ท้องเสีย ท้องร่วง ท้องเดิน (Diarrhea)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 17 เมษายน 2562
- Tweet
- บทนำ
- ท้องเสียมีสาเหตุจากอะไร?
- ท้องเสียมีอาการอย่างไร?
- แพทย์วินิจฉัยสาเหตุท้องเสียได้จากอะไร?
- รักษาท้องเสียได้อย่างไร?
- มีผลข้างเคียงจากท้องเสียไหม?
- ท้องเสียรุนแรงไหม?
- ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
- ป้องกันท้องเสียได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
- โรคทางเดินอาหาร โรคระบบทางเดินอาหาร (Digestive disease)
- ลำไส้อักเสบ (Enterocolitis)
- โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง (Ulcerative colitis)
- โรคท้องร่วงจากไวรัสโรตา (Rotavirus infection)
- อาหารเป็นพิษ (Food poisoning)
- ไวรัสลงกระเพาะ ท้องเดินจากไวรัส (Viral gastroenteritis)
- ท้องเสียในเด็ก (Acute diarrhea in children)
- ท้องเสียจากโนโรไวรัส (Norovirus diarrhea)
- ลำไส้ใหญ่อักเสบ (Colitis)
- ลำไส้เล็กอักเสบ (Enteritis)
บทนำ
องค์การอนามัยโลกได้ให้นิยามว่า ท้องเสีย (Diarrhea) หมายถึง การถ่ายอุจจาระเหลว หรือถ่ายฯเป็นน้ำตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปต่อวัน โดยอาจถ่ายฯเป็นน้ำ หรือถ่ายฯเป็นมูกเลือดที่เรียกได้อีกชื่อว่า ‘โรคบิดหรือเป็นบิด’ และ
- เมื่อท้องเสียหายได้ภายใน 2 สัปดาห์เรียกว่า ‘ท้องเสียเฉียบพลัน(Acute diarrhea)’
- เมื่อท้องเสียนาน 2 - 4 สัปดาห์เรียกว่า ‘ท้องเสียต่อเนื่อง (Persistent diarrhea)’ และ
- เมื่อท้องเสียนานมากกว่า 4 สัปดาห์ขึ้นไปเรียกว่า ‘ท้องเสียเรื้อรัง(Chronic diarrhea)’
ท้องเสีย อาจเรียก ท้องร่วง หรือ อุจจาระร่วง หรือ ท้องเดิน เป็นโรคที่พบบ่อยมากโรคหนึ่ง โดยมักพบในประเทศกำลังพัฒนาและในประเทศที่ยังไม่พัฒนารวมทั้งประเทศไทย โดย เฉพาะมักเกิดในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่เป็นปัญหาสาธารณสุขจากการขาดสุขอนามัยพื้นฐานในการดูแลตนเอง การดูแลตนเอง และของชุมชน รวมทั้งขาดแหล่งน้ำสะอาด
นอกจากนั้น ท้องเสียที่พบได้บ่อยอีกชนิดคือ ท้องเสียจากการท่องเที่ยว (Traveler’s diarrhea) ซึ่งมักเกิดจากการกินอาหารและดื่มน้ำไม่สะอาดในการเดินทางท่องเที่ยวในแหล่งที่ขาดสุขอนามัยพื้นฐานเช่นเดียวกัน
ท้องเสียมีสาเหตุจากอะไร?
