็ขยับเวลาเป็นถึง 24.00 น. พอเป็นปีที่ 6 ก็อยู่เวรจนถึงเช้า จึงต้องทำงานต่อเนื่องได้มากกว่า 30 ชั่วโมงโดยไม่ได้นอนเลย

      4. การใช้ชีวิตในชั้นคลินิกนั้นต้องมีการปรับตัวอย่างมาก ตั้งแต่ต้องตื่นแต่เช้า นอนดึก วันหยุดไปได้หยุด ต้องมาขึ้นดูผู้ป่วยทุกวัน ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ทุกวัน มีการเข้าห้องผ่าตัด การดูคนไข้ การทำหัตถการต่าง ๆ กับผู้ป่วย การเรียนดังกล่าวทำให้เรามีความสนใจอยู่ตลอดเวลา เพราะใกล้กับชีวิตจริงของการเป็นหมอในการรักษาคนไข้ บางวันต้องเข้าห้องผ่าตัดนานเป็น 10 ชั่วโมง ยืนจนแทบจะหมดแรง ขาแข็ง แต่พอเห็นอาจารย์หมอ กับพี่ ๆ ที่เป็นหัวหน้าทีมก็ยังยืนผ่าตัดได้ แล้วดูผลการผ่าตัดที่ผู้ป่วยได้รับ ทำให้เรามีแรงในการยืนดูหรือช่วยดึงเครื่องมือต่อไปได้โดยไม่หมดแรง แล้วก็กลายเป็นความประทับใจ ทำให้เราเกิดแรงจูงใจในการเรียนต่อไป

      5. การเรียน ทำงานพวกเราก็ช่วยงานกันตลอดในกลุ่ม ถ้างานของเพื่อนไม่เสร็จ เราก็ช่วยเพื่อน ถ้างานเราเยอะเพื่อนก็ช่วย คือเราเรียนกันแบบเป็นทีม ถ้าเพื่อนมีธุระต้องกลับบ้าน เพื่อน ๆ ก็ดูแลผู้ป่วยแทนเพื่อน เพื่อนไม่สบาย เราก็อยู่เวรแทนเพื่อนที่ไม่สบาย โดยไม่เคยคิดที่จะให้เพื่อนมาอยู่เวรใช้เราเลย เพราะว่าเพื่อนไม่สบาย เราก็ต้องอยู่เวรแทนเพื่อน

      6. ผมต้องรีบทานอาหารเช้าแต่เช้า อาหารเช้ายอดฮิตคือข้าวเหนียวหมูปิ้ง ตอนเช้าต้องทานให้มาก ๆ เพราะกลางวันอาจไม่ได้ทานข้าวกลางวัน ดังนั้นเราต้องเป็นคนทานง่าย ทานเร็ว หลับง่าย ตื่นเร็ว

      7. วันสอบเสร็จในแต่ละวิชา เราก็จะไปปล่อยผีกัน คือ การไปพักผ่อนในเมือง ขี่มอเตอร์ไซค์ไปทานข้าวที่ตลาดโต้รุ่ง ดูหนัง ทานไอศกรีม บางครั้งก็ไปนั่งฟังเพลง ดื่มกันบ้างที่ห้องอาหารของโรงแรม พอเริ่มวิชาเรียนใหม่ ก็เรียนหนักแบบเดิม เรามีเวลาพักเพียงแค่วันเสาร์หลังสอบเสร็จแค่นั้น เพราะวันอาทิตย์เราก็ต้องมาเตรียมส่งต่อคนไข้ที่เราดูแลให้เพื่อนกลุ่มใหม่ แล้วก็รีบไปรับผู้ป่วยคนใหม่ที่เราต้องดูแลต่อในวิชาใหม่

      8. ผมจำได้ว่าเราไม่เคยได้ลาหยุดเรียนไปไหนเลย ยกเว้นลาไปผ่อนผันการเกณฑ์ทหารเท่านั้น แต่ก็มีช่วงปีที่ 5 ที่ผ่านวิชาที่เรียนเป็นเวลาสั้น ๆ เช่น จักษุ หู คอ จมูกเราก็พอมีเวลาในวันหยุดที่ไม่ได้อยู่เวร ก็ได้กลับบ้านบ้าง แต่พวกเราก็มีความสุขในการเรียน การฝึกงานที่หนักแบบนี้

      9. ผมเองก็ไม่เคยคิดที่จะลาด้วย จนติดเป็นนิสัยถึงปัจจุบันที่มาทำงานทุกวัน ต้องไปดูคนไข้ทุกวันไม่เว้นวันหยุด ถ้าหยุดแล้วรู้สึกแปลก ๆ เรามีความรู้สึกว่าผู้ป่วยเขารอให้เราไปหาเขา ไปรักษาเขา ผู้ป่วยแต่ละคนที่มาให้เรารักษานั้น เขามีความยากลำบากทั้งกายและใจอยู่แล้ว ถ้าเราไปดู ไปพูดคุย ไปรักษาเขาได้ทุกวัน ก็คงทำให้เขามีอาการดีขึ้น มีความรู้สึกสุขใจมากขึ้น โดยที่เราก็ไม่ได้มีความลำบากอะไรมากขึ้น

      10. ผมเองได้เห็นอาจารย์ รุ่นพี่ที่ทำงานแบบขยันขันแข็ง มีจริยธรรม เป็นแบบอย่างที่ดีมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่เปนนักศึกษาแพทย์ และแพทย์ฝึกหัด การอบรมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ผมทำตามแบบอย่างของแพทย์ที่ดีได้โดยไม่เคยถามว่าทำไมอาจารย์ และพี่ ๆ ถึงต้องทำงานหนักแบบนี้ เพราะสิ่งที่ผมเห็นและรับรู้ได้ คือ อาจารย์แพทย์ และพี่ ๆ เป็นที่รักของคนไข้ ได้รับการยอมรับจากผู้ป่วยและญาติ ไม่เคยมีเรื่องร้องเรียนใด ๆ

      ผมเล่าประสบการณ์ที่ผมและเพื่อน ๆ แพทย์ได้ผ่านมาเกือบ 30 ปีให้นักศึกษาแพทย์รุ่นลูกได้เรียนรู้ว่าในอดีตเป็นอย่างไร ผมไม่ได้หวังว่าการเรียนแพทย์ในปัจจุบันจะต้องเป็นแบบในอดีต เพียงอยากเล่าสิ่งดี ๆ ที่ผมได้พบมาแล้วนำมาปฏิบัติจนถึงทุกวันนี้ ทำให้ผมมีความสุขในการเป็นแพทย์ และถ้ามีโอกาสก็จะเล่าให้นักศึกษาแพทย์ที่เรียนกับผมได้ฟัง เพื่อการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างแพทย์รุ่นพ่อ กับนักศึกษาแพทย์รุ่นลูก