ท้องเสีย โดยทั่วไปมักเกิดจากการกินอาหารและดื่มน้ำปนเปื้อนเชื้อโรค หรือจากมือ ไม่สะอาด อุจจาระ/เชื้อโรคที่ปนเปื้อนจากมือจึงก่อให้เกิดการติดเชื้อได้จากมือสู่ปากโดยตรง หรือในการปรุงอาหารในการสัมผัสอาหาร/น้ำดื่มในขั้นตอนต่างๆ และรวมทั้งในขั้นตอนของการเลี้ยงดูเด็ก ซึ่งโดยทั่วไปท้องเสียจากการติดเชื้อมักเป็น’ท้องเสียเฉียบพลัน’
เชื้อพบบ่อยที่เป็นสาเหตุให้ท้องเสียคือ เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และอาจพบเชื้อบิด และจากพยาธิได้
ก. แบคทีเรีย: เชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุให้ท้องเสียมีได้หลายชนิด เช่น อีโคไล (E. coli) ซึ่งเป็นเชื้อพบบ่อยที่สุด นอกนั้นเช่น เชื้อไทฟอยด์ (Salmonella) เชื้อบิดชนิดชิเกลลา (Shigella) และเชื้ออหิวา (Cholera จากเชื้อ Vibrio cholerae)
ข. เชื้อไวรัส: ที่เป็นสาเหตุให้ท้องเสียที่พบบ่อยที่สุดโดยเฉพาะในเด็กเล็กคือ โรตาไวรัส (Rotavirus) และจากไวรัสอื่นๆเช่น ไวรัสตับอักเสบ เอ
ค. เชื้อโรคชนิดอื่นๆ: เช่น
- ติดเชื้อบิด (บิดมีตัว) จากติดเชื้อสัตว์เซลล์เดียว (โปรตัวซัว/Protozoa) ที่มีชื่อว่า อะมีบา (Amoeba) ที่เรียกว่า โรคบิดมีตัว หรือ
- ติดเชื้อพยาธิ เช่น พยาธิเข็มหมุด (Pinworm) ซึ่งบางคนเรียกว่า พยาธิเส้นด้าย (Threadworm), พยาธิสตรองจิลอยด์ (Strongyloides)
นอกจากการติดเชื้อแล้ว ท้องเสียยังเกิดจากสาเหตุอื่นๆได้อีก เพียงแต่พบน้อยกว่าจากการติดเชื้อมากเช่น
- ท้องเสียจากโรคกลุ่มอาการดูดซึมอาหารได้น้อย (Malabsorption syndrome) ซึ่งมักเป็นท้องเสียแบบต่อเนื่องหรือแบบเรื้อรัง ซึ่งมีสาเหตุได้หลายสาเหตุเช่น
- จากความผิดปกติของลำไส้แต่กำเนิด
- จากเป็นโรคพยาธิ
- จากการแพ้นมวัวในเด็ก
- หรือในโรคมีภูมิคุ้มกันต้านทานบกพร่อง เช่น โรคเอดส์
- จากโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังต่างๆ
- หรือโรคขาดน้ำย่อยอาหารจากตับอ่อน เช่น โรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง
- ท้องเสียจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด ซึ่งมักเป็นท้องเสียแบบเฉียบพลันหรือแบบ ต่อเนื่อง เมื่อหยุดยา อาการท้องเสียจะหายไป เช่น
- จากยาบางชนิดในกลุ่มยาแก้ปวดเอ็นเสดส์ ยาปฏิชีวนะ ยาโรคเกาต์บางชนิด และยาเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็ง
- ท้องเสียจากผลข้างเคียงจากฉายรังสีรักษาในโรคมะเร็งของบริเวณช่องท้องและช่องท้องน้อย ซึ่งมักเป็นท้องเสียแบบต่อเนื่อง แต่อาการท้องเสียจะหายไปภายหลังหยุดฉายรังสีฯประมาณ 4 - 8 สัปดาห์ เช่นในการรักษา โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งไส้ตรง
ท้องเสียมีอาการอย่างไร?
อาการสำคัญจากท้องเสีย คือ ‘การถ่ายอุจจาระตั้งแต่วันละ 3 ครั้งขึ้นไป’ ส่วนอาการอื่นๆที่อาจพบ ร่วมด้วย เช่น
- ปวดท้อง ปวดมวนท้อง ปวดท้องแบบปวดเบ่ง
- อ่อนเพลีย
- นอกจากนั้นขึ้นกับสาเหตุ เช่น
- มีไข้ ปวดเมื่อยตัว เมื่อเกิดจากติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส
- หรือถ่ายเป็นมูกเลือด เมื่อเกิดจากติดเชื้อบิด
ทั้งนี้อาการสำคัญที่สุดและอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้รวดเร็วคือ อาการจาก ‘ร่างกายขาดน้ำ (ภาวะขาดน้ำ) และสูญเสียเกลือแร่ (Electrolyte)’ ที่ออกร่วมมาในอุจจาระ
ก. อาการสำคัญของการขาดน้ำในผู้ใหญ่ ที่สำคัญคือ
- กระหายน้ำมาก
- ปัสสาวะน้อย ปัสสาวะมีสีเหลืองเข็มจัด
- ปากแห้ง ลิ้นแห้ง ผิวแห้ง เมื่อเป็นมากตาจะลึกโหล เพราะเนื้อเยื่อรอบๆตาขาดน้ำไปด้วย
- เมื่อขาดน้ำมากรุนแรงจะ วิงเวียน มึนงง กระสับกระส่าย และช็อกในที่สุด
ข. อาการขาดน้ำในเด็ก: ส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับในผู้ใหญ่ ยกเว้นในเด็กอ่อนซึ่งมักไม่มีปัสสาวะเลย กระหม่อมจะบุ๋มลึก และไม่มีน้ำตาเมื่อร้องโยเยหรือร้องไห้
แพทย์วินิจฉัยสาเหตุท้องเสียได้จากอะไร?
แพทย์วินิจฉัยสาเหตุท้องเสียได้จาก
- การสอบถามประวัติทางการแพทย์ต่างๆ ที่สำคัญ เช่น อาการ การกินอาหาร โรคประจำตัวต่างๆ การกินยา และการไปท่องเที่ยว จำนวนครั้งของการอุจจาระ ลักษณะอุจจาระรวมทั้งกลิ่นและสี
- การตรวจร่างกาย
- และอาจมีการตรวจสืบค้นอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ เช่น
- การตรวจอุจจาระ
- การตรวจเชื้อ การเพาะเชื้อ
- การตรวจเลือดดูค่า เกลือแร่ในเลือด
- หรือการตรวจเลือดดูการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
รักษาท้องเสียได้อย่างไร?
แนวทางการรักษาท้องเสีย ที่สำคัญ คือ
- การรักษาและป้องกันภาวะขาดน้ำ ซึ่งเมื่อผู้ป่วยดื่มไม่ได้ หรือท้องเสียรุนแรง อาจเป็นการให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ แต่ถ้ายังกิน/ดื่มได้ การรักษา คือ การดื่มน้ำหรือดื่มน้ำเกลือแร่ซึ่งเป็นยาผงละลายน้ำที่ทั่วไปเรียกว่า ยาโออาร์เอส (ORS, Oral rehydration salts)
นอกจากนั้นคือ
- การรักษาตามสาเหตุ เช่น
- อาจให้ยาปฏิชีวนะเมื่อเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
- และการรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น
- ยาบรรเทาปวดท้อง/ยาแก้ปวดท้อง
- หรือยาลดไข้
- การให้น้ำและเกลือแร่ทางหลอดเลือดดำ/ให้น้ำเกลือ กรณีท้องเสียมาก
- โดยทั่วไป แพทย์มักไม่แนะนำการกินยาหยุดท้องเสีย เพราะการถ่ายอุจจาระเป็นวิธีหนึ่งที่ร่างกายใช้กำจัดเชื้อโรคและ/หรือสารพิษจากเชื้อโรคออกจากร่างกาย อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ขึ้น กับอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์
มีผลข้างเคียงจากท้องเสียไหม?
ผลข้างเคียงสำคัญของอาการท้องเสียคือ
- ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำและขาดเกลือแร่
- และถ้าเป็นท้องเสียแบบต่อเนื่อง หรือเรื้อรัง คือ ภาวะร่างกายขาดสารอาหาร และภูมิคุ้มกันต้านทานโรคจะต่ำลง ติดเชื้อต่างๆได้ง่าย
ท้องเสียรุนแรงไหม?
ความรุนแรงของท้องเสียขึ้นกับ
- สาเหตุ
- ปริมาณเชื้อโรคที่ร่างกายได้รับ
- ภาวะร่างกายขาดน้ำ/ภาวะขาดน้ำ
- และสุขภาพ หรือภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของผู้ป่วย
โดยทั่วไปมักรักษาควบคุมโรคได้ ยกเว้นในผู้ป่วยมี ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ และ/หรือพบแพทย์ล่าช้า
ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การดูแลตนเอง/การพบแพทย์เมื่อท้องเสีย คือ
- พักผ่อน หยุดงาน หรือหยุดเรียน
- ดื่มน้ำมากๆ ดื่มน้ำผงละลายเกลือแร่ /ORS เมื่อถ่ายเป็นน้ำหรือรู้สึกปากแห้ง
- กินอาหารอ่อน อาหารเหลว หรืออาหารรสจืด
- ยังไม่ควรกินยาหยุดท้องเสียด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว อาจกิน ยาลดไข้ บรรเทาอาการปวดท้อง/ยาแก้ปวดท้อง
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
- เมื่อท้องเสีย ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาล เมื่อ
- มีอาการร่างกายขาดน้ำ ดังได้กล่าวในหัวข้อ ‘อาการฯ’
- อาการท้องเสียไม่ดีขึ้นภายใน 1 - 2 วัน (ในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือคนมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ ควรพบแพทย์เมื่ออาการท้องเสียไม่ดีขึ้นภายใน 1 วัน)
- ปวดท้องมาก และ/หรือ คลื่นไส้ อาเจียน และ/หรือ ตัว/ตาเหลือง
- มีไข้สูง
- อุจจาระเป็นมูก หรือมูกเลือด หรือมีสีดำและเหนียวเหมือนยางมะตอย (อาการของการมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร/เลือดออกในทางเดินอาหาร)
ป้องกันท้องเสียได้อย่างไร?
วิธีป้องกันโรคท้องเสียคือ การป้องกันสาเหตุซึ่งที่สำคัญคือ การป้องกันการติดเชื้อทาง อาหาร น้ำดื่ม และทางมือ ซึ่งที่สำคัญคือ
- รักษา สุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) รวมทั้งในการเดินทางท่องเที่ยว
- กินอาหารสุกและปรุงใหม่เสมอ ดื่มน้ำสะอาด ระวังการกินน้ำแข็ง และดื่มนมสดเฉพาะที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้วเท่านั้น
- ล้างมือให้สะอาดเสมอโดยเฉพาะก่อนกินอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
- ไม่ใช้ ช้อน ซ่อม แก้วน้ำ ร่วมกับคนอื่น
- ปฏิบัติตามข้อแนะนำในการบริโภคของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด คือ ‘กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ’ โดยเฉพาะ การล้างมือก่อนการบริโภค และหลังเข้าห้องน้ำ
- ปรึกษาแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่เป็นสาเหตุที่มีวัคซีนตามคำแนะนำของแพทย์/กระทรวงสาธารณสุข
บรรณานุกรม
- Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D., and Jamesson, J.(2001). Harrrison’s: Principles of internal medicine. New York. McGraw-Hill
- Yates, J. (2005). Travel’s diarrhea. Am Fam Physician. 71, 2095-2100.
- https://en.wikipedia.org/wiki/Diarrhe [2019,March30]
- https://www.who.int/en/news-room/fact-sheets/detail/diarrhoeal-disease [2019,March30]
- https://medlineplus.gov/diarrhea.html [2019,March30